“คุณหนู บาดเจ็บหรือขอรับ ยังไม่รีบไปตามหมออีก” ด้านหลัง องครักษ์เอ่ยขึ้นด้วยความกังวล
“หนาน กง มั่ว” จูชูอวี้กดเสียงต่ำ เนิ่นนานจึงเงยหน้าขึ้นมา เอ่ยขึ้น “ผ่านถนนเส้นนี้ไม่ได้ ต้องไปทางอื่น กลับกันเถอะ”
หนานกงมั่วเจ้าเล่ห์และว่องไวกว่าที่นางคิดเอาไว้ และเว่ยจวินมั่วยังเย็นชากว่าที่นางจินตนาการเอาไว้ด้วย
“คุณหนูใหญ่”
สำนักแพทย์ที่ว่างเปล่า หมอชราช่วยจูชูอวี้ทำแผล เมื่อพันผ้าพันแผลเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกไป องครักษ์หญิงที่ยืนอยู่ด้านข้างอดไม่ได้เอ่ยขึ้นว่า “เว่ยซื่อจื่อผู้นี้เกินไปหรือไม่ ไยจึงใจร้ายเช่นนี้” หากไม่ใช่เพราะองครักษ์ช่วยเอาไว้ได้ทันท่วงที เกรงว่าคุณหนูคงจะโดนรถม้าชนเข้าจริงๆเสียแล้ว จูชูอวี้โบกมือ เอ่ยเสียงเรียบ “หนานกงมั่วโผล่มาที่นั่นพอดี เว่ยซื่อจื่อคงทิ้งคู่หมั้นมาช่วยข้าไม่ได้ ไม่มีอันใดน่าแปลกใจ” เพียงแต่นางดวงไม่ดี กว่าจะมีโอกาสเจอเว่ยจวินมั่ว ทว่าไม่คิดว่าหนานกงมั่วจะโผล่มาอีก นางเข้าใจดี หนานกงมั่วคงมีความระแวดระวังต่อนางแล้ว ต่อไปคิดจะทำสิ่งใดก็คงยากขึ้น
ผ่อนลมหายใจออกมา เอ่ยถามเสียงเบา “รถม้านั่นจัดการแล้วหรือไม่”
“คุณหนูใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ คนของเราเองทั้งนั้น ไม่มีปัญหาแน่นอนเจ้าค่ะ”
จูชูอวี้พยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี”
องครักษหญิงเอ่ยขึ้น “คุณหนูใหญ่ยังจะลองอีกหรือไม่เจ้าคะ เว่ยซื่อจื่อผู้นั้นนิสัยเย็นชา ยามนี้ยังเหลียวมองเพียงคุณหนูใหญ่หนานกง เกรงว่า…ต่อให้คุณหนูทำเต็มที่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นดั่งใจหมาย อย่างไรเสียจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง…” ความวุ่นวายในจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องนั้นเพียงพอจะทำให้คนต้องปวดหัว จูชูอวี้หลับตาลง ใบหน้าเรียบนิ่ง “ข้ารู้…ข้าเองก็ไม่อยาก…ช่างเถิด หากไม่สำเร็จคงต้องหาทางอื่น” ผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงเป็นบันไดที่ดีแก่ตระกูลจูได้ แต่ตระกูลจูก็ไม่อาจมารอวันตายอยู่กับต้นไม้เหล็กที่ไม่มีวันออกดอกเช่นเว่ยจวินมั่วเช่นกัน “เดี๋ยวข้าจะคิดดูให้ดีอีกครา”
เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าขององครักษ์หญิงจึงวางใจ คุณหนูใหญ่หนานกงดูแล้วไม่น่าประมือด้วย คุณหนูใหญ่เองมีความทะเยอทะยาน ไม่จำเป็นต้องแย่งชิงบุรุษกับคุณหนูใหญ่หนานกง
“คุณหนู” องครักษ์หญิงผู้มีใบหน้างดงามอีกคนเดินเข้ามา ยื่นจดหมายให้ด้วยท่าทางนอบน้อม เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อสักครู่มีคุณชายท่านหนึ่งวานให้บ่าวมอบให้คุณหนู บอกว่า…บางทีอาจจะช่วยคุณหนูได้เจ้าค่ะ” สีหน้าจูชูอวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย “ใครกัน” ใครกันที่กำลังจับจ้องนาง หรือบางทีอาจบอกได้ว่ากำลังจับตามองตระกูลจูอยู่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับตระกูลจูนัก
องครักษ์หญิงส่ายหน้า “เป็นเพียงปัญญาชนหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งเจ้าค่ะ แต่เขาบอกว่าเขาเพียงแค่ช่วยคนอื่นส่งจดหมาย บ่าวให้คนแอบตามเขาไปแล้วเจ้าค่ะ”
จูชูอวี้พยักหน้า “ทำดีมาก”
รับจดหมายมาเปิดอ่าน มองดูตัวอักษรด้านหน้าซองจดหมาย สีหน้าของจูชูอวี้พลันเข้มขึ้นเนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา “ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเมืองจินหลิงจะมีบุคคลเช่นนี้ซ่อนตัวอยู่ ที่แท้…ก็เสือหมอบมังกรซ่อนหรอกหรือ” ดูเหมือนว่าเจ้าของของจดหมายฉบับนี้…ดวงตาฉายแววมุ่งมั่น ในเมื่อมาหาถึงที่แล้ว ไม่พบก็คงจะไม่ได้
รอจนคนที่ติดตามคนผู้นั้นไปกลับมารายงานว่าคลาดสายตา จูชูอวี้กลับไม่รู้สึกประหลาดใจ ออกคำสั่งให้พาคนไปยังสถานที่ที่ถูกเขียนเอาไว้ในจดหมาย โชคดีที่สถานที่ที่อีกฝ่ายเลือกเป็นสถานที่ที่นางวางใจได้ หอคณิกาแห่งหนึ่งภายใต้ชื่อของตระกูลจู สตรีเข้าออกหอคณิกาไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียง แต่เมื่ออยู่ภายใต้ชื่อของตระกูลจู แน่นอนว่าจูชูอวี้สามารถจัดการได้
เพราะเป็นตอนกลางวัน ด้านในหอคณิกาจึงเงียบเชียบ เดินเข้าไปด้านหลังที่พักของนางโลม พลันมองเห็นนางโลมที่มีชื่อเสียงไปทั่วจินหลิงกำลังนั่งเล่นฉินอยู่ตรงนั้น ไม่ไกลออกไปก็มีชายในชุดสีดำกำลังเอนตัวอยู่บนเบาะนุ่ม มือเท้าศีรษะกำลังนั่งฟังนางโลมบรรเลงฉิน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของจูชูอวี้ ชายผู้นั้นหันกลับมามองนางเล็กน้อย ใบหน้าของชายผู้นั้นสวมหน้ากาก มองเห็นสีหน้าไม่ชัด ในใจจูชูอวี้นั้นรู้สึกผิดหวังขึ้นมา เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านเชิญข้ามา มีสิ่งใดชี้แนะอย่างนั้นหรือ”
“หึ แม่นางจูช่างมีความกล้าไม่น้อย ชายผู้นั้นพลิกตัว อยู่ในท่าทีสบายมากขึ้นมองสำรวจจูชูอวี้ จูชูอวี้เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านรู้กระทั่งว่าข้าจะมาก่อนเวลา จึงมารอที่นี่อย่างนั้นหรือ เจ้าออกไปก่อน” คำพูดด้านหลังนั้นจูชูอวี้หันไปบอกกับนางโลม นางโลมทำความเคารพจูชูอวี้ “เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่”
ชายหนุ่มยืดตัวตรงขึ้น หัวเราะพลางมองไปยังหญิงสาว เอ่ยอีกว่า “ไม่เลว จินหลิงมีหญิงสาวที่ฉลาดหลักแหลมทั้งยังกล้าหาญเช่นนี้ ทำให้ข้าประหลาดใจยิ่งนัก”
จูชูอวี้เริ่มหงุดหงิด ตอบกลับว่า “หากท่านยังหลบๆ ซ่อนๆ อยู่เช่นนี้ คงต้องขออภัยด้วยหากข้าจะไม่อยู่เป็นเพื่อนท่านแล้ว”
คิ้วคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากเลิกขึ้น เอ่ยเข้าเรื่อง “ช่างเถิด เชิญคุณหนูจูมาวันนี้…แน่นอนว่าย่อมมีเรื่องต้องพูดคุย”
“ท่านบอกว่าช่วยข้าแต่งเข้าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องได้ ไยข้าต้องเชื่อท่าน แล้วไยท่านต้องช่วยข้า” จูชูอวี้เอ่ยเสียงเรียบ ไม่ได้สูญเสียสติเพราะข่าวนี้ ชายผู้นี้โผล่มากะทันหันเกินไป ทำให้นางต้องระมัดระวังตัว ชายผู้นั้นมองนาง กล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้น่ะหรือ…ข้าช่วยเจ้าก็เหมือนช่วยตัวข้าเอง เพราะเจ้าอยากแต่งเข้าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง และข้า…บังเอิญ อยากได้หนานกงมั่ว แม้ข้าจะไม่รู้ว่าทำไมคุณหนูใหญ่ตระกูลจูถึงต้องหมายมั่นเว่ยจวินมั่ว แต่นี้มิได้สลักสำคัญอันใด”
เพื่อหนานกงมั่วหรือ จูชูอวี้เริ่มทบทวนความเป็นไปได้ว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นใครได้บ้าง พลางหลุบตาลงเอ่ยถาม “ท่านรู้ได้เยี่ยงไรว่าข้าต้องการแต่งกับเว่ยจวินมั่ว” นางมั่นใจว่าตนเองนั้นระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง และคนรอบข้างนางมีความจงรักภักดีต่อนางแน่นอน
“อ๋า…บังเอิญว่าวันนี้ข้าได้ชมละครที่ข้างถนนเข้า” ชายผู้นั้นยิ้ม “เพียงแต่น่าเสียดาย…ดูแล้วหัวใจของเว่ยซื่อจื่อคงจะหนักแน่นดังเหล็กกล้า”
ดวงตาของจูชูอวี้มีแววกรุ่นโกรธ เอ่ยคำถาม “คำถามสุดท้าย ท่าน…เป็นใครกันแน่”
ชายคนนั้นยืดตัวขึ้น ยิ้มพร้อมกับตอบว่า “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ สำคัญก็คือคุณหนูจูคิดว่าเราจะร่วมมือกันได้หรือไม่” จูชูอวี้ยิ้มเย็น “ข้าไม่ร่วมมือกับคนที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน”
ชายผู้นั้นถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา “ความหวาดระแวงของหญิงสาวมีมากไปก็ไม่ดี”
จูชูอวี้ยิ้ม ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
ชายผู้นั้นเพียงขยับตัวเล็กน้อย เขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าจูชูอวี้ จูชูอวี้ยังไม่ทันหลบก็ถูกเขาดึงเข้าสู่อ้อมแขน
“ปล่อยข้า” จูชูอวี้โกรธเกรี้ยว ยกมือขึ้นกำลังจะผลักออก ทว่าแผลบนแขนทำให้นางเจ็บจนใบหน้าซีดขาว “ปล่อย…”
ชายผู้นั้นใช้นิ้วเกี่ยวปลายคางนางขึ้นมา เอ่ยอย่างชื่นชม “สตรีงดงามฉลาดหลักแหลม เพียงน่าเสียดาย…หากแม่นางมีชาติตระกูลเช่นคุณหนูใหญ่หนานกง คิดว่าอนาคตตำแหน่งฮองเฮาก็คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม” เห็นว่าจูชูอวี้โกรธจนตัวเกร็ง ชายหนุ่มจึงยิ้มออกมา “วางใจ ข้าไม่มีความรู้สึกสนใจต่อเจ้าในยามนี้แน่ และแน่นอน ถ้าหากคุณหนูจูต้องการกอดอุ่นๆ ข้าเองก็ย่อมไม่ปฏิเสธ”