หนานกงชวี่ชี้ไปที่กระดาษแผ่นหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้น “ไปดูสิ”
หลินซื่อลังเลอยู่ชั่วครู่ เดินไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ก้มหน้าลงไปมอง ใบหน้าพลันซีดขาว ได้ยินเสียงเย็นของหนานกงชวี่ดังขึ้นที่ข้างหู “เจ้ากล้าดีอย่างไร…เอาเงินในคลังจวนไปวางแผนทำลายน้องสาวข้า ลงมือหนึ่งครั้งจ่ายไปกว่าพันตำลึง เจ้าช่างใจกว้างนัก ข้าถามเจ้า รอฮูหยินออกมา เจ้าคิดจะทำอย่างไรให้เงินมันกลับมาเท่าเดิม”
“ออก…ออกมาหรือ” หลินซื่ออึกอัก
หนานกงชวี่คล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม จ้องมองนางนิ่ง “หรือว่า เจ้าคิดว่าจากนี้ไปจวนฉู่กั๋วกงจะอยู่ในกำมือของเจ้างั้นหรือ”
หลินซื่อก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด นางคิดเช่นนั้นจริงๆ มีแม่สามีที่ไหน ลูกสะใภ้เข้ามาอยู่ในจวนตั้งนานแล้ว ทว่าตนเองยังกอดอำนาจเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
หนานกงชวี่พิงเก้าอี้ มองนางด้วยสายตาเยือกเย็น “เจ้าอยากดูแลจวน…ใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงน่าเสียดาย เจ้าโง่เกินไป ไม่สามารถทำมันได้ มั่วเอ๋อร์ขวางทางอำนาจของเจ้า หรือว่าฮุบสมบัติเจ้าไปหรือ”
หลินซื่อก้มหน้าลงต่ำมากยิ่งขึ้น ไม่กล้าบอกว่านางเพียงอิจฉาหนานกงมั่วก็เท่านั้น ความจริงใช่ว่านางจะไม่เข้าใจ ในจวนฉู่กั๋วกง นอกจากสามีแล้ว คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์กับนางก็คือหนานกงมั่ว น้องสาวของสามีผู้นี้ เพียงน่าเสียดาย หนานกงมั่วกลับเป็นคนที่นางริษยาที่สุด ไม่ว่าจะเป็นฐานะของหนานกงมั่ว รูปลักษณ์ของหนานกงมั่ว หรือตำแหน่งพิเศษของหนานกงมั่วในจวนฉู่กั๋วกง หนานกงชวี่เอ่ยถามต่อ “เจ้าเพียงคิดว่า นางเป็นน้องสาวของข้า ไม่กล้าทำอันใดกับพี่สะใภ้อย่างเจ้า งั้นหรือ”
“…”
ความเยือกเย็นพาดผ่านเข้ามาในแววตาของหนานกงชวี่ “ข้ากำลังบอกว่าเจ้าโง่ หากเจ้าไม่ยอมรับ ครั้งนี้ ไม่ลองดูฝีมือของมั่วเอ๋อร์หน่อยเล่า ต่อไปเจ้าจะได้รู้ว่าคนเช่นไรที่เจ้าจะหาเรื่องได้ คนเช่นไรที่จะหาเรื่องไม่ได้”
“ท่านพี่…หมายความเช่นไรหรือเจ้าคะ” หลินซื่อร้อนรนอยู่ไม่นิ่ง
หนานกงชวี่เอ่ย “เจ้ากล้าเอาเงินไปให้ที่บ้านเจ้าปล่อยข่าวมั่วเอ๋อร์ ไม่คิดว่านางจะเอาคืนงั้นหรือ”
“ท่านพี่ หนานกง…มั่วเอ๋อร์ นางคิดจะทำสิ่งใด หรือว่า…หรือว่านางจะเอาคืนตระกูลหลินหรือเจ้าคะ” หลินซื่อไม่คิดว่าหนานกงมั่วเพียงคนเดียวจะสามารถทำอันใดกับตระกูลหลินได้ แต่หากสามีเข้าไปยุ่งด้วย… “ท่านพี่ บิดาของข้าเป็นพ่อตาท่านนะ ท่านทำเช่นนี้มิได้…” หนานกงชวี่ยกมือไปดึงมือนางออกจากการเกาะเกี่ยวแขนเสื้อของตน เอ่ยตอบ “ข้ามิได้จะทำอันใดหรอก แต่ท่านพ่อจะทำหรือไม่ ข้าก็มิอาจรู้ได้”
หนานกงไหวไม่ใส่ใจตระกูลหลินอยู่แล้ว ตระกูลหลินเองก็ไม่มีค่าพอให้หนานกงไหวต้องใส่ใจ และตอนนี้เมื่อรู้ว่าตระกูลหลินทำลายบุตรีของตน เกรงว่าเพื่อศักดิ์ศรีของตนแล้ว หนานกงไหวคงไม่มีวันปล่อยตระกูลหลินไปง่ายๆ เป็นแน่
“ท่านพี่…ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรด…ท่านอย่าบอกท่านพ่อเลย…” หลินซื่อขอร้องอ้อนวอนด้วยความหวาดกลัว
หนานกงชวี่มองหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังอ้อนวอนขอร้องน้ำตานองหน้า ในใจไม่รู้สึกสงสารแม้แต่น้อย เขาไม่โกรธที่เจิ้งซื่อเลือกภรรยาผู้นี้ให้เขา เขา หนานกงชวี่ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยอำนาจของพ่อตาหรือสตรี หากหลินซื่อฉลาดขึ้นมาบ้าง หรือรู้จักอยู่เงียบๆ นางก็ยังคงเป็นฮูหยินน้อยของจวนฉู่กั๋วกง ต่อไปก็คงได้ขึ้นเป็นฮูหยินของจวนฉู่กั๋วกง แต่เห็นแล้วว่าหญิงสาวผู้นี้ยังฉลาดไม่พอ
หนานกงชวี่ยกมือขึ้น บีบปลายคางหลินซื่อเอาไว้แน่น เอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าเป็นภรรยาของข้า แต่เจ้ากลับทำให้ฮุยเอ๋อร์และมั่วเอ๋อร์ไม่พอใจ พี่สะใภ้เป็นดั่งมารดา แล้วเจ้าทำสิ่งใด เจ้าว่า…ข้าควรจะเปลี่ยนภรรยาแล้วหรือไม่”
หลินซื่อขยับไม่ได้ น้ำตานองหน้า ส่ายหน้าด้วยความหวาดกลัว
“ไม่ต้องกลัวไป ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก” หนานกงชวี่ปล่อยนางให้กลับไปพิงเก้าอี้เช่นเดิม “เมื่อเจ้าอยากดูแลจวน ข้าย่อมไม่ห้ามเจ้า ดูว่าเจ้าเองจะมีความสามารถเหมาะสมหรือไม่ แต่ว่า สิ่งใดควรทำสิ่งใดมิควรทำ ต่อไปก็จำเอาไว้ให้ดี สำหรับเรื่องในครั้งนี้ โทษก็คือ…ครึ่งเดือนนี้เจ้าก็ไม่ต้องออกไปไหน คนของเจ้า…ใครกล้าก้าวเท้าออกจากจวนฉู่กั๋วกงแม้แต่ก้าวเดียว ข้าจะตัดขามันเสีย”
หลินซื่อตัวสั่นเทา รู้ว่าหนานกงชวี่ไม่ยอมให้ตนส่งข่าวไปที่บ้าน ทำได้เพียงปลอบตนเองอยู่ในใจ ไม่ว่าอย่างไร…ตระกูลหลินก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกันกับจวนฉู่กั๋วกง ต่อให้ท่านพ่อโกรธเพียงใดก็คงไม่ทำอะไรที่เกินไปต่อตระกูลหลิน ครึ่งเดือนหลังจากนั้นแล้ว ตระกูลหลินเกือบบ้านแตกสาแหรกขาด และบิดามารดาโกรธนางเข้ากระดูก หลินซื่อจึงได้เข้าใจว่าการสั่งห้ามของหนานกงชวี่นั้นหมายความเช่นไร
หนานกงชวี่มองหลินซื่อล้มลุกคลุกคลานออกไป จากนั้นจึงยกมือขึ้นนวดหัวคิ้ว “ไปบอกคุณหนูใหญ่ นางจัดการตระกูลหลินได้ตามใจชอบ สำหรับหลินซื่อ…ข้ายังส่งให้นางตอนนี้มิได้”
ทางด้านนอก ชายหนุ่มที่ยืนเงียบมานานพยักหน้าตอบรับ “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่งขอรับ”
หนานกงชวี่ขมวดคิ้ว เงียบไปชั่วครู่จึงเอ่ยถาม “เจ้ามีความเห็นเช่นไรต่อคุณหนูใหญ่”
ชายหนุ่มมองเขาเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “คุณหนูใหญ่…ฉลาดมากขอรับ” ฉลาดเกินกว่าคนทั่วไป ไม่เพียงฉลาด ซ้ำยังนิ่งขรึมน่ากลัว นิสัยของคุณหนูใหญ่ดูดื้อรั้นไม่ยอมคน มักยั่วยุนายท่านอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยทำให้นายท่านโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทว่ากลับทำให้นายท่านรู้สึกว่าบุตรีผู้นี้ฉลาดเป็นกรด เกรงว่าเมื่อตอนที่คุณชายใหญ่อายุสิบหกปีก็คงไม่ได้เคร่งขรึมถึงเพียงนี้ หนานกงชวี่ยิ้มออกมา “ใช่ ฉลาดมากจริงๆ”
“คุณชายใหญ่ขอรับ…ความจริงคุณหนูใหญ่…” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น
หนานกงชวี่ยกมือขึ้นห้ามคำพูดของเขา เอ่ยเสียงเข้ม “ไม่ต้อง สิ่งสำคัญตอนนี้คือให้นางรีบแต่งออกไป ที่เหลือ…เป็นเรื่องของข้า”
เมื่อเห็นเช่นนั้น ชายหนุ่มจึงถอนหายใจอยู่เงียบๆ เอ่ยอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยรู้แล้วขอรับ ข้าน้อยขอตัวลาแล้ว”
ช่วงนี้ราชสำนักครึกครื้นกว่าปกติ ฝ่ายตรวจการผู้เกียจคร้านวันๆ ไม่ทำสิ่งใด ยามนี้กลับวุ่นวายเป็นไก่ตาแตก ก่อนอื่นคือเรื่องหนานกงไหวไร้ความสามารถสั่งสอนบุตรี จากนั้นก็มีเรื่องหวงจั่งซุนทำตัวเหลวไหลล่อลวงหญิงสาว ผ่านไปหนึ่งวันองค์หญิงฉังผิงก็เข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยตนเอง เรื่องตระกูลหลินปล่อยข่าวลือทำลายชื่อเสียงของลูกสะใภ้ที่ยังไม่ทันได้ออกเรือน ในวันเดียวกันฉู่กั๋วกงหนานกงไหวยังได้ยื่นร้องต่อตระกูลหลินที่เกี่ยวดอง ยิ่งทำให้ราชสำนักต้องสั่นสะเทือน น่าสงสารก็แต่นายท่านหลิน ที่ชาตินี้ทั้งชาติไร้ตัวตน ทว่ามีตัวตนครั้งแรกเพราะถูกองค์หญิงฉังผิงและฉู่กั๋วกงซึ่งเกี่ยวดองกับตนนั้นกล่าวหา ยังดีที่ไม่เป็นลมล้มพับไป ฝ่าบาททรงเห็นว่าไม่เป็นการดีที่จะจัดการหลานชายที่รักของเขาด้วยเรื่องส่วนตัวนี้ และไม่เป็นการดีที่จะจัดการเรื่องของฉู่กั๋วกงด้วยเช่นกัน ดังนั้นไต้เท้าหลินจึงได้กลายเป็นกระสอบทราย ถูกตำหนิต่อว่าอย่างหนัก เดิมตำแหน่งที่มิได้สูงส่งแต่อย่างใดยิ่งถูกปลดลดลงจนต่ำที่สุด ถูกคนหามกลับไป
เท่านั้นยังไม่พอ ไม่นานจากนั้นราชสำนักก็แบ่งออกเป็นสองฝั่ง อีกฝ่ายเห็นว่าต้องประทานสมรสแก่หนานกงซูและเย่ว์จวิ้นอ๋องเพื่อรีบกดเรื่องนี้ให้เงียบไปเสีย กังวลต่อชื่อเสียงของเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งกลับยืนกรานมุ่งมั่นว่าหวงจั่งซุนทำตัวเหลวแหลกควรปลดออกจากตำแหน่ง คุณหนูรองตระกูลหนานกงไร้ยางอายต้องประหารชีวิตทันทีเพื่อมิให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่าง ไม่เพียงแต่หนานกงไหวเท่านั้น ใบหน้าของรัชทายาทเองก็ดำทะมึนไปด้วย