“ทูลองค์หญิง พระชายารองเฝิงและอนุหันมาเพคะ” ด้านนอก เสียงสาวใช้รายงานดังเข้ามา อย่างไรเสียองค์หญิงฉังผิงก็ยังเป็นองค์หญิง แม้ว่านางกับจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องจะครองเรือนร่วมกันมายี่สิบกว่าปีแล้วก็ตาม เรื่องในจวนส่วนใหญ่จะมีอนุสองคนคอยดูแลจัดการ ทว่าไม่มีใครกล้าเรียกขานอนุทั้งสองว่าฮูหยินเหมือนจวนฉู่กั๋วกง ความจริงต่อให้จวนฉู่กั๋วกงจะเรียกเจิ้งซื่อว่าฮูหยินก็เรียกหลังจากที่เมิ่งซื่อจากไปแล้ว เพียงแต่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องนั้น ต่อให้องค์หญิงไม่อยู่แล้ว นอกเสียจากหนึ่งในสองของอนุจะขึ้นรับตำแหน่งต่อ ไม่เช่นนั้นชาตินี้ทั้งชาติพวกนางก็คงไม่มีโอกาสได้รับคำเรียกขานว่าฮูหยินเป็นแน่
องค์หญิงฉังผิงลุกขึ้นนั่ง เอ่ยตอบ “ให้พวกนางเข้ามา”
หันไปมองหนานกงมั่วด้วยท่าทางเสียใจ “นานๆทีเจ้าจะมา กลับต้องมาโดนคนพวกนี้รบกวน แต่ว่า เจ้าได้เจอพวกนางก็ดี อนาคตอย่างไรก็ต้องเจอ เพื่อไม่ให้พวกนางรังแกที่เจ้าอายุน้อยกว่าได้”
หนานกงมั่วยิ้มบางๆ “ขอบพระทัยองค์หญิงเพคะ” ความจริงถึงสองคนนี้จะไม่มา นางก็คงหาวิธีให้ได้พบอยู่ดี
ไม่นานจากนั้น หญิงสาวหน้าตาสะสวยสองคนก็เยื้องย่างเข้ามา หญิงสาวที่เดินนำหน้านั้นอยู่ในอาภรณ์สีแดงพริ้วไหว ชายผ้าปักลายเมฆมงคลและตัวอักษร ‘ความสุข’ ยาวคลุมพื้น ได้รับการจัดแต่งทรงผมเป็นมวยเมฆคล้อย ปิ่นทองรูปหงส์ห้าหางประดับอยู่บนศีรษะ เม็ดทับทิมสีแดงสวยห้อยลงมาอยู่ระหว่างคิ้ว ดูท่าทีสง่างามไม่ธรรมดา หากมิรู้มาก่อนคงคิดว่านางเป็นชายาของจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องแล้ว ส่วนหญิงสาวที่เดินอยู่ด้านหลังนั้นดูธรรมดากว่ามาก สวมเพียงอาภรณ์สีขาวปักลวดลายดอกไม้ ผมม้วนง่ายๆ และปักปิ่นเอาไว้ ดูท่าทางสงบเสงี่ยม เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นกลับไม่ได้สงบไปด้วยเลยสักนิด
หญิงที่เดินนำอยู่ตรงหน้านั้นคือเฝิงซื่อ ชายารองของจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง เฝิงซื่อเดินเข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้ม เอ่ยขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าองค์หญิงป่วยจึงพึ่งได้มาเยี่ยม ขอองค์หญิงโปรดอภัยด้วยเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงชายตามองนาง “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจถึงเพียงนี้ เพียงอาการป่วยเล็กน้อยเท่านั้น”
เฝิงซื่อนั้นมิได้รู้สึกอึดอัดเพราะความเย็นชาขององค์หญิง สายตาหันไปมองหนานกงมั่วที่นั่งอยู่ด้านข้าง “ผู้นี้คงจะเป็นคุณหนูหนานกง ช่างเป็นสตรีที่งดงาม ซื่อจื่อโชคดีแล้ว” เมื่อเอ่ยจบ มือบางเตรียมยื่นเข้าไปสัมผัสใบหน้าของหนานกงมั่ว ทว่ามือที่กำลังยื่นออกไปนั้นโดนคว้าเอาไว้ทันที หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้นมองรอยยิ้มหยันของเฝิงซื่อด้วยแววตาเรียบนิ่ง
เฝิงซื่อตกใจเมื่อข้อมือถูกจับเอาไว้ อยากดึงมือกลับทว่าข้อมือนั้นถูกหนานกงมั่วจับเอาไว้แน่น หากไม่ออกแรงก็ไม่มีทางดึงกลับมาได้
“คุณหนูหนานกง ทำไมหรือ หรือว่าอยากสนิทชิดเชื้อกับข้า” เฝิงซื่อยิ้ม “องค์หญิง ดูเหมือนลูกสะใภ้ที่ยังไม่ออกเรือนของท่านจะมีวาสนากับหม่อมฉัน”
หนานกงมั่วผลักมือเฝิงซื่อออก เอ่ยเสียงเบา “พระชายารองเฝิง เล็บมือยาวเกินไปได้โปรดอย่าแตะต้องใบหน้าของข้า หากไม่ระวังได้รับบาดแผล…ข้าจะกล้าข่วนใบหน้าท่านคืนได้อย่างไร” สายตาของทุกคนมองไปยังมือของเฝิงซื่อ เล็บยาวที่ได้รับการตกแต่งนั้นดูแล้วทำให้คนรู้สึกเป็นอันตรายเสียจริง
เฝิงซื่อยิ้มกระอักกระอ่วน “คุณหนูหนานกงล้อเล่นแล้ว ข้าเพียงเห็นว่าคุณหนูหนานกงนั้นงดงาม อยากสัมผัสจึงอดใจไม่ได้ก็เท่านั้น” จริงอยู่ที่นางเคยใช้เล็บข่วนใบหน้าของเว่ยจวินมั่ว แต่แม้แต่เรื่องตั้งแต่สี่ห้าขวบเว่ยจวินมั่วก็เล่าให้หนานกงมั่วฟังอย่างนั้นหรือ
หนานกงมั่วกดคิ้วต่ำ ใบหน้ายังคงเรียบนิ่งดังที่เคยเป็นอยู่เสมอ ทว่าวาจาแหลมคมนั้นทำให้คนเกิดความโกรธได้เป็นอย่างดีทีเดียว “ข้าว่ากับซื่อจื่อเองก็คงเป็นเช่นนั้นด้วย พระชายารองคงอยากสัมผัสสักครั้งบ้างเหมือนกันใช่หรือไม่”
เฝิงซื่อกัดแน่นจนฟันแทบหัก สายตาเย็นเยือกจ้องเขม็งไปยังหนานกงมั่ว นางไม่คิดมาก่อนว่าตนเองยังไม่ทันทำอันใด คุณหนูหนานกงผู้นี้ก็ชิงไม่เกรงอกเกรงใจนางก่อนถึงเพียงนี้ มาแก้แค้นแทนเว่ยจวินมั่วอย่างนั้นหรือ หรือว่า…องค์หญิงฉังผิงพูดอะไรกับนางงั้นหรือ
องค์หญิงฉังผิงกระแอมไอ เอ่ยขึ้น “มั่วเอ๋อร์อายุยังน้อย เอ่ยตรงไปตรงมาเสียหน่อย พวกเจ้าอายุปูนนี้แล้วก็อย่าไปถือสาเด็กเลย”
เฝิงซื่อโกรธ เจ้าต่างหากเล่าที่อายุปูนนี้
น่าเสียดายเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์หญิงฉังผิงนางไม่อาจไม่นอบน้อม ทำได้เพียงกัดฟันอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับแสดงออกอย่างนอบน้อม “เพคะ องค์หญิง”
“นั่งลงเถิด” องค์หญิงฉังผิงโบกมือ บอกให้พวกนางนั่งลง
ทั้งสองนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้าง หันซื่อจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา “องค์หญิงดีขึ้นบ้างหรือไม่เพคะ” องค์หญิงฉังผิงตอบด้วยรอยยิ้ม “ดีขึ้นมากแล้ว เดิมก็ไม่ได้เป็นอันใดมาก สาวใช้ของข้าตื่นตระหนกเกินไปหน่อย” ระหว่างที่เอ่ย องค์หญิงฉังผิงจึงรู้สึกได้ว่าตั้งแต่หนานกงมั่วทิ่มเข็มที่ปลายนิ้วของนาง นางก็รู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว ก่อนหน้านี้ไม่ทันสังเกต แต่เมื่อหันซื่อเอ่ยถามนางจึงนึกขึ้นได้ จึงมองไปยังหนานกงมั่วที่นั่งนิ่งอยู่ด้านข้างอย่างขบคิดทว่ากลับไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา แล้วค่อยหันกลับไปคุยกับพวกนางทั้งสองต่อ “ไยพวกเจ้าจึงมีเวลามาที่นี่ได้”
หันซื่อเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ยามนี้ซื่อจื่อไม่อยู่ องค์หญิงป่วย พวกเราก็ควรมาเยี่ยมเยียน นับเป็นสิ่งสมควรแล้ว พี่เฝิงก็บอกอีกด้วยว่าเรื่องพิธีสมรสของซื่อจื่อ อยากขอคำปรึกษาจากองค์หญิงด้วยเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงพยักหน้า “งานแต่งของจวินเอ๋อร์…พวกเจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าทูลขอฝ่าบาทให้ฝ่ายพิธีการจัดเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าเพียงดูแลเรือนซูอวิ๋นให้เรียบร้อยก็พอ รอจวินเอ๋อร์กลับมาจะได้ย้ายไป”
ใบหน้าของเฝิงซื่อและหันซื่อแข็งค้างไปชั่วครู่ เรือนซูอวิ๋นเป็นเรือนที่พักของซื่อจื่อแห่งจวนจิ้งเจียงโดยเฉพาะ และเป็นเรือนที่ใหญ่ที่สุดในจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องฝั่งเหนือ จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องแบ่งเป็นสองฝั่งเหนือใต้ ฝั่งใต้นั้นเป็นที่พักของบรรดาสนมและเชื้อสายรอง ฝั่งเหนือเป็นส่วนที่พักของเหล่าคุณชาย เดิมเว่ยจวินมั่วก็ต้องพักที่เรือนซูอวิ๋น แต่องค์หญิงฉังผิงไม่วางใจต้องการเลี้ยงดูด้วยตนเอง เว่ยจวินมั่วจึงอาศัยอยู่ที่เรือนชิงเฟิงที่อยู่ด้านข้างกับเรือนขององค์หญิงฉังผิง เว่ยจวินมั่วอยู่เรือนชิงเฟิงเพียงลำพังจึงนับว่ามีขนาดพอดีเหมาะสมมิได้เล็กเกินไป ทว่าเมื่อแต่งงานแล้วก็ย่อมต้องมีลูกถึงเวลานั้นก็คงจะไม่เพียงพอแล้ว ดังนั้นเมื่อแต่งงานเรียบร้อยเว่ยจวินมั่วจะย้ายออกก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่เรือนซูอวิ๋นนั้น เฝิงซื่อและหันซื่อต่างก็เคยช่วงชิงให้แก่บุตรชายของพวกตน แต่น่าเสียดายที่องค์หญิงฉังผิงนั้นไม่ยอมและเก็บเอาไว้ให้แก่บุตรชายของนาง
เนิ่นนานจากนั้นเฝิงซื่อจึงเอ่ยตอบ “น้อมรับคำสั่งองค์หญิงเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หันไปส่งยิ้มให้หนานกงมั่วพลางเอ่ย “เจ้าเองก็ไม่ต้องเขินอาย เดี๋ยวข้าจะเอาแบบมาให้เจ้าดู หากมีตรงไหนอยากปรับปรุงก็บอกพวกนางไปได้ อนาคตเจ้าต้องอยู่ที่นั่น หากอยู่แล้วไม่สบายมันจะทำให้เจ้าต้องลำบาก”
หนานกงมั่วเองก็ไม่ปฏิเสธ เพียงยิ้มพร้อมเอ่ยตอบรับ “ขอบพระทัยองค์หญิง มั่วเอ๋อร์จะจำเอาไว้เพคะ”
หันซื่อเอ่ยขึ้นด้วยความอิจฉา “องค์หญิงกับคุณหนูหนานกงเข้ากันได้เป็นอย่างดี แม่สามีและลูกสะใภ้เข้ากันได้ดีนับว่าเป็นเรื่องงดงาม” คุณชายสี่เว่ยจวินอี้ก็ใกล้จะแต่งงานแล้ว เพียงแต่จวิ้นอ๋องยังไม่ทันตัดสินใจว่าจะเป็นสตรีบ้านใด เพียงแต่เมื่อตรองดูแล้วก็รู้ว่าคงเป็นการยากที่จะได้สตรีที่มีความโดดเด่นอย่างคุณหนูหนานกง ดูไปแล้วก็ช่างน่าริษยาเสียจริง เพียงเพราะองค์หญิงฉังผิงเป็นธิดาของฝ่าบาท ต่อให้บุตรชายของเขาจะเป็นตัวประหลาดที่มีที่มาไม่ชัดเจน แต่กลับได้แต่งกับบุตรีคนโตที่เป็นเชื้อสายหลักของจวนกั๋วกง แต่อี้เอ๋อร์ของนาง…มีฐานะซื่อจื่อของเว่ยจวินมั่วกดเอาไว้แล้วยังไม่พอ ก่อนหน้ายังมีเว่ยจวินเจ๋อและเว่ยจวินปั๋วสองพี่น้องบุตรชายของเฝิงซื่ออีกด้วย สิ่งดีๆ ล้วนย่อมตกมาไม่ถึงตน