มีเสียงดังขึ้นจากด้านนอกประตู
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว ได้ยินเพียงเสียงคนด้านนอกดังขึ้น “ท่านแม่ทัพจังอยากเชิญเราเข้าร่วมงานเลี้ยงก่อน เจ้าสำนักจึงอยากเชิญแม่นางไปด้วยกันขอรับ”
หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เสี้ยวบนหัว เอ่ยเสียงเรียบ “แม่ทัพจังช่างเลือกเวลา” ยามนี้ข่าวจังติ้งฟังหาคนไปสังหารหนานกงไหวกระจายไปทั่วทั้งยุทธภพ ยังหวังว่าหนานกงไหวจะไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเลยหรือ นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจะทำเป็นปิดหูปิดตาไปเพื่ออันใดกัน ทำให้คนภายนอกต้องหัวเราะเยาะเสียเปล่าๆ “แม่ทัพจังเป็นนาย เราจึงจำต้องทำตามขอรับ”
หนานกงมั่ววางผ้าลง ส่งกระบี่ชิงหมิงกลับเข้าฝักอีกครั้ง เอ่ยอย่างเฉยชา “ข้ารู้แล้ว ไปเถอะ”
เมื่อเดินตามชายผู้นั้นลงมา ก็พบกลุ่มของจินผิงอี้รอที่ห้องโถงอยู่ก่อนแล้ว ไม่เพียงแต่คนของสำนักกลเจ็ดดาว ก่อนหน้านี้คนกว่าครึ่งก็ถึงแล้ว เพียงแต่ต่างคนต่างไม่พูดคุย บรรยากาศไม่ได้ดีถึงเพียงนั้น จินผิงอี้เห็นหนานกงมั่วลงมาจึงเอ่ยขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้ม “แม่นางเมิ่ง รบกวนเวลาพักผ่อนของท่านแล้ว”
หนานกงมั่วเอ่ยตอบเสียงเรียบ “เจ้าสำนักกล่าวหนักไปแล้ว”
เห็นทั้งสองพูดคุยกันด้วยความคุ้นเคย ดวงตาของคนอื่นๆ จึงดูลุ่มลึกมากขึ้น
“จอมยุทธ์ทั้งหลาย ท่านแม่ทัพรอทุกท่านอยู่ที่บ้านแล้ว เชิญทุกท่าน” ชายวัยกลางคนกำลังลูบเคราของเขา เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
บรรดาจอมยุทธ์อาจจะเย่อหยิ่งไปเสียหน่อย พวกเขาไม่มีใครสนใจชายผู้นั้น เพียงพยักหน้ารับและเดินออกไป ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็มิได้โกรธเคืองอันใด เพียงหัวเราะเบาๆ แล้วเดินตามหลังไป หนานกงมั่วและจินผิงอี้มองสบตากันเล็กน้อย รู้กันอยู่ในใจ จังติ้งฟังเชิญจอมยุทธ์จากทั่วทุกสารทิศถึงเพียงนี้ คิดว่าคงไม่เพียงฆ่าหนานกงไหวเพียงเท่านั้นแล้ว
บ้านของแม่ทัพตั้งอยู่ใจกลางเมือง เดิมเป็นที่อยู่ของปู้เจิ้งซื่อ[1]แห่งหูก่วง ยามนี้ปู้เจิ้งซื่อยอมพ่ายแก่ศัตรูและยกให้จังติ้งฟัง จวนปู้เจิ้งซื่อแห่งนี้กลายเป็นที่ปักหลักของกองทัพจังติ้งฟัง เมื่อเดินเข้าไป หนานกงมั่วจึงเข้าใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อยว่าทำไมปู้เจิ้งซื่อจึงได้ยอมพ่ายแก้ศัตรู ปู้เจิ้งซื่อเป็นขุนนางขั้นสาม แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับฉู่กั๋วกงที่อยู่ในเมืองแล้วก็ไม่ได้ด้อยกว่ามากนัก หากบอกว่าเขาไม่โกงกินเกรงว่าแม้แต่หมูก็คงไม่เชื่อ และคนโลภมากเช่นนี้แน่นอนว่าต้องรักตัวกลัวตาย ไม่แน่บางทีอาจแอบติดต่อกับจังติ้งฟังก่อนหน้านั้นอยู่นานแล้ว
แม้จะเป็นเวลาดึกดื่น ทว่าบ้านของแม่ทัพยังคงมีแสงไฟส่องสว่างเจิดจ้า ห้องโถงโอ่อ่ายิ่งใหญ่ จังติ้งฟังที่อายุเลยห้าสิบไปแล้วกำลังนั่งอยู่ตรงนั้นและยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม ช่างแตกต่างไปจากหนานกงไหว จังติ้งฟังนั้นเกิดในตระกูลสูงส่ง ต่อมาถูกล้มเพราะติดตามเจ้านายผิด ยามนี้ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ กษัตริย์ฮั่นและบรรดานายพลของเขาจึงต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าจังติ้งฟังที่ห่างหายไปกว่าสิบปีจะกลับมาก่อสงครามขึ้นอีกครั้ง
จังติ้งฟังที่อายุห้าสิบกว่าทว่ายังคงดูหนุ่มแน่น ดวงตาคู่ดุจอินทรีคู่นั้นช่างงดงาม อีกทั้งยังไร้ซึ่งความเย่อหยิ่งและสูงส่งมั่งคั่งเหมือนกับคนเหล่านั้นที่อยู่ในจินหลิง รูปร่างของเขายังคงดูองอาจ ใบหน้าซูบผอมเล็กน้อย แต่สามารถมองออกว่าสมัยยังเป็นหนุ่มนั้นเขาต้องหล่อเหลาไม่เบาเป็นแน่
ด้านข้างของจังติ้งฟังคือหญิงสาวผู้สวมอาภรณ์สีเขียว คลุมใบหน้าด้วยผ้าบาง แม้จะเห็นไม่ชัด ทว่าดวงตาคู่นั้นที่โผล่ออกมากลับเป็นดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง งดงามน่าหลงใหล
“ลำบากทุกท่านที่ต้องเดินทางมาไกล ข้าขอดื่มให้ทุกท่านหนึ่งจอก” จังติ้งฟังยกจอกเหล้าขึ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
คนอื่นๆ ลุกขึ้นยืน ยกจอกเหล้าหันเข้าหาจังติ้งฟังอย่างนอบน้อม ชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวที่นั่งตรงข้ามกับหนานกงมั่วเอ่ยขึ้นว่า “แม่ทัพจังเกรงใจแล้ว ยามนี้ท่านแม่ทัพชูธงแห่งความชอบธรรมขึ้นสูง แน่นอนว่าข้ายินดีที่จะช่วยเหลือ” ในขณะที่ชายหนุ่มเอ่ย สายตาก็เบนไปหาสตรีในอาภรณ์สีเขียวที่นั่งด้านข้าง ชะงักไปเล็กน้อย
จังติ้งฟังยิ้ม “ข้าต้องขอบคุณน้ำใจของทุกท่านด้วย”
จินผิงอี้ถือจอกเหล้าเอาไว้ เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “เหตุผลที่แม่ทัพจังเรียกพวกเรามา พวกเราต่างรู้ดี เพียงแต่…ท่านแม่ทัพควรให้พวกเราได้เห็นของล้ำค่าชิ้นนั้น เพื่อเป็นบุญตาสักครั้ง จะดีหรือไม่”
เมื่อเอ่ยคำนี้ออกไป ผู้คนต่างเห็นด้วย การเอ่ยแสดงตัวช่วยเหลือนั้นมันเป็นเพียงฉากบังหน้าก็เท่านั้น หากไร้ผลประโยชน์แล้วล่ะก็ ใครจะยอมสละชีวิตเพื่อคนธรรมดาๆ คนหนึ่งกัน ต่อให้จังติ้งฟังจะมีชื่อเสียงมากมายเพียงใด ย่อมมิได้เกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับคนในยุทธภพ
จังติ้งฟังหัวเราะพลางเอ่ย “แน่นอนอยู่แล้ว เด็กๆ”
ไม่นาน ชายสองคนที่ดูรูปร่างคล้ายทหารก็เดินถือกล่องเข้ามา จังติ้งฟังเดินเข้าไปเปิดกล่องออกด้วยตนเอง ดาบสีทองดูเรียบง่ายวางอยู่ตรงหน้าของเขา ฝักถูกประดับด้วยอัญมณีหลากสีสันดูสูงส่ง ทว่าดูออกได้ว่าเป็นสิ่งที่ทำขึ้นในภายหลังมิใช่ฝักเก่าแก่แต่เดิม
เห็นท่าทางยืดคออยากเห็นดาบของทุกคน จังติ้งฟังจึงหัวเราะออกมา ยื่นมือไปหยิบดาบนั้นมา ชักออกจากฝัก ดาบยาวสีทองสะท้อนแสงระยิบระยับ ผู้คนคล้ายได้ยินเสียงเสือคำราม เมื่อมองดูอีกครั้งหนึ่ง ฝักที่เดิมอยู่ในมือของนายทหารกลับหักออกเป็นสองท่อน ชายผู้หนึ่งเดินเข้าไปหยิบฝักนั้นขึ้นมาลูบเบาๆ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป ฝักที่ทำด้วยเหล็กชั้นดีและอัญมญีแข็งแกร่งที่สุด ทว่าเมื่อถูกดาบหงหมิงฟันเข้าไป ไม่มีเสียงแม้เพียงเล็กน้อย ช่างเป็นดาบล้ำค่าที่สามารถตัดเหล็กตัดทองได้จริงๆ
ในมือของจังติ้งฟัง แสงสีทองของดาบหงหมิงสะท้อนออกมาเป็นที่น่าหลงใหล ซ้ำยังมีกลิ่นอายเลือดแผ่ออกมา ดาบนี้ไม่เพียงตัดเหล็กตัดทองได้ ยังสามารถฆ่าคนได้ง่ายราวกับเพียงตัดสายป่าน
ผู้คนที่อยู่ตรงนั้น ดวงตาแพรวพราวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
หนานกงมั่วลูบไล้กระบี่ชิงหมิงไปมาอย่างไม่ใส่ใจ
จังติ้งฟังมองแววตาของทุกคน หัวเราะออกมา “ทุกท่านพอใจแล้วหรือไม่”
“เป็นดาบที่ยอมเยี่ยมจริงๆ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา ทันในนั้นชายชุดสีเทาก็ลุกขึ้นพุ่งตัวเข้าหาดาบหงหมิงทันที จังติ้งฟังแสยะยิ้ม ระหว่างนั้นถูกผู้อารักขาดาบทั้งสองคนเข้ามาขัดขวางจึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น แสงสว่างวาบผ่านไป ร่างของชายชุดสีเทาแยกออกจากกันทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้สัมผัสดาบแม้แต่น้อย
ผู้คนพากันมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ จังติ้งฟังกลับนิ่งเฉยไม่ใส่ใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อทุกท่านได้เห็นดาบหงหมิงแล้ว มาชมหญิงงามอันดับหนึ่งกันบ้างดีหรือไม่”
ผู้อารักขาทั้งสองพาดาบหงหมิงเดินออกไป และมีคนเดินเข้ามาเก็บร่างไร้ชีวิตนั้นตามออกไป ยามนี้มิมีผู้ใดกล้าคิดแย่งดาบหงหมิงอีกแล้ว
หญิงงามอันดับหนึ่ง… สายตาของทุกคนหันไปหาสตรีในอาภรณ์สีเขียวด้านข้าง
หญิงสาวลุกขึ้น ย่อตัวทำความเคารพต่อทุกคน เอ่ยเสียงเบา “ข้าจังอู๋ซิน คารวะจอมยุทธ์ทุกท่าน”
จังติ้งฟังกลับไปนั่งลงอีกครั้ง มองหญิงสาวชุดเขียวแล้วยิ้มออกมา หันกลับมาหาทุกคน “นี่คือบุตรีของข้า อู๋ซิน ข้ารักษาคำพูดเสมอ ใครที่สามารถเด็ดหัวหนานกงไหวมาให้ข้าได้ ข้าจะมอบอู๋ซินให้เขาอย่างแน่นอน ดาบหงหมิงและเงินหมื่นตำลึงทองถือเป็นสินเจ้าสาวของบุตรีแล้ว”
หญิงสาวยกมือขึ้นมา ปลดผ้าบางที่คลุมหน้าอยู่ออกแช่มช้า
มองมือสวยราวกับหยกนั่น ผู้คนต่างพากันกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ผ้าขาวบางค่อยๆ แง้มเปิดออก ใบหน้างดงามล่มชาติล่มเมืองปรากฏสู่สายตาของทุกคน
——————————————————-
[1] ปู้เจิ้งซื่อ คือ ตำแหน่งข้าหลวงพิเศษผู้มีอำนาจเต็ม