แม่นมหลานส่ายหน้า “บ่าวห้ามคุณหนูใหญ่ไม่ได้ คุณหนูใหญ่อยู่ข้างนอกต้องระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ”
“คุณหนู เอาพวกเราไปด้วยนะเจ้าคะ” หมิงฉินอดไม่ได้เอ่ยขึ้น
หุยเสวี่ยเองก็พยักหน้าสนับสนุน “นั่นสิเจ้าคะ คุณหนู อยู่ข้างนอกแล้วใครจะดูแลปรนนิบัติท่านกันเล่า”
หนานกงมั่วหัวเราะเบาๆ “ข้าต้องการให้ใครปรนนิบัติกันเล่า เฟิงเหอ ช่วงนี้พวกเจ้ารีบช่วยข้าจัดเตรียมสินเจ้าสาวให้เรียบร้อย จือซู ธุระในเรือนจี้ชั่งให้เป็นหน้าที่เจ้ากับแม่นมหลานช่วยกันดูแล รวมทั้งสินเจ้าสาวพวกนั้น พวกที่ควรเก็บก็เก็บเถิด” ทุกคนทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ หนานกงมั่วคิดอยู่ชั่วครู่พลางเอ่ย “ข้าไปแล้วปิดเรือนจี้ชั่งเสีย อย่าให้ใครเข้าออกได้ บอกกับคนอื่นว่า…ข้ากำลังเตรียมตัวออกเรือน ตัดเย็บชุดแต่งงาน ถือศีลหรืออะไรก็ได้ หากมีปัญหาอันใดก็ไปหาคุณชายใหญ่ เขาช่วยจัดการได้”
“เจ้าค่ะ คุณหนูวางใจเถิด บ่าวจะไม่ยอมให้หญ้าสักต้นหรือไม้สักกิ่งหายไปจากเรือนจี้ชั่งเลยเจ้าค่ะ รอคุณหนูใหญ่กลับมา ชุดเจ้าสาวและสินเจ้าสาวจะถูกจัดเตรียมเรียบร้อย คุณหนูใหญ่เพียงเป็นเจ้าสาวอย่างสบายใจก็พอแล้วเจ้าค่ะ” หมิงฉินปิดปากยิ้ม หนานกงมั่วยิ้มบางๆ “ข้าเชื่อใจพวกเจ้า”
“คุณหนูใหญ่อยู่ข้างนอก…ต้องระวังตัวให้ดีนะเจ้าคะ” สำหรับสาวใช้อย่างพวกนางแล้ว หญิงสาวตัวคนเดียวออกไปอยู่ข้างนอกเป็นสิ่งที่พวกนางจินตนาการไม่ออก พวกเฟิงเหอนั้นยังนับว่าเคยเดินทางกลับจากตานหยางมาพร้อมกับหนานกงมั่วบ้าง ทว่าจือซูกับหมิงฉิน ชั่วชีวิตนี้ออกไปไกลที่สุดก็คือการไปเดินถนนกับคุณหนูเท่านั้น รู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อยกับการที่คุณหนูออกเดินทางโดยไม่พาใครไปด้วย
หุยเสวี่ยเหลือบมองชายหนุ่มสองคนที่ทำตัวเป็นเทพเฝ้าประตู มุมปากยกยิ้มเอ่ย “ได้ยินว่าพวกท่านเป็นคนขององค์หญิงหรือ ในเมื่อคุณหนูใหญ่จะออกเดินทาง ความปลอดภัยของคุณหนูคงต้องฝากพวกท่านแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูล่ะก็…หึ!” น้ำเสียงข่มขู่ น่าเสียดายที่มันไม่มีความน่ากลัวเลยแม้แต่น้อยเมื่อออกมาจากริมฝีปากของหุยเสวี่ยที่รูปร่างบอบบาง ฝังเหลือบตามองเวยที่ยืนกอดกระบี่นิ่ง กระแอมไอและเอ่ยเสียงเบา “แม่นางโปรดวางใจ พวกเราจะคุ้มครองคุณหนูเป็นอย่างดี”
“นี่ยังไม่พอ” หุยเสวี่ยหันไปจ้องเวยเขม็ง ผมสีเทาแปลกประหลาดไปทั้งศีรษะ แค่มองก็ดูไม่เหมือนคนดี วิเศษวิโสมาจากไหนกัน
เมื่อหนานกงไหวไม่อยู่ ไม่ว่าเจิ้งซื่อหรือหลินซื่อก็ทำอะไรนางมิได้ ขอเพียงได้รับความยินยอมจากหนานกงชวี่ หนานกงมั่วจึงออกจากเมืองหลวงไปอย่างง่ายดาย ต่อให้หนานกงชวี่มิยินยอมนางก็สามารถแอบหนีออกไปได้ แต่เมื่อมีใครสักคนที่คอยรับหน้าแทนนางอยู่ที่จินหลิงย่อมนับเป็นเรื่องที่ดี ดังนั้นก่อนออกมาหนานกงชวี่จึงฝากของให้นางมอบให้หนานกงฮุย หนานกงมั่วจึงรีบรับปากด้วยความร่าเริง
จากจินหลิงถึงหูก่วงล้วนเป็นเส้นทางทางบก ม้าเร็วยังต้องใช้เวลากว่าเจ็ดแปดวันกว่าจะถึง สำหรับการเดินทางของกองทัพนั้น เวลานี้คาดว่าคงยังไม่ถึงจุดหมาย ดังนั้นหากพวกนางเดินทางให้ไวหน่อย ต่อให้ตามเว่ยจวินมั่วไม่ทัน อย่างน้อยก็มิได้ช้าไปกว่าพวกเขามากเท่าใดนัก เมื่อออกจากเมืองจินหลิง ทั้งสามก็ขึ้นม้าที่ถูกตระเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว มุ่งหน้าไปตามเส้นทางการเคลื่อนตัวของกองทัพ ฝังและเวยต่างเดินทางอยู่ด้านนอกเป็นประจำ เขตหูก่วงก็ไม่นับว่าอยู่ห่างจากจินหลิงมากนักจึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่คุ้นเคยเส้นทาง
ไม่นานทั้งสามก็ออกห่างจากเมืองหลวงมากว่าหนึ่งร้อยลี้แล้ว ฝังและเวยหันไปมองหนานกงมั่ว รู้สึกนับถือมากยิ่งขึ้น คุณหนูในเมืองจินหลิงที่ขี่ม้าเป็นนับว่ามีไม่น้อย แต่การขี่ม้ากับเดินทางด้วยความเร็วนั้นมันคนละเรื่อง คุณหนูหนานกงขี่ม้ามาด้วยความเร็วตลอดทั้งวันพร้อมกับพวกเขาทั้งสองทว่ากลับไม่แสดงท่าทีเหนื่อยล้าให้เห็น ไม่รู้สึกนับถือคงไม่ได้
ทั้งสามหยุดม้าที่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ฝังเอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อม “คุณหนู ฟ้ามืดแล้วคืนนี้พวกเราพักกันที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางต่อเถิดขอรับ”
หนานกงมั่วพยักหน้า ความจริงนางเองก็ไม่ได้สบายอย่างที่แสดงออกมาให้ได้เห็น อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้ขี่ม้าบ่อยนัก การขี่ม้าตลอดทั้งวันก็ทำให้นางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง
ที่นี่เป็นโรงเตี๊ยมที่ดูไม่สะดุดตาเท่าใดนัก แม้กระทั่งชื่อก็ยังไม่มี เขียนเพียงคำว่าโรงเตี๊ยมไว้เท่านั้น แต่สถานที่เช่นนี้สำหรับคนที่ออกเดินทางนั้นนับว่าสำคัญ บริเวณโรงเตี๊ยมที่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นร้านค้าหรือหมู่บ้าน หากไม่มีโรงเตี๊ยมแห่งนี้แล้วล่ะก็ผู้คนคงจะต้องนอนอย่างลำบากยากเข็ญ ทว่าผู้ที่จะมาทำกิจการโรงเตี๊ยมในที่ทุรกันดารเช่นนี้มีไม่มาก และสามารถเปิดโรงเตี๊ยมได้แน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดา
“เชิญท่านทั้งสามด้านในเลยขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์เดินออกมาต้อนรับด้วยความกระตือรือร้น รับเชือกบังเหียนจากทั้งสามพลางเอ่ยขึ้น “เชิญด้านในเลยขอรับ”
ฝังหยิบเงินออกมา เอ่ยถาม “ยังมีห้องอยู่ไหม”
เสี่ยวเอ้อร์มองทั้งสามคน เอ่ยด้วยท่าทีลำบากใจ “ต้องขออภัยทั้งสามท่านด้วย วันนี้มีแขกจำนวนมาก เหลือเพียงสองห้องเองขอรับ” โรงเตี๊ยมในพื้นที่ทุรกันดารเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครสนว่าจะเป็นห้องด้านบนหรือด้านล่าง ขอเพียงได้พักผ่อนเพียงเท่านั้น แค่มีที่ซุกหัวนอนก็เพียงพอแล้ว ฝังเอ่ย “ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็เอาสองห้อง” มองโรงเตี๊ยมที่ดูค่อนข้างโทรมตรงหน้า จากนั้นจึงเอ่ยเสียงแผ่วเบา “อยู่ข้างนอก หากขาดตกบกพร่องประการใดขอคุณหนูได้โปรดอภัยด้วยขอรับ”
หนานกงมั่วโบกมือ “ไม่เป็นไร”
เสี่ยวเอ้อร์มองหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างสนใจ แม้จะมีผ้าคลุมหน้ามองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน แต่น้ำเสียงเรียบนิ่งชัดเจนรวมทั้งดวงตาคู่นั้นที่เผยให้เห็นกลับทำให้คนต้องตกตะลึง แม่นางผู้นี้ไม่ธรรมดาเป็นแน่ ไม่ใช่หญิงสาวที่จะมาปรากฏตัวอยู่ในสถานที่เช่นนี้ได้ หนานกงมั่วกวาดตามองเสี่ยวเอ้อร์ด้วยสายตาเรียบนิ่ง สาวเท้าเดินนำเข้าไปด้านใน
มิน่าเสี่ยวเอ้อร์ถึงได้กล่าวว่าไม่มีห้องพักแล้ว เพียงเดินเข้ามาก็เห็นผู้คนมากมายนั่งพูดคุยกันเสียงดังจอแจ ผู้จัดการโรงเตี๊ยมกำลังพูดคุยกับลูกค้ารายหนึ่งด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเป็นแขกที่คุ้นเคย เมื่อมองเห็นทั้งสามเดินเข้ามา ผู้จัดการรีบปลีกตัวจากแขกผู้นั้นและเดินเข้ามาต้อนรับ “เชิญทั้งสามท่านด้านในก่อนขอรับ ทั้งสามท่านเข้าพักหรือทานข้าวขอรับ”
“เข้าพัก” ฝังมองผู้จัดการร้านอย่างเบื่อหน่าย ฟ้ามืดถึงเพียงนี้แล้ว สถานที่ทุรกันดารเช่นนี้พวกเขาจะเพียงทานข้าวสักมื้อได้จริงๆ หรือ
ผู้จัดการยิ้ม เอ่ยตอบ “ยามนี้โรงเตี๊ยมของเราเหลือเพียงสองห้อง ทั้งสามท่าน…พอได้หรือไม่ขอรับ”
ฝังพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ไปจัดเตรียมเถิด นอกจากนี้ ขออาหารสักสองสามอย่างมาด้วย คุณหนู เชิญนั่งทางนี้ขอรับ”
เมื่อทั้งสามคนเดินเข้ามาย่อมดึงดูดสายตาผู้คนไม่น้อย หนานกงมั่วนั้นดูไม่ธรรมดาอย่างไม่ต้องเอ่ยถึง ถึงแม้จะสวมอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีฟ้าธรรมดาๆ แต่สตรีในยุทธภพนั้นยากจะเทียบได้จึงมองออกได้ง่ายๆ ฝังและเวยแม้จะอายุยังน้อย แต่อย่างไรก็ทำงานที่ได้เงินเร็ว พลังอำนาจบางอย่างที่แผ่ออกมาทำให้ผู้คนไม่กล้าท้าทาย โดยเฉพาะใบหน้าเย็นชานั่น อีกทั้งเวยที่มีเส้นผมเป็นสีเทาแทรกอยู่ประปรายยิ่งเป็นที่สะดุดตามากขึ้น
ทั้งสามเลือกที่นั่งตรงมุมในสุดของห้องโถงใหญ่ ไม่นานเถ้าแก่เนี้ยก็ยกชาร้อนออกมา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทั้งสามท่านโปรดรอสักครู่ อีกครู่หนึ่งอาหารก็จะมาแล้วเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าจะไปช่วยจัดเตรียมห้องให้คุณหนูท่านนี้ รับรองสะอาดสะอ้านแน่นอนเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้น ยิ้มบางๆ พลางเอ่ย “ขอบคุณเถ้าแก่เนี้ย” เถ้าแก่เนี้ยรีบบอกไม่เป็นไร ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะคิกคักก่อนจะเดินจากไป
ในห้องโถงใหญ่นั้นเสียงดังวุ่นวาย โต๊ะตรงหน้าของทั้งสามนั้นมีคนหน้าตาบึ้งตึงสี่คนนั่งอยู่ ชายวัยกลางคนยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มเสียงดังโหวกเหวก ซ้ายมือมีชายชราสองคน หนึ่งคนอ้วน หนึ่งคนผอม ชายชราตัวอ้วนเตี้ยมีผมขาวแซมอยู่ก็จริงแต่กลับดูไม่แก่เลย ส่วนชายชราผอมสูงผมเป็นสีดำทว่ากลับมีรอยย่นไปทั่วทั้งใบหน้า สิ่งเดียวที่ทั้งคู่มีเหมือนกันคือใบหน้าที่ดูบึ้งตึง