ทีเกี้ยวกันต่อหน้าคนมากมาย ช่างไม่รู้จักอับอายเสียบ้าง
ไหนเลยหนานกงชวี่จะมีความอดทนมากพอ ยกมือขึ้นสับเข้าที่ท้ายทอยของนางอย่างไม่ลังเลจนนางสลบไป จากนั้นส่งสัญญาณให้คนด้านหลังอย่างหนานกงฮุย “พาตัวไป” หนานกงฮุยพยักหน้า พยุงหนานกงซูออกไป
“หนานกงชวี่” เจิ้งซื่อร้องตะโกนเสียงดัง “เจ้าทำอะไรซูเอ๋อร์”
ใบหน้าของหนานกงชวี่เรียบสงบไร้คลื่นลม เอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบ “ท่านแม่โปรดวางใจ ซูเอ๋อร์เพียงหลับไปครู่เดียวเท่านั้น”
หนานกงไหวกวาดตามองเจิ้งซื่อด้วยท่าทางไม่พอใจ เขาพึงพอใจกับการกระทำของหนานกงชวี่เป็นที่สุด
จัดการหนานกงซูเรียบร้อยแล้ว หนานกงไหวจึงหันกลับมาหาเซียวเชียนเยี่ยและเอ้อกั๋วกงอีกครั้ง เอ่ยด้วยท่าทีเคร่งขรึม “เป็นจวนฉู่กั๋วกงของข้าเองที่อบรมสั่งสอนบุตรีได้ไม่ดี เอ้อกั๋วกงและเย่ว์จวิ้นอ๋องไม่ต้องลำบาก พรุ่งนี้ข้าจะส่งนางไปออกบวชที่วัดเอง” เซียวเชียนเยี่ยตระหนกอยู่ในใจ เขาใช้เวลาอยู่นานกว่าจะดึงตระกูลหนานกงมาได้ หากส่งหนานกงซูออกบวชจริง เกรงว่าจะต้องหมางใจกับหนานกงไหวแล้ว
เอ้อกั๋วกงเย้ยหยัน “บุตรีของเจ้า อย่าเอาไปหมิ่นพุทธศาสนาเลย ถึงตอนนั้นไม่รู้จะ…” คำพูดส่วนท้ายนั้นถูกผู้สืบทอดเอ้อกั๋วกงห้ามปรามเอาไว้ ผู้สืบทอดเอ้อกั๋วกงมองหนานกงไหวด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน บิดาของเขานั้นดีทุกอย่างเว้นเสียแต่ยามโมโหขึ้นมานั้นไม่ระวังคำพูดเอาเสียเลย โชคดีที่ตอนนี้มีหญิงสาวผู้หนึ่งอยู่ด้วย เอ้อกั๋วกงจ้องบุตรชายเขม็ง ทว่ากลับไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจ สะบัดเสื้อเดินเข้าไปหาหนานกงไหวและเอ้อกั๋วกงแล้วคุกเข่าลงไป ผู้คนต่างชะงักนิ่งไปชั่วขณะ หนานกงไหวและเอ้อกั๋วกงรีบลุกขึ้นหลบออกไป พวกเขาตำหนิและสั่งสอนเซียวเชียนเยี่ยไม่กี่ประโยคนั้นยังพอได้ นับว่าเป็นการสั่งสอนจากผู้อาวุโส แต่หากให้เซียวเชียนเยี่ยคุกเข่าให้พวกเขา พวกเขานั้นรับไม่ไหว อย่างไรเสีย เขาก็ยังเป็นหวงจั่งซุน หากฝ่าบาทรู้เข้า…ไม่อยากจินตนาการถึงผลที่จะตามมาเลย
“หวงจั่งซุนท่านทำอันใด ยังไม่รีบลุกขึ้นมาอีก” หนานกงไหวเอ่ย
หนานกงชวี่และผู้สืบทอดเอ้อกั๋วกงรีบเข้าไปพยุงเซียวเชียนเยี่ยให้ลุกขึ้น เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยเสียงเข้ม “เรื่องในวันนี้ ทุกอย่างเป็นเพราะเชียนเยี่ยไม่ดีเอง เชียนเยี่ยทำผิดต่อพระชายา อีกทั้งยังทำให้ชื่อเสียงของซูเอ๋อร์ต้องแปดเปื้อน ขอท่านพ่อตาและฉู่กั๋วกงได้โปรดอภัย”
เอ้อกั๋วกงกัดฟัน แน่นอนว่าเขารู้เซียวเชียนเยี่ยกำลังกดดันเขา หวงจั่งซุนเยี่ยงเขายอมคุกเข่าขออภัย หากตนนั้นยังดึงดันต่อไปเกรงว่าจะดูยโสจนเกินไป แต่ว่าหากปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้ จวนเอ้อกั๋วกงก็ต้องกลืนคำพูดตนเอง เอ้อกั๋วกงเบี่ยงหน้าหนีไปอีกฝั่ง “เย่ว์จวิ้นอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว ข้าคงรับไว้ไม่ไหว”
หนานกงไหวหลุบตาลง “เรื่องนี้เพราะจวนฉู่กั๋วกงไม่เข้มงวด เย่ว์จวิ้นอ๋องเชิญกลับไปก่อนเถิด”
เซียวเชียนเยี่ยฉลาด ทว่าหนานกงไหวและเอ้อกั๋วกงก็มิได้โง่เง่า ชั่วพริบตา สุดท้ายคนที่ลำบากที่สุดก็คือเซียวเชียนเยี่ยเอง
เซียวเชียนเยี่ยกัดฟัน เงยหน้าขึ้นไปมองเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วที่นั่งอยู่ด้านข้าง หนานกงมั่วก้มหน้า ดื่มชาด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม ราวกับไม่ได้ยินสิ่งใดเลย เว่ยจวินมั่วกล่าวเสียงเรียบ “เย่ว์จวิ้นอ๋อง ไม่ว่าจะภรรยาเอกหรือสนม ไม่จำเป็นต้องหารือกับรัชทายาทและพระชายารัชทายาทก่อนหรอกหรือ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เซียวเชียนเยี่ยพลันนึกขึ้นได้ มีแผนการในใจขึ้นมาทันที
“วันนี้เรื่องราวกะทันหันเกินไป ขอท่านพ่อตาและฉู่กั๋วกงอภัยด้วย เชียนเยี่ยต้องให้คำตอบที่ดีแก่ทั้งสองท่านอย่างแน่นอน”
เอ้อกั๋วกงส่งเสียงหึเบาๆ ไม่พูดคำใดอีก เพียงแต่มองเว่ยจวินมั่วด้วยสีหน้าครุ่นคิด ทว่าดวงตาของหนานกงไหวกลับใจชื้นขึ้นมา มีรัชทายาทและพระชายารัชทายาทคอยออกหน้าแทน เอ้อกั๋วกงคงต้องไว้หน้ากันบ้าง
ในที่สุดเอ้อกั๋วกงและหนานกงไหวก็สงบลง เซียวเชียนเยี่ยปาดเหงื่ออยู่ในใจ สุดท้ายเอ่ยลาหนานกงไหว “ที่จวนยังมีธุระ ข้าคงไม่รบกวนฉู่กั๋วกงแล้ว ข้าต้องขอลาแล้ว” หนานกงไหวก็ไม่คิดจะยื้อเขาเอาไว้ พยักหน้าตอบรับ “เชิญ”
เอ้อกั๋วกงยังคงโกรธไม่หาย ทว่าเซียวเชียนเยี่ยกลับไปแล้วพวกเขายังจะอยู่ต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์ ด้วยนิสัยของหนานกงไหวพวกเขาเองก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยยอมรับอะไรง่ายๆ มิสู้รีบกลับไปหารือกับบุตรีว่าจะเอาเช่นไรต่อจะดีกว่า เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เอ้อกั๋วกงก็เดินนำบุตรชายออกไปด้วยท่าทีโกรธขึ้ง
เมื่อพบว่าแขกกลับไปแล้ว เว่ยจวินมั่วจึงพยักหน้าให้กับหนานกงมั่ว กล่าวลาอย่างรู้งาน หนานกงไหวขายหน้าต่อคนนอกอย่างเว่ยจวินมั่วที่ให้เขาได้มาเห็นเรื่องเละเทะในบ้าน ข่มอารมณ์ทางสีหน้าไว้ไม่อยู่ แม้จะรู้ว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเว่ยจวินมั่ว ทว่ากลับรู้สึกไม่อยากพบหน้าเขา ไม่รอช้ารีบเรียกหนานกงมั่วเดินไปส่งเขา
หนานกงมั่วเดินออกมาพร้อมกับเว่ยจวินมั่ว เดินออกไปพลางถามอย่างแปลกใจ “ไยท่านถึงใจดีช่วยเหลือเซียวเชียนเยี่ย” นางยังจำได้ว่าเมื่อตอนบ่ายมีคนแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบเซียวเชียนเยี่ย คิ้วของเว่ยจวินมั่วเลิกขึ้นใบหน้ายังคงเรียบนิ่ง “ข้าช่วยเขาหรือ”
หนานกงมั่วก้มหน้าลงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ไม่ยอมรับไม่ได้ “ท่านไม่ได้ช่วยเขา”
เมื่อไตร่ตรองจนเข้าใจแล้ว เว่ยจวินมั่วช่วยเซียวเชียนเยี่ยที่ไหนกันเล่า ถูกเขาเอ่ยเตือนเช่นนี้ เดิมเป็นเรื่องส่วนตัวที่ควรจัดการด้วยตนเองกลับต้องเอาไปรายงานต่อรัชทายาทและพระชายารัชทายาท เห็นได้ชัดว่ามันต้องสนุกแน่ รัชทายาทคือพระบิดาของเซียวเชียนเยี่ย แน่นอนว่าต้องยืนอยู่ข้างโอรสของตน แต่อย่าลืมว่ารัชทายาทไม่ได้มีเซียวเชียนเยี่ยเป็นโอรสเพียงคนเดียว เมื่อรัชทายาทรู้ มีหรือคนอื่นจะไม่รู้ ไม่ว่าอย่างไรหนานกงซูก็ต้องแต่งเข้าจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องอยู่ดี เช่นนั้นก่อนเข้าจวนก็ประโคมให้มีชื่อเสียงก่อนสักหน่อยเป็นอย่างไร
เดิมเว่ยจวินมั่วไม่คิดจะทำเช่นนี้กับหนานกงซู อย่างไรเสียหนานกงมั่วก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลหนานกง เมื่อชื่อเสียงของหนานกงซูไม่เหลือชิ้นดีแล้วอาจกระทบมาถึงนางได้ แต่วันนี้ตอนอยู่วัดต้ากวงหมิงหนานกงมั่วบอกกับเขาเองว่านางไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าเว่ยจวินมั่วลงมือได้ไม่จำเป็นต้องเห็นใจหนานกงซูแล้ว
“เซียวเชียนเยี่ยทำอันใดให้ท่านไม่พอใจหรือ” หนานกงมั่วถาม นางคิดไม่ตกเลยจริงๆ ว่าเซียวเชียนเยี่ยไปทำอันใดจึงทำให้เว่ยจวินมั่วโกรธแค้นถึงเพียงนี้ เพราะเซียวเชียนเยี่ยใกล้ชิดกับเว่ยจวินเจ๋อหรือ หรือว่าเซียวเชียนเยี่ยทำอันใดกับเขาเมื่อตอนยังเด็ก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อเขาหาเรื่องศัตรูที่ดูเฉยเมยแต่ในความเป็นจริงคนดูที่เฉยเมยนั้นยังไร้ซึ่งความปรานีอีกด้วย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความแค้น แน่นอนว่าอนาคตของเซียวเชียนเยี่ยคงลำบากอย่างเลี่ยงไม่ได้
เว่ยจวินมั่วมองหญิงสาวตรงหน้านิ่ง ยกมือขึ้นลูบผมนางเบาๆ เอ่ยตอบ “เขามิได้ทำอันใดข้า ข้าเพียงไม่ถูกชะตากับเขาเท่านั้น”
“…” หนานกงมั่วเหงื่อตก ไม่ถูกชะตา นี่ช่างเป็นเหตุผลที่ดีซะเหลือเกิน
เมื่อส่งเว่ยจวินมั่วกลับไปแล้ว หนานกงมั่วกลับมายังห้องโถงใหญ่ ยังไม่ทันได้เข้าไปก็ได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของหนานกงไหวดังออกมา “หญิงชั่ว ยังไม่คุกเข่าให้ข้าอีก”
เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่พลันเห็นหนานกงซูกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น ไม่รู้ว่าหนานกงไหวสั่งให้คนพาตัวนางมาหรือเมื่อครู่หนานกงฮุยไม่ได้พานางไปไหนไกลกันแน่ เมื่อมองเห็นหนานกงมั่วเดินเข้ามา ริ้วรอยความโกรธบนใบหน้าของหนานกงไหวจึงลดลงไปบ้าง เอ่ยถาม “เว่ยซื่อจื่อกลับไปแล้วหรือ”
หนานกงมั่วพยักหน้า หนานกงไหวถอนหายใจ มองบุตรีคนโตจากนั้นหันมามองบุตรีอีกคนที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น มั่วเอ๋อร์เติบโตขึ้นมาโดยไร้มารดา ไร้คนอบรมสั่งสอนทว่าตอนนี้กลับสงบเสงี่ยมและเคร่งขรึม ช่างมีมารยาท ทว่าบุตรีคนรองที่เลี้ยงมากับมือ ไยจึงเติบโตมาไร้คุณธรรมเช่นนี้ เป็นเพราะการเลี้ยงดูของมารดางั้นหรือ