หลินซื่อแอบกัดฟันอยู่เงียบๆ รู้สึกว่าแม่นมหลานกำลังกล่าวเสียดสีนาง ทว่าแม่นมหลานกลับมิได้เอ่ยนาม นางจึงจำเป็นต้องอดทนเอาไว้
“แม่นมมามีเรื่องอันใดหรือ ให้จือฉี รู่ฮว่ามารายงานก็พอแล้ว” หนานกงมั่วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
แม่นมหลานเอ่ย “เมื่อครู่คนของจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องมาแจ้ง เหมือนองค์หญิงฉังผิงจะป่วยเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ไปเยี่ยมดีหรือไม่เจ้าคะ”
“เอ่อ…เหมาะสมหรือไม่” ยังไม่ทันได้แต่งงานก็วิ่งไปบ้านแม่สามีคงไม่เป็นการดี แม่นมหลานโบกมือไม่ใส่ใจ “มารยาทก็ต้องดูเวลาเจ้าค่ะ ยามนี้ซื่อจื่อไม่อยู่จินหลิง องค์หญิงฉังผิงป่วย ตามหลักแล้วคุณหนูต้องไปดูแลจึงจะถูก”
หนานกงมั่วพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม่นมหลานเตรียมตัวสักหน่อย ยามบ่ายข้าจะไปจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง”
“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปจัดเตรียมเดี๋ยวนี้” แม่นมหลานเหลือบตามองหลินซื่อเล็กน้อย ขมวดคิ้วและหมุนตัวเดินออกไป หลายวันมานี้นางเข้าใจแล้ว นางไม่จำเป็นต้องกังวลใจเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่เลย คนอย่างหลินซื่อย่อมมิได้อยู่ในสายตาของคุณหนูใหญ่ด้วยซ้ำ
มองแม่นมหลานเดินออกไป หลินซื่อจึงผ่อนลมหายใจออกมา สำหรับแม่นมหลานที่เป็นสาวใช้เคียงกายเมิ่งซื่อผู้นี้ หลินซื่อรู้สึกไม่ถูกชะตา มิใช่แค่เพียงหนานกงมั่ว หนานกงชวี่และหนานกงฮุยเองก็เกรงอกเกรงใจต่อนาง ยิ่งทำให้หลินซื่อรู้สึกไม่พอใจ เมื่อไม่มีหญิงชรามาขวางหูขวางตาแล้ว หลินซื่อจึงดึงสติกลับมา กำลังจะเอ่ยบางอย่างกับหนานกงมั่วอีก หนานกงมั่วเองก็ไม่เกรงใจ กล่าวเสียงเรียบ “พี่สะใภ้ เดี๋ยวข้าต้องไปยังจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง รบกวนท่านช่วยเตรียมของขวัญให้ด้วยเถิด”
หลินซื่อชะงัก เอ่ยถามเสียงต่ำ “แม่นมหลานไปจัดเตรียมให้แล้วมิใช่หรือ”
หนานกงมั่วมองนางด้วยสายตาราวกับมองเด็กมิรู้ความ “ที่แม่นมหลานเตรียมคือส่วนของข้ามอบให้กับองค์หญิงฉังผิง ยามนี้องค์หญิงป่วย หากเราไม่รู้ก็แล้วไป ในเมื่อตอนนี้รู้แล้ว หรือว่าตอนนี้จวนฉู่กั๋วกงจะไม่แสดงน้ำใจอันใดเลยหรือ”
หลินซื่อฝืนยิ้ม “น้องสาวยังไม่ทันแต่งออกเรือนก็คิดเผื่อแม่สามีเช่นนี้แล้วหรือ น้องสาว ไม่ใช่พี่สะใภ้จะทำให้เจ้าลำบากใจ ความจริงคือ พี่สะใภ้ดูแลทุกอย่างในบ้านเรือน ลำบากยากเข็ญ ยามนี้ท่านพ่อก็ไม่อยู่…น้องสาวระวังเอาไว้บ้างก็ดี” หนานกงมั่วขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่รบกวนพี่สะใภ้แล้ว ในเมื่อพี่สะใภ้ดูแลรับผิดชอบจวน ประหยัดมัธยัสถ์ เช่นนั้นก็ทำให้เป็นตัวอย่าง คนอื่นจะได้เชื่อมั่นในตัวท่าน ตามความเห็นของข้า…การประหยัดลดค่าใช้จ่ายครั้งนี้ควรเริ่มจากเรือนลี่ฉิน น่าจะเป็นการดีหรือไม่”
อะไรนะ หลินซื่อตกใจ ไม่คิดว่าหนานกงมั่วจะผลักไฟเข้าหาตน สินสมรสของนางเดิมก็มิได้มากมาย สองปีมานี้ยังถูกเจิ้งซื่อกดขี่ เงินที่มีก็เอาออกมาใช้ไม่น้อย ยามนี้หากต้องลดค่าใช้จ่ายลง แล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด ยามนี้ตระกูลหลินนั้นล้มไปแล้ว จำต้องใช้เงินมากมาย ไหนเลยจะทนต่อความลำบากนี้ได้
สุดท้ายหลินซื่อจึงทำได้เพียงยกมือทาบอกและเดินออกจากเรือนจี้ชั่งไป หมุนตัวมุ่งหน้าไปยังเรือนไฉ่อู๋ สำหรับการที่หลินซื่อจะถูกเจิ้งซื่อปฏิเสธอย่างไรนั้นไม่เกี่ยวอันใดกับหนานกงมั่ว
เมื่อทานมื้อกลางวันแล้ว หนานกงมั่วก็พาคนตรงไปยังจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องเป็นใหญ่เป็นโตก่อสร้างประเทศมาพร้อมกันกับฉู่กั๋วกง และยังนับเป็นญาติห่างๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน จวนของทั้งสองนั้นมิได้อยู่ไกลกันมาก อยู่ในถนนเส้นเดียวกัน เพียงแต่จวนหนึ่งอยู่ปลายสุดฝั่งนี้ อีกจวนอยู่ปลายสุดฝั่งนั้นก็เท่านั้น
เมื่อเข้ามาในจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง เห็นได้ชัดว่าบ่าวในจวนนั้นประหลาดใจต่อชายาของซื่อจื่อผู้นี้ เมื่อเปรียบเทียบกับเจิ้งซื่อที่เป็นใหญ่เพียงผู้เดียว จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องย่อมวุ่นวายกว่ามาก แม้แต่บ่าวรับใช้ในจวนเองยังอยู่ไม่นิ่ง เมื่อได้รับการพาไปยังเรือนที่องค์หญิงพำนัก ทันทีที่เดินเข้ามาหนานกงมั่วก็รู้สึกถึงสายตาสอดส่องจากสาวใช้ด้านหลัง
เมื่อเดินตามเข้าไปจนถึงห้องบรรทม องค์หญิงฉังผิงเอนกายอยู่บนที่นอนนุ่ม ถอดเครื่องประดับออกทั้งหมด เสื้อผ้าธรรมดา และใบหน้าที่ไม่ได้รับการแต่งแต้มใดๆ ทำให้นางดูอ่อนเยาว์ลงไปมาก เพียงแต่ใบหน้าที่เดิมเคยซีดขาวยามนี้กำลังแดงระเรื่อ ทว่าริมฝีปากกลับซีดเซียว ตอนที่หนานกงมั่วเดินเข้าไปหานางกำลังไออยู่
“เด็กดี เจ้ามาแล้วหรือ” องค์หญิงฉังผิงมองเห็นหนานกงมั่วจึงแสดงออกถึงความดีใจ ยกมือคว้านางให้นั่งอยู่ตรงหน้า เอ่ยว่า “นั่งลงก่อน”
หนานกงมั่วนั่งลง เอ่ยเสียงเบา “องค์หญิง ทำไมจึงป่วยได้ล่ะเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ข้าชินแล้ว เดิมร่างกายข้าก็ไม่แข็งแรง”
หนานกงมั่วยกแขนนางขึ้นมาและกดจุดชีพจร องค์หญิงฉังผิงรู้จากเว่ยจวินมั่วว่านางมีความรู้ทางการแพทย์จึงมิได้ห้าม เพียงเอ่ยบอก “ป่วยเล็กๆ น้อยๆ เพียงเท่านั้น ไม่ต้องกังวล” หนานกงมั่วส่ายหน้า “อาการป่วยเล็กน้อยหากไม่รักษาก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้เพคะ องค์หญิงรักษาสุขภาพจะเป็นการดีที่สุด” เมื่อตรวจชีพจรโดยละเอียดแล้ว หนานกงมั่วก็ขมวดคิ้ว มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา องค์หญิงฉังผิงเห็นเช่นนั้นจึงอดเอ่ยปากถามมิได้ “ทำไมหรือ หรือว่าข้าป่วยหนัก เจ้าพูดมาเถิด”
หนานกงมั่วส่ายหน้า เอ่ยขึ้นด้วยร้อยยิ้ม “ไม่ได้ป่วยหนักอันใดเพคะ องค์หญิงอย่าได้กังวล”
รอยยิ้มขององค์หญิงฉังผิงปรากฏขึ้น เอ่ย “เช่นนั้นก็ดี ข้ามิได้อยากป่วยเป็นโรคร้ายแรงอันใดหรอกนะ ข้ายังอยากเห็นจวินเอ๋อร์แต่งงานมีหลานให้ข้า”
หนานกงมั่วอดตกใจไม่ได้ รู้สึกขวยเขินอยู่ในใจ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มมีความสุขอย่างแท้จริงบนใบหน้าซีดเซียวขององค์หญิงฉังผิง ในใจจึงอ่อนยวบ ในยุคสมัยนี้ได้เจอแม่สามีที่ดีเช่นองค์หญิงฉังผิงก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้วใช่หรือไม่
“องค์หญิงกลัวเจ็บหรือไม่เพคะ” หนานกงมั่วถาม องค์หญิงฉังผิงส่ายหน้า มองหนานกงมั่วด้วยท่าทางแปลกใจ หนานกงมั่วยื่นมือออกมา เข็มสีเงินสะท้อนแสงวาววับหลายเล่มวางอยู่ในมือของนาง องค์หญิงฉังผิงเอ่ยถาม “มั่วเอ๋อร์ฝั่งเข็มเป็นด้วยหรือ” หนานกงมั่วเอ่ย “รู้เพียงเล็กน้อยเพคะ”
เห็นนางหยิบเข็มทิ่มลงไปเบาๆ ที่องค์หญิงฉังผิง สาวใช้รอบข้างต่างพากันตกใจจนเหงื่อตก ชายาซื่อจื่อผู้นี้ช่างกล้าหาญยิ่งนัก มีความรู้เพียงเล็กน้อยกลับกล้าที่จะฝังเข็มให้องค์หญิง หากเกิดอันใดขึ้น… “คุณหนูหนานกง…”
องค์หญิงฉังผิงยกมือขึ้นห้ามความกังวลของสาวใช้ “ช่างเถิด ไม่เป็นไร พวกเจ้าออกไปก่อน”
“แต่ว่า องค์หญิง…” องค์หญิงเป็นถึงเชื้อพระวงศ์สูงส่ง หากเกิดความผิดพลาดอันใดใครจะรับผิดชอบได้ หนานกงมั่วอดยิ้มออกมาไม่ได้ “มิต้องกังวลไป มิใช่การฝังเข็มอันใด เพียงทิ่มลงไปก็เท่านั้น” จับปลายนิ้วขององค์หญิงฉังผิงขึ้นมา ปลายเข็มแหลมทิ่มลงไปที่ปลายนิ้ว องค์หญิงฉังผิงรู้สึกเจ็บจนต้องชักนิ้วกลับโดยไม่ตั้งใจ ปลายนิ้วมีเลือดไหลออกมาจนเป็นเม็ดกลม หนานกงมั่วรีบหันไปยังถ้วยชาที่วางอยู่ด้านข้าง พลิกมือเทน้ำชาออกจนหมด พลิกมือขององค์หญิงฉังผิงคว่ำลง ให้เลือดหยดลงไปในถ้วยชา
แม้จะไม่เข้าใจการกระทำของนาง องค์หญิงฉังผิงกลับมิได้โกรธเคือง เพียงมองนางอย่างประหลาดใจ หนานกงมั่วยกถ้วยชามาใกล้จมูกเพื่อดมกลิ่น แขนเสื้อขยับเบาๆ ทิ้งเม็ดยาลงไปในถ้วยยามที่ทุกคนไม่ทันสังเกต จากนั้นเทน้ำลงไป ตามด้วยปิดฝาถ้วยชา
“มั่วเอ๋อร์ นี่คือ…”
หนานกงมั่วยื่นมือไปนวดปลายนิ้วขององค์หญิงฉังผิง ปลายนิ้วที่กำลังเจ็บเพราะโดนเข็มทิ่มนั้นหายเจ็บในทันที องค์หญิงฉังผิงมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความตกใจ หนานกงมั่วยิ้มออกมาทว่าไม่เอ่ยคำพูดใดๆ