“สวยมาก ข้าชอบ” ยกมือขึ้นสัมผัสเบาๆ ไปที่ปิ่นดอกไม้ หนานกงมั่วเงยหน้าส่งยิ้มให้เขา
คิ้วที่ขมวดมุ่นของเว่ยจวินมั่วก็คลายออกไปด้วย เอ่ยเสียงเบา “ชอบก็ดีแล้ว”
มองใบหน้าหล่อเหล่าตรงหน้า หนานกงมั่วถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ สตรีใดไม่มีอารมณ์รัก แม้จะเป็นเหมือนนางที่ภายในอาจจะไม่ใช่หนุ่มสาวแล้ว เพียงไม่ระวังได้เจอกับชายหล่อเหลา เข้มแข็ง ใส่ใจ อีกทั้งยังเชื่อฟัง มันยากที่จะไม่หลงใหลได้
“เว่ยจวินมั่ว หากข้าตกหลุมรักท่านแล้ว…ท่านกล้ารังแกข้า ข้าจะฆ่าท่านให้ตายไปเลย” หนานกงมั่วกดเสียงต่ำ
เว่ยจวินมั่วยื่นมือออกไป คว้านางเข้าสู่อ้อมแขน หนานกงมั่วซุกอยู่ในนั้นเงียบๆ ทำเพียงฟังเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “นอกจากข้า เจ้ายังจะรักใครอีก” ไม่มีใครดีกับเจ้าเท่าข้าอีกแล้ว อู๋สยา…เจ้าต้องเป็นของข้า
เรื่องไร้สาระอันใดช่างน่ารำคาญเสียจริง ใจกลางเมืองจินหลิง พระราชวังสีเหลืองทองอร่าม ชายชราผมขาวในชุดมังกรกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ หากหนานกงมั่วอยู่ตรงนี้ นางคงจะจำได้ว่าเขาคือชายชราที่นางเจออยู่ที่โรงน้ำชาคนนั้น และคนผู้นี้คือคนเดียวกันกับเซียวเทียนอวี้อ๋องแห่งต้าเซี่ยคนปัจจุบันผู้ก่อตั้งประเทศ แน่นอนว่าเดิมเซียวเทียนอวี้มิได้ชื่อนี้ เป่ยหยวนถูกต่างเผ่าเข้าปกครอง คนตอนกลางไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ ปลายสมัยของเป่ยหยวน เซียวเทียนอวี้เป็นเพียงบุตรชายคนที่สามของครอบครัวชาวบ้านยากจนธรรมดาทั่วไป หากไม่ใช่เพราะครอบครัวยากจน จนไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ เขาคงไม่ลุกขึ้นสู้พร้อมกับคนอื่นๆ จนก่อตั้งขึ้นเป็นกองกำลัง เซียวเทียนอวี้เป็นคนมีความทะเยอะทะยาน มีความสามารถและดวงชะตาที่ดี ในการสู้รบครั้งนั้น สุดท้ายเขากลายเป็นวีรบุรุษ อีกทั้งยังได้แต่งงานกับสตรีที่ชาญฉลาด หลังจากขับไล่ชาวเป่ยหยวนออกไปได้แล้ว จากนั้นจึงต่อสู้ชิงความเป็นใหญ่กับเฉินเหลียงองค์ฮ่องเต้แห่งแคว้นฮั่นในยามนั้น สุดท้ายเอาชนะเฉินเหลียงและก่อตั้งราชวงศ์เซี่ยที่ยิ่งใหญ่
ในครั้งก่อตั้งราชวงศ์เซี่ยที่ยิ่งใหญ่เซียวเทียนอวี้อายุได้สี่สิบห้าปีแล้ว ชั่วพริบตาก็ผ่านไปราวยี่สิบกว่าปี ขุนนางในยุคแรกเริ่มนั้นกลายเป็นคนแก่ไปหมดแล้ว
เนิ่นนาน เซียวเทียนอวี้วางพู่กันในมือและเงยหน้าขึ้นถาม “เจ้าว่า…เชียนเยี่ยผู้นี้ทำอันใดอยู่กันแน่”
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องหนังสือ ขันที่ที่เฝ้ารอปรนนิบัติยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้างไม่กล้าออกความคิดเห็น แน่นอนว่าฝ่าบาทไม่ได้กำลังถามพวกเขา ชั่วครู่ ชายวัยกลางคนที่ยืนห่างออกไปเงยใบหน้าเฉยเมยขึ้นมา เอ่ยเสียงเรียบ “กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่รู้หรือ” เซียวเทียนอวี้เลิกคิ้วสีขาวของเขาขึ้น “ไม่รู้จริงๆ หรือ”
ชายวัยกลางคนยังคงเงียบ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ เรื่องของลูกหลานฝ่าบาทไม่ใช่เรื่องที่เขาจะพูดมากได้ โชคดีที่เซียวเทียนอวี้ก็ไม่ได้ตั้งใจจะบีบบังคับเอาคำตอบจากเขา เพียงส่งเสียงหยันขึ้นมา “ตอนนี้พวกเขาต่างก็โตแล้ว มีแผนการมากมาย เพียงไม่รู้ว่า…นี่เป็นแผนการของรัชทายาทหรือเป็นความคิดของเชียนเยี่ยเท่านั้น” ในห้องใหญ่ไม่มีใครเงยหน้าขึ้นมา แม้แต่ลมหายใจยังไม่กล้าหายใจแรง หลายอย่างที่ฝ่าบาทเอ่ยออกมา สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ขันทีน้อยที่ยืนอยู่ไม่ไกล อยู่ดีๆ ก็โงนเงนเกือบล้มลง พลันดึงสายตาของเซียวเทียนอวี้ให้หันไปมอง ขันทีผู้นั้นขาอ่อนคุกเข่าลงบนพื้น เอ่ยร้องขอเสียงดัง “กระหม่อมผิดไปแล้ว ขอฝ่าบาททรงเมตตา” ดวงตาของเซียวเชียนเยี่ยเย็นเยียบไม่ไหวติง ราวกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ใช่คน ทว่าเป็นราวกับสิ่งของไร้ซึ่งชีวิต
“เอาตัวออกไป ประหาร”
ทหารองค์รักษ์สองคนเดินเข้ามา ลากตัวขันทีคนนั้นออกไป
“ไม่ ฝ่าบาทไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย ฝ่าบาทได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย…”
เสียงร้องขอชีวิตห่างออกไปเรื่อยๆ ความเงียบเข้าปกคลุมห้องโถงใหญ่อีกครั้ง ชายวัยกลางคนยังคงยืนถือดาบของเขานิ่ง ดวงตาปิดลงเล็กน้อยราวกับมองไม่เห็นภาพเมื่อครู่
เซียวเทียนอวี้ส่งเสียง หึ เบาๆ หยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้งและตรวจงานต่อไป
อีกด้านหนึ่งในเมืองจินหลิง ในห้องมืดสลัว จูชูอวี้กำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะด้วยใบหน้าเรียบสงบ วางมือเบาๆ ลงบนฉิน ปลายนิ้วเคลื่อนไหวจนเกิดเสียงบรรเลงฉินไพเราะดังขึ้น สาวใช้สองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างมองใบหน้างดงามที่ยังคงเรียบนิ่งของคุณหนูตนเอง ใบหน้าแสดงออกถึงความชื่นชมอย่างอดไม่ได้ คุณหนูของพวกเขาไม่เพียงมีใบหน้างดงาม ความสามารถก็มิอาจมีใครเทียบได้ สตรีงามมีความสามารถและมีชื่อเสียงอย่างหนานกงซูหรือเซี่ยเพ่ยหวน ไหนเลยจะสู้คุณหนูได้ เพียงแต่น่าเสียดาย…เพียงเพราะฐานะของตระกูลจู คุณหนูจึงถูกกดขี่อยู่เสมอเมื่ออยู่ข้างนอก
จูชูอวี้บรรเลงดีดฉินต่อไปอย่างไม่ใส่ใจ มุมปากมีรอยยิ้มบาง ครั้งที่แล้วได้พูดคุยทำความรู้จักกับหนานกงมั่ว นางยังไม่ได้อันใดนักแต่มิจำเป็นต้องรีบ นางยังพอมีเวลาและต้องอาศัยความอดทน นางรู้ว่าต้องมีสักวันที่นางจะต้องทำสำเร็จเป็นแน่ นางจะพาตระกูลจูไปอยู่ในจุดที่สูงที่สุดไม่ให้มีใครมาเหยียบย่ำได้อีกแล้วเหยียบพวกคนเหล่านั้นให้จมดิน
“จูถิ่งกลับมาแล้วหรือ” เมื่อเสียงฉินหยุดลง จูชูอวี้จึงเอ่ยถาม
สาวใช้ก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว รายงานอย่างนอบน้อม “รายงานคุณหนู จูถิ่งมารอคุณหนูอยู่ด้านนอกแล้วเจ้าค่ะ”
“ให้เขาเข้ามา”
ไม่นาน ชายร่างเล็กก็เดินเข้ามา เคารพต่อจูชูอวี้ด้วยท่าทางนอบน้อม “คารวะคุณหนูใหญ่”
“เป็นอย่างไรบ้าง วันนี้เมืองจินหลิงมีความเคลื่อนไหวอันใดบ้าง”
ชายตัวเล็กเอ่ยเสียงเบา “รายงานคุณหนู ข่าวลือในเมืองที่กำลังได้รับความนิยมในวันนี้ เย่ว์จวิ้นอ๋องและพระชายา อีกทั้งยังมีผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงกับคุณหนูใหญ่หนานกง ต่างพากันออกไปเดินเล่นในเมืองขอรับ มีหลายคนได้พบเห็น เกรงว่าพรุ่งนี้…ทิศทางลมในจินหลิงคงจะเปลี่ยนทิศเสียแล้ว”
มือของจูชูอวี้ที่วางอยู่บนฉินนั้นกำแน่นจนเกือบโดนสายบาดนิ้ว ก้มหน้าลงเล็กน้อย จูชูอวี้เอ่ยถาม “ผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงพาหนานกงมั่วออกไปข้างนอกอย่างนั้นหรือ”
“ขอรับ เราวางคนไว้ที่หน้าจวนตระกูลหนานกง วันนี้คุณหนูหนานกงออกมาก่อน ซื่อจื่อไปหานางที่จวนทว่าไม่เจอกัน จากนั้นก็ไปเจอนางที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ขณะที่เดินเล่นอยู่กับคุณหนูหนานกงบังเอิญพบเข้ากับเย่ว์จวิ้นอ๋องและพระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋อง…” ชายร่างเล็กรายงานโดยละเอียดในสิ่งที่ตนรู้ให้จูชูอวี้ฟัง
“ไม่มีผลกระทบกับนางสักนิดเลยหรือ เว่ยจวินมั่วเองก็ไม่สนใจแม้เพียงนิดเลยหรือ” จูชูอวี้ผิดหวังอยู่บ้าง “คงดูถูกนางเกินไปสินะ”
“คุณหนู ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดีเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยถามด้วยความกังวล
จูชูอวี้ยิ้มบาง “กังวลสิ่งใดเล่า”
“หากจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องและจวนฉู่กั๋วกงร่วมมือกันสืบเรื่องนี้ เกรงว่าพวกเรา…” ข่าวลือถูกปล่อยออกมากะทันหัน แน่นอนว่าจวนฉู่กั๋วกงต้องรู้ว่ามีคนคิดให้ร้าย
จูชูอวี้เอ่ย “กลัวอันใด เรื่องนี้มิใช่เราเป็นคนทำเสียหน่อย อย่างมาก…เราก็เป็นเพียงคนที่ตีคลื่นให้แรงขึ้นก็เท่านั้น ต่อให้ฉู่กั๋วกงจะเอาเรื่อง ก็เอาผิดเราไม่ได้อยู่ดี” สาวใช้ผ่อนลมหายใจเบาๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูฉลาดยิ่งนัก” มิน่าคุณหนูจึงไม่ใช้คนของเราออกไปปล่อยข่าว ทว่าทำเพียงกระจายข่าวที่มันถูกปล่อยออกมาแล้วเท่านั้น ต่อให้จวนฉู่กั๋วกงสืบหาขึ้นมาจริงๆ พวกนางก็สามารถเอาตัวรอดได้