“กักบริเวณสำนึกผิดที่ศาลบรรพชนหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยล้อเลียน มองสำรวจหนานกงไหวอยู่นาน หนานกงมั่วเอ่ยเชื่องช้า “ไม่รู้จริงๆ ว่า…ท่านชอบเจิ้งซื่อไปได้อย่างไร” เอ่ยจบ ไม่สนใจว่าหนานกงไหวจะมีปฏิกิริยาตอบโต้เช่นไร ลุกขึ้นและเดินจากไปทันที
ด้านหลัง หนานกงไหวใบหน้าทะมึน มองแผ่นหลังของหนานกงมั่วที่กำลังเดินจากไปนิ่งโดยไม่เอ่ยสิ่งใด ห้องโถงใหญ่เงียบสงบได้ยินเพียงเสียงเคร้งดังขึ้น ถ้วยชาที่เดิมอยู่ในมือหนานกงไหวยามนี้แตกละเอียดเป็นชิ้นๆ
“คุณหนูใหญ่ เราจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ” เดินตามหลังหนานกงมั่วมา จือซูเห็นว่านี่ไม่ใช่ทางไปเรือนจี้ชั่ง หนานกงมั่วเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ก็ต้องไปศาลบรรพชนน่ะสิ จะว่าไป…นอกจากครั้งแรกที่กลับมาแล้วไปไหว้ท่านแม่ ข้ายังไม่เคยไปศาลบรรพชนอีกเลย” จือซูยิ้ม “คุณหนู ศาลบรรพชนไหนเลยจะเป็นสถานที่ที่ไปได้ตามใจชอบ ไม่ไปจะดีกว่าเจ้าค่ะ” นอกจากวันครบรอบ ตระกูลจัดงานไหว้บรรพชน ศาลบรรพชนก็มีไว้ลงโทษคนทำผิด ดังนั้นไม่มาจะดีกว่า
หนานกงมั่วยิ้มบาง “นั่นก็ไม่แน่ ยังไปเยี่ยมเพื่อนเก่าได้ด้วย”
หมิงฉินปิดปากหัวเราะ “คุณหนูใหญ่อยากไปเยี่ยมเจิ้งฮูหยินกับคุณหนูรองหรือเจ้าคะ”
“ท่านพ่อช่างรวดเร็ว” หนานกงมั่วยิ้มบางๆ ขังเจิ้งซื่อไว้ที่ศาลบรรพชนได้เร็วถึงเพียงนี้ ก็เพราะไม่ต้องการให้นางลงมือกับเจิ้งซื่อได้หรอกหรือ หนานกงไหวช่างดีกับเจิ้งซื่อเหลือเกิน แต่จริงๆ แล้วนางไม่คิดจะลงมือกับเจิ้งซื่อด้วยซ้ำ จะเอาคืนใครสักคน นางไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายมีชีวิตกลับมาเอาคืนนางได้แน่ ช่วงนี้นางทำเพียงแค่หยอกเจิ้งซื่อเล่นก็เท่านั้น ทางที่ดีอย่าให้นางหาหลักฐานเจอว่าหนานกงชิงตกอยู่ในอันตรายครั้งนั้นมาจากฝีมือของเจิ้งซื่อก็แล้วกัน
ประตูศาลบรรพชน มีคนคอยเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นว่าหนานกงมั่วมาจึงรีบทำความเคารพ “คารวะคุณหนูใหญ่”
หนานกงมั่วยิ้มบางๆ “ข้ามาจุดธูปให้ท่านแม่”
คนเฝ้าประตูลังเล หนานกงมั่วเลิกคิ้วขึ้น “ทำไม ไม่ได้หรือ”
“มิกล้าเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่เชิญเลยเจ้าค่ะ” อย่างไรก็ตามไม่มีเหตุผลที่จะห้ามบุตรีจุดธูปแก่มารดา แม้นายท่านจะกักบริเวณฮูหยินและคุณหนูรองไว้ที่นี่ แต่คิดว่าคุณหนูใหญ่คงไม่กล้าทำอะไรพวกนางที่นี่กระมัง หนานกงมั่วยิ้มให้คนเฝ้าประตู เอ่ยบอก “ข้าบอกท่านพ่อแล้ว อย่ากลัว ข้าไม่รังแกหว่านฮูหยินและคุณหนูรองหรอก”
“มิกล้า คุณหนูรองเชิญด้านในเจ้าค่ะ” คนเฝ้าประตูย่นคอ รีบเอ่ยทันใด คุณหนูใหญ่สมแล้วที่เป็นบุตรีคนโตของนายท่าน พลังอำนาจนี้…น่ากลัวเสียจริง
สาวเท้าเข้าไปยังศาลบรรพชน ยังไม่ทันเข้าประตูก็ได้ยินเสียงหนานกงซูดังออกมา “ท่านแม่ ท่านพ่อไม่ต้องการเราแล้วใช่หรือไม่ ไยต้องขังเราไว้ในนี้ ที่นี่หนาวมาก ลูกเจ็บ…” ความจริงเดือนห้าเดือนหกนั้นมิได้หนาวเย็น แต่ว่าศาลบรรพชนสถานที่เช่นนี้มักให้พลังงานหยินที่เย็นยะเยือก ยิ่งตอนกลางคืนยิ่งสัมผัสได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตอนนี้มิใช่ยามกลางคืนก็จริง หาได้ยากที่จะมีบรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนเช่นนี้ ด้านนอกมีเมฆปกคลุมอยู่มากมาย ด้านในศาลบรรพชนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งมืดทั้งอบอ้าว ยิ่งทำให้คนรู้สึกถึงพลังงานหยินมากขึ้น
เจิ้งซื่อกอดหนานกงซูเอาไว้ในอ้อมแขน เอ่ยปลอบใจ “อย่ากลัว เดี๋ยวท่านพ่อของเจ้าก็ปล่อยเราออกไปแล้ว” บาดแผลของหนานกงซูยังรักษาไม่หายดี ศาลบรรพชนแห่งนี้ย่อมมิใช่สถานที่เหมาะแก่การรักษาบาดแผล แน่นอนว่ารอยบาดแผลจึงหายช้าลงอย่างยากจะเลี่ยงได้
“หนานกงมั่วนังแพศยานั่น…ตั้งแต่นางกลับมา เราก็ไม่ได้มีความสุขเลย ทำไมนางต้องกลับมาด้วย” หนานกงซูร้องไห้พลางก่นด่า
เจิ้งซื่อลูบหลังบุตรีเบาๆ เอ่ย “อย่ากลัว…แม่จะแก้แค้นคืนให้เจ้าเอง” ครั้งนี้ถูกขังไว้ในศาลบรรพชนพร้อมกันทำให้นางเสียหน้า แต่ก็ไม่เกินจากที่คาดเอาไว้ นางจึงไม่ได้สนใจ ขอเพียงได้ทำลายหนานกงมั่วเป็นพอ
“ข้ากลับมา…มิใช่เพื่อแต่งงานแทนน้องสาวหรอกหรือ ไยตอนนี้น้องสาวจึงมีท่าทีไม่อยากให้ข้ากลับมาแล้วเล่า” หนานกงมั่วก้าวเข้าไปในศาลบรรพชนพร้อมกับเสียงหัวเราะ ดวงตากลับมีแววเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง หนานกงซูและเจิ้งซื่อรีบหันกลับมา มองเห็นหนานกงมั่วที่ดูมีชีวิตชีวากำลังยืนอยู่หน้าประตู หนานกงซูกัดฟัน “หนานกงมั่ว”
คิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้น “หืม น้องสาวรู้สึกเสียดายไม่อยากแต่งงานกับหวงจั่งซุนแต่อยากกลับไปแต่งเข้าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องแล้วหรือ น่าเสียดาย…ชื่อเสียงของเจ้าตอนนี้ เกรงว่าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องคงจะไม่สนใจแล้วล่ะ”
“ใครคิดจะรักเว่ยจวินมั่วตัวประหลาดนั่น” หนานกงซูกรีดร้อง
เพียะ! ชั่วพริบตาหนานกงมั่วก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหนานกงซู ฝ่ามือฟาดลงไปบนใบหน้าของหนานกงซู “ซูเอ๋อร์ พี่สาวเคยบอกเจ้าหรือไม่ ปากนี้ของเจ้า ทำให้คนอยากฟาดลงมาแรงๆ สักครั้ง โชคร้ายออกมาจากปาก รู้หรือไม่” หนานกงซูตกใจที่โดนตบ ไม่นานก็ได้สติกลับมา ตะโกนเสียงดังลั่นราวกับคนฟั่นเฟือน “กรี๊ด หนานกงมั่ว ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่”
“อืม ข้าจะรอเจ้าไม่ปล่อยข้าไป” หนานกงมั่วยิ้มบางๆ ยกมือขึ้นเล่นเล็บที่ตัดอย่างสวยงามพร้อมทั้งทาสีชมพูสวย “ตบจนมือข้าเจ็บ ซูเอ๋อร์ ใบหน้าของเจ้ามันด้านไม่เบาเลย”
“หนานกงมั่ว” หนานกงซูทนไม่ไหวกรีดร้องดังลั่น
เป็นเจิ้งซื่อที่คว้าบุตรีที่กระโจนขึ้นมา กัดฟันพลางเอ่ย “คุณหนูใหญ่ ท่านอย่ารังแกคนอื่นมากเกินไป”
หนานกงมั่วหลุบตาลง “รังแกคนอื่นเกินไปอย่างนั้นหรือ เจ้าช่างกล้าเอ่ยประโยคนี้ต่อหน้ามารดาข้า ใครกันแน่…หืม รังแกคนอื่นมากเกินไปงั้นหรือ”
เงยหน้าสบเข้ากับดวงตาเย็นเยียบของหนานกงมั่ว เจิ้งซื่อรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ ดวงตาเหลือบมองไปยังป้ายวิญญาณของเมิ่งซื่ออย่างกระวนกระวาย นาง…นางรู้อะไร ไม่ นางไม่มีทางรู้ เจิ้งซื่อพยายามควบคุมตัวเองเอาไว้ เอ่ยตอบ “ข้ามิรู้ว่าคุณหนูใหญ่กำลังกล่าวถึงสิ่งใด”
“เหอะ แล้วแต่เจ้าเถิด” หนานกงมั่วเองก็ไม่โกรธ ขยับยิ้มจนตาหยี “ข้ารู้ก็พอแล้ว” ดังนั้น เจ้าจะยอมรับหรือไม่ก็ไม่ขัดขวางข้าที่ย่อมต้องหาเรื่องมาให้เจ้าได้วุ่นวาย
เจิ้งซื่อคับแค้นใจ กัดฟันพลางเอ่ย “คุณหนูใหญ่คิดจะทำสิ่งใด”
หนานกงมั่วเดินผ่านสองแม่ลูกที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น เดินเข้าไปยังจุดที่มีป้ายบรรพชนของตระกูลหนานกงตั้งอยู่ ด้านล่างสุดเป็นป้ายวิญญาณของหนานกงเมิ่งซื่อ จุดธูปอยู่ข้างๆ เสร็จแล้วหนานกงมั่วจึงหันกลับมา “มาจุดธูปให้ท่านแม่ และถือโอกาสมาเยี่ยมหว่านฮูหยินและน้องรองอย่างไรเล่า”
หนานกงซูอยู่ในอ้อมแขนของเจิ้งซื่อ กัดฟันตอบ “ข้าไม่ต้องการน้ำใจจอมปลอมของเจ้า”
หนานกงมั่วถอนหายใจท่าทางเสียดาย “เช่นนั้นคงน่าเสียดายแล้ว เดิมข้ายังอยากบอกข่าวของหวงจั่งซุนเสียหน่อย”
หนานกงซูชะงัก แม้จะเกลียดหนานกงมั่วเพียงใด แต่ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธต่อข่าวของหวงจั่งซุน จ้องหนานกงมั่วเขม็ง หนานกงมั่วยังคงยิ้ม “เมื่อครู่ ข้าไปเดินเล่นกับเว่ยซื่อจื่อแล้วบังเอิญเจอกับหวงจั่งซุน เจ้าลองทายดูสิว่าหวงจั่งซุนกำลังทำอันใดอยู่”
หนานกงซูไม่พูด หนานกงมั่วโน้มตัวลงไป สัมผัสใบหน้าของนางเบาๆ เอ่ยเชื่องช้า “หวงจั่งซุนกำลังเดินเล่นเป็นเพื่อนพระชายา อีกทั้งยังซื้อเครื่องประดับชุดดอกไม้ปะการังมอบให้พระชายาด้วยหนึ่งชุด ช่างไม่โอ้อวดความรักเสียเลย ซูเอ๋อร์ ข้าเคยบอก หากเจ้าเอาตัวเองไปส่งถึงที่เช่นนั้นย่อมไม่มีใครเห็นความสำคัญหรอก เจ้าน่ะใจร้อนเกินไป”