หนานกงชวี่ทั้งสองเคยเจอเว่ยจวินมั่วมาก่อนแล้ว แต่การได้รู้จักในฐานะน้องเขยนั้นนับว่าเป็นครั้งแรก หนานกงชวี่ยังคงเงียบสงบไม่สะทกสะท้าน หนานกงฮุยกลับจ้องเว่ยจวินมั่วเขม็งตลอดทาง เพียงเห็นท่าทางของหนานกงมั่วที่พูดคุยกับเว่ยจวินมั่วอย่างเป็นกันเองก็เห็นได้ชัดแล้วว่าทั้งสองนั้นเข้ากันได้ดีเพียงใด เมื่อนึกถึงท่าทางเกรงอกเกรงใจที่น้องสาวมีต่อตน หนานกงฮุยจึงรู้สึกเศร้าขึ้นมา ท่าทางกระตือรือร้นในอดีตก็ค่อยๆ หายไป
“คารวะฉู่กั๋วกง” เมื่อเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เว่ยจวินมั่วโค้งตัวทำความเคารพอย่างมีมารยาท ทว่ากลับเพิกเฉยต่อเจิ้งซื่อที่นั่งอยู่ด้านข้าง
หนานกงไหวมองเว่ยจวินมั่วอยู่นาน พยักหน้าตอบ “ซื่อจื่อไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่งเถิด”
เรื่องยกบุตรีให้แต่งกับเว่ยจวินมั่วใช่ว่าหนานกงไหวจะไม่รู้สึกผิด ทว่าความรู้สึกผิดนั้นเทียบไม่ได้กับศักดิ์ศรีของจวนฉู่กั๋วกง แม้แต่คำแนะนำของเจิ้งซื่อและหนานกงซู ยามนี้มองเห็นเว่ยจวินมั่วที่นั่งอยู่ด้านข้าง ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น กลิ่นอายที่ไม่ธรรมดา นอกจากชาติกำเนิดแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใดให้ติได้ ความรู้สึกผิดในใจหนานกงไหวจึงลดลงมาไม่น้อย สายตาที่มองเว่ยจวินมั่วเองก็อ่อนลง
เจิ้งซื่อมองไปยังสองคนที่นั่งอยู่ด้านล่าง รู้สึกไม่ชอบใจนัก เพียงเห็นว่าหนานกงมั่วได้ดี เจิ้งซื่อก็รู้สึกไม่สบายอยู่ในใจ ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าของหนานกงมั่วที่ละม้ายคล้ายคลึงกับเมิ่งซื่อกว่าเจ็ดส่วน เจิ้งซื่อก็จะรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจ เมื่อสบตากับดวงตาเย็นชาที่แฝงมาด้วยแววตาเย้ยหยัน มันทำให้นางนึกถึงสิบปีก่อนเมื่อครั้งที่นางเจอเมิ่งซื่อครั้งแรก นางตั้งครรภ์และถูกหนานกงไหวพากลับจวนมาด้วย เมิ่งซื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่นั่งด้วยท่าทางทะนงตนสูงส่ง มองมายังนางที่คุกเข่าอยู่บนพื้น จากนั้นหันหน้าหนีราวกับนางเป็นฝุ่นที่อยู่บนพื้น แม้แต่มองสักนิดยังรู้สึกสกปรกลูกตา นับตั้งแต่นั้นมาเมิ่งซื่อก็ไม่เคยมาเจอนางอีกเลย จนกระทั่งเมิ่งซื่อตายไปในเรือนจี้ชั่งแห่งนั้น
“วันนี้คุณหนูใหญ่ออกไปกับเว่ยซื่อจื่อหรือเจ้าคะ คุณหนูใหญ่กับเว่ยซื่อจื่อช่างเข้ากันได้ดีเหลือเกิน เช่นนี้ท่านพี่ก็คงจะวางใจได้แล้ว ท่านพี่เจ้าคะ ท่านว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ” เจิ้งซื่อเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
หนานกงไหวพยักหน้า “หลายปีมานี้มั่วเอ๋อร์ลำบากไม่น้อย ขอซื่อจื่อช่วยดูแลนางให้ดีด้วย มิเช่นนั้นกระหม่อมที่เป็นบิดาคงมิอาจอยู่เฉยเป็นแน่” เจิ้งซื่อโกรธจนใบหน้าแทบบิดเบี้ยว สิ่งที่นางตั้งใจคือกล่าวเตือนหนานกงไหวเรื่องที่หนานกงมั่วยังไม่ทันออกเรือนก็ออกไปไหนมาไหนกับบุรุษ ไหนเลยจะคิดว่าหนานกงไหวกลับเข้าใจไปแบบนี้ได้
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าลง “ข้าจะจำเอาไว้ ข้าไม่มีทางปฏิบัติต่ออู๋สยาอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน”
ได้ยินเขาเรียกจื้อของหนานกงมั่ว หนานกงไหวก็ชะงัก เมื่อได้สติกลับมาจึงพยักหน้า ชื่อที่เขาแต่งถูกบุตรีดึงดันเปลี่ยน ยามที่บุตรีปักปิ่นเขาเองยังไม่ใช่ผู้ตั้งจื้อให้ หนานกงไหวรู้สึกหดหู่ คนอื่นกลับไม่เข้าใจถึงความหดหู่นี้ของเขา หนานกงฮุยนึกแปลกใจจึงเอ่ยถาม “มั่วเอ๋อร์ พวกเจ้าไปเขาจื่ออวิ๋นหรือ เมื่อครู่ข้าเห็นหมิงฉินถือดอกโบตั๋นมามากมาย”
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “เจ้าค่ะ ข้าพึ่งเคยไปเขาจื่ออวิ๋นครั้งแรก เป็นสถานที่ที่ดีเหลือเกิน”
เจิ้งซื่อมีสีหน้าไม่เป็นสุข นางจำได้ว่าวันนี้ซูเอ๋อร์เองก็ไปเขาจื่ออวิ๋น เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเขาได้เจอกันหรือไม่ หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วมีสีหน้าเรียบนิ่ง เจิ้งซื่อจึงวางใจ คิดว่าคงไม่ได้เจอกัน
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “อู๋สยาชอบทิวทัศน์บนเขาจื่ออวิ๋นมาก กลับไปข้าจะทูลขอเสด็จแม่สร้างเรือนรับรองที่เขาจื่ออวิ๋นให้”
หนานกงฮุยเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “มั่วเอ๋อร์ชอบเขาจื่ออวิ๋นหรือ ไม่รู้ว่าที่ดินบนเขาจื่ออวิ๋นเป็นของใคร พี่รองจะช่วยเจ้าซื้อ”
หนานกงมั่วไม่รู้จะทำเช่นไร กุมขมับ เอ่ยตอบ “พี่รอง ท่านเองไม่ได้มีเงินมากมาย อย่าวุ่นวายเรื่องนี้เลย พวกเราเพียงแค่เอ่ยไปเรื่อยก็เท่านั้น”
หนานกงฮุยมองไปยังนางพลางกะพริบตาปริบ พี่รองมีเงิน เขาเอาเงินมาจากเจิ้งซื่อมากมายทว่าหนานกงมั่วรับไปเพียงน้อยนิด ที่เหลืออยู่เขาก็ยังไม่เอาไปคืน คงพอดีกับการสร้างเรือนรับรองให้มั่วเอ๋อร์สักหลังหนึ่ง
เว่ยจวินมั่วเหลือบตามองหนานกงฮุย ดวงตาทะมึนขึ้น ทว่าหนานกงฮุยที่กำลังดีใจนั้นไม่ทันสังเกต ก้มหน้าก้มตาคิดคำนวณเงินว่าเขาต้องใช้เงินมากเพียงใดจึงจะลงมือได้ หนานกงมั่วเองก็ไม่ได้สนใจเขา ที่อยู่ในมือของหนานกงฮุยล้วนเป็นกิจการร้านค้า นอกจากต้องขายมันไปจึงจะมีเงินมากพอมาสร้างเรือนรับรอง และนางย่อมไม่มีทางเปิดโอกาสให้เขาเอาร้านไปขายเป็นแน่
“ซื่อจื่อดีกับคุณหนูใหญ่เหลือเกิน เป็นวาสนาของคุณหนูใหญ่แล้ว” เจิ้งซื่อเอ่ยฉอเลาะ หนานกงมั่วเอ่ยตอบนางเสียงเรียบ “ขอบคุณหว่านฮูหยิน”
หนานกงไหวสอบถามถึงเรื่องเตรียมการแต่งงานของจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง ราวกับเป็นห่วงบุตรี แน่นอนเว่ยจวินมั่วรู้ว่าความสัมพันธ์ของหนานกงมั่วและหนานกงไหวมิได้ดีนัก เพียงแต่อย่างไรเสียก็เป็นบิดาผู้ให้กำเนิดหนานกงมั่ว ความสัมพันธ์พ่อลูกคงไม่เลวร้ายเท่าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องที่พร้อมจะตัดขาดกันได้ทุกเมื่อ เขาจึงตอบคำถามของหนานกงไหวอย่างจริงจัง แม้คนในจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องจะไม่ใส่ใจพิธีแต่งงานของเว่ยจวินมั่ว ทว่าองค์หญิงฉังผิงกลับใส่ใจทุกรายละเอียด ยิ่งไปกว่านั้นพิธีสมรสของเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วเป็นสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท แม้จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องจะไม่อยากทำเพียงใดย่อมไม่สามารถละเลยได้
ขณะมองสีหน้าเรียบนิ่งไปด้วย การที่เว่ยจวินมั่วเอ่ยออกมาอย่างระมัดระวังและละเอียดถี่ถ้วนทำให้หนานกงไหวรู้สึกดีขึ้นมามาก เขาเกิดมาจากรากหญ้า ปีนป่ายขึ้นมาจากสนามรบ ย่อมมิได้ใส่ใจกับชาติกำเนิดของเว่ยจวินมั่วเท่าใดนัก อีกทั้งเว่ยจวินมั่วยังไม่ใช่บุตรชายของเขา แต่เมื่อเอ่ยในฐานะของบุตรเขย เว่ยจวินมั่วนั้นเข้มแข็งกว่าเซียวเชียนเยี่ยมาก ต่อให้เซียวเชียนเยี่ยจะมีวาจาอ่อนหวานหยดย้อยเพียงใดเมื่ออยู่ต่อหน้าหนานกงซู ทว่าก็ยังหลอกหนานกงไหวที่เป็นถึงวีรบุรุษก่อตั้งประเทศผู้นี้ไม่ได้ เซียวเชียนเยี่ยต้องการแต่งหนานกงซูเป็นความจริง แต่อย่างน้อยในแปดส่วนก็เป็นเพราะเห็นแก่อำนาจของตระกูลหนานกง มีความรักให้หนานกงซูสักสองส่วนเพียงเท่านั้นก็ควรยิ้มได้แล้ว
ตรงกันข้าม เว่ยจวินมั่วแม้ไม่มีคำรักหวานหยดเอาอกเอาใจใคร แต่สิ่งที่ควรปฏิบัติเขาไม่เคยบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นการเชิญพระชายาเยี่ยนอ๋องเพื่อพาหนานกงมั่วเข้าร่วมงานเลี้ยงที่เมืองตานหยาง หรือให้จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องมามอบของกำนัลทันทีเมื่อกลับมาถึงจินหลิง เมื่อถึงยามเตรียมการพิธีก็ไม่มีจุดใดเลยที่ทำให้เห็นว่าเว่ยจวินมั่วไม่ใส่ใจเจ้าสาวของเขา
หนานกงไหวและเว่ยจวินมั่วพูดคุยสนุกสนาน เจิ้งซื่อนั่งฟังพลางกัดฟันอยู่ข้างๆ ทั้งที่หนานกงมั่วยังไม่ทันออกเรือนไยกลับได้รับความสำคัญจากองค์หญิงฉังผิงและเว่ยจวินมั่วถึงเพียงนี้ได้เล่า เมื่อคิดถึงบุตรีที่รักของตน เจิ้งซื่อจึงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ต่อให้ให้ความสำคัญแล้วเยี่ยงไร ก็แค่ซื่อจื่อที่ไม่ได้รับความรักและมีชาติกำเนิดไม่ชัดเจนก็เท่านั้น รอให้ซูเอ๋อร์แต่งเข้าจวนหวงจั่งซุนก่อนเถิด…
“รายงานนายท่าน เอ้อกั๋วกงมาขอรับ” ที่ด้านนอก พ่อบ้านรีบเข้ามารายงาน หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วที่นั่งอยู่ตรงนั้นมองสบตากัน ใบหน้ายังคงเรียบนิ่งราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น
หนานกงไหวชะงัก รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย เอ้อกั๋วกง หยวนชุน เป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจมากที่สุดที่คอยติดตามฝ่าบาทเหมือนกับเขา เอ้อกั๋วกงยังมีอายุมากกว่าเขาอีกด้วย แม้ทั้งสองไม่นับว่าร่วมเป็นร่วมตาย ทว่าความสัมพันธ์นั้นยังถือว่าดี ทว่านับตั้งแต่หนานกงซูมีความสัมพันธ์กับหวงจั่งซุน ทุกครั้งที่หนานกงไหวต้องเผชิญหน้ากับเอ้อกั๋วกงก็อดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ ตระกูลเช่นพวกเขา แน่นอนว่าไม่ยินดีที่จะให้บุตรีมีสามีร่วมกัน ไม่เพียงเรื่องศักดิ์ศรี อีกทั้งยังมีผลประโยชน์ แต่หนานกงซูนั้นทำไปก่อนแล้วค่อยบอกทีหลัง ต่อให้หนานกงไหวโกรธแทบตายก็เห็นจะทำสิ่งใดมิได้แล้ว ยามนี้เอ้อกั๋วกงมาหาถึงที่ หัวใจจึงเต้นกระหน่ำนำไปก่อน นิสัยของหยวนชุนนั้นมิได้อบอุ่นดังเช่นชื่อของเขาเลยสักนิด