จังติ้งฟังและกงอวี้เฉินมองสบตากัน เมิ่งเย่ว์ผู้นี้เป็นใครกันแน่
ผู้บัญชาการทหารมองทั้งคู่ เอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก “อีกอย่าง…คุณหนูใหญ่…ไปหาแม่นางเมิ่ง เหมือนจะยังไม่กลับมาขอรับ”
“แย่แล้ว” สีหน้าของจังติ้งฟังเปลี่ยนไป รีบหมุนตัวเดินออกไป กงอวี้เฉินยังคงอยู่ที่เดิม ก้มหน้ามองร่างที่ไร้ศีรษะ เงียบไปชั่วครู่ “รับคำสั่ง ปิดท่าเรือให้หมด ใครที่ตั้งใจจะข้ามแม่น้ำ ไม่ว่าชายหญิงเด็กหรือคนชรา เอาตัวมาให้หมด”
“ขอรับ คุณชาย”
ผู้บัญชาการทหารรีบออกไปโดยเร็ว กงอวี้เฉินขมวดคิ้วนิ่งคิดอยู่เนิ่นนาน เอ่ยเสียงเรียบ “น่าสนใจ…เมิ่งเย่ว์ เจ้าเป็นใครกันแน่ หนานกงมั่วหรือ…”
ในเรือนเล็ก เจ้าสำนักกลเจ็ดดาวหลับไปนานแล้ว ทว่าถูกเสียงจอแจวุ่นวายปลุกให้ตื่น จินผิงอี้ผลักประตูเปิดด้วยความขุ่นเคือง มองเห็นจังติ้งฟังที่มีสีหน้าเกรี้ยวกราดจึงขมวดคิ้วพลางเอ่ยเสียงเข้ม “แม่ทัพจัง มีอันใดกันหรือ” จังติ้งฟังกัดฟัน “ข้าเองก็อยากถามเจ้าสำนักจินเช่นกันว่านี่มันอันใดกัน”
จินผิงอี้ขมวดคิ้ว เมื่อหันไปก็พบว่าผู้อารักขาหญิงทั้งสองกำลังประคองใครบางคนออกมาจากห้องของเมิ่งเย่ว์ เมื่อมองดูดีๆ จินผิงอี้ก็จำได้ว่าเป็นบุตรบุญธรรมของจังติ้งฟัง จังอู๋ซินนั่นเอง ได้แต่เอ่ยถามอย่างสงสัย “คุณหนูจังมาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
จังติ้งฟังยิ้มเย็น “เจ้าสำนักไม่รู้หรือ เมิ่งเย่ว์ผู้นั้นเป็นใครกัน ข้าหวังว่าเจ้าสำนักจะอธิบายกับข้าได้”
จินผิงอี้หัวใจหนักอึ้ง เกิดเรื่องแล้วสินะ
มองจังติ้งฟังเงียบๆ “ท่านแม่ทัพอย่าได้โกรธ ข้าไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ขอท่านได้บอกกับข้าโดยละเอียดเถิด”
จังติ้งฟังกัดฟัน “เมิ่งเย่ว์วางยาบุตรีของข้า และเข้าไปสังหารหลินเซี่ยที่เรือนชิวเยี่ย”
“หลินเซี่ยหรือ” จินผิงอี้ไม่เข้าใจ เขาไม่รู้จักหลินเซี่ย แน่นอนจึงไม่รู้ฐานะของเขาเช่นกัน
จังติ้งฟังเอ่ย “หลินเซี่ยคืออดีตปู้เจิ้งซื่อ เมื่อข้าเข้ายึดเมืองได้ก็กลายเป็นคนของข้า ตอนนี้ เจ้าสำนักจินคงจะรู้ว่าเมิ่งเย่ว์เป็นใครแล้วใช่หรือไม่”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน” น้ำเสียงของจินผิงอี้ขาดหาย ทว่ากลับเย็นยะเยือกอยู่ในใจ เมิ่งเย่ว์ผู้นั้น…เป็นคนของราชสำนักงั้นหรือ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จินผิงอี้ไม่รู้เลยว่าเขาควรโกรธหรือรู้สึกโชคดีดี โกรธที่ตนเองถูกเมิ่งเย่ว์หลอก โชคดีที่ไม่ถูกหลอกไปนานกว่านี้ หากไม่มีเรื่องคืนนี้…ผลสุดท้ายคงเลวร้ายจนยากจะจินตนาการได้ เมื่อคิดถึงก่อนหน้านี้ที่ตนนั้นนับถือต่อความฉลาดหลักแหลมของเมิ่งเย่ว์ มั่นใจได้เลยว่าหากเมิ่งเย่ว์ต้องการเข้าร่วมสำนักกลเจ็ดดาว เขาจะไม่สงสัยอีกฝ่ายเลยสักนิด โชคดีแล้วที่เป้าหมายของเมิ่งเย่ว์ไม่ใช่สำนักกลเจ็ดดาว
สูดหายใจเข้าลึก จินผิงอี้เอ่ยเสียงเข้ม “แม่ทัพจัง คิดว่าท่านคงรู้ว่าข้าเองก็พึ่งรู้จักเมิ่งเย่ว์หลังจากมาถึงเฉินโจว ดังนั้น นางเป็นใครข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
“ไม่รู้หรือ!” จังติ้งฟังตะคอกเสียงดัง เขาแทบอยากจะเอ่ยออกมาว่าคนที่ไม่รู้จักเจ้ายังให้ความสำคัญเพียงนี้ เจ้าเป็นหมูหรือ
แต่ยามนี้จินผิงอี้มิได้สูญเสียสิ่งใด คนที่สูญเสียคือเขา ความจริงจินผิงอี้เองก็นับว่าสูญเสีย กระบี่ชิงหมิงของเขาบินจากไปแล้ว
“เจ้าสำนักจิน เรื่องนี้เจ้าต้องให้คำอธิบายกับข้า” จังติ้งฟังเอ่ยด้วยความเกรี้ยวกราด โบกมือบอกให้คนพาจังอู๋ซินไปให้หมอตรวจรักษา จินผิงอี้ใบหน้าทะมึน ถูกคนหลอกเขาเองก็ย่อมต้องรู้สึกไม่พอใจอยู่ภายใน
“ท่านแม่ทัพ เรื่องนี้เห็นจะโทษเจ้าสำนักจินไม่ได้” ทางด้านนอก กงอวี้เฉินปรากฏตัวเดินเข้ามาพลางเอ่ยเสียงเข้ม
จังติ้งฟังสูดหายใจระงับความโกรธ เอ่ยถาม “ท่านกง ท่านหมายความเช่นไร”
กงอวี้เฉินหลุบตาเอ่ยเสียงเรียบ “เหมือนข้าพอจะเดาได้แล้วว่าเมิ่งเย่ว์ผู้นี้เป็นใคร จะว่าไป ข้าเองก็เคยเจอกับนางมาก่อน ทว่ายังจำนางมิได้ จะไปโทษเจ้าสำนักจินได้เช่นไร” จังติ้งฟังหันไปมองกงอวี้เฉินด้วยท่าทางสงสัยใคร่รู้ “ท่านกงรู้จักเมิ่งเย่ว์ผู้นี้หรือ”
กงอวี้เฉินเอ่ยเสียงเรียบ “หากข้าเดาไม่ผิด เมิ่งเย่ว์ผู้นี้…ก็คงเป็นบุตรีคนโตของหนานกงไหว หนานกงมั่ว”
“เป็นไปได้เยี่ยงไร” ทั้งสองเอ่ยเสียงดังออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ
กงอวี้เฉินยิ้มขมขื่นอย่างทำสิ่งใดไม่ได้ “นั่นน่ะสิ เป็นไปได้เยี่ยงไร…ข้าเองไม่เคยเห็นวิชาปลอมตัวที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้มาก่อน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกว่านางคล้ายคลึงกับหนานกงมั่ว แต่ก็ยังถูกนางหลอกจนได้ มารดาของหนานกงมั่วเกิดในตระกูลเมิ่ง ดังนั้นนางจึงใช้แซ่เมิ่ง ครึ่งเดือนก่อนหนานกงมั่วออกจากจินหลิง หลังจากนั้นกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่คิดว่า…จะมาที่เฉินโจวตัวคนเดียว บิดาเป็นเสือบุตรีไม่เป็นสุนัขจริงๆ”
จังติ้งฟังและจินผิงอี้ต่างเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง บุตรีของหนานกงไหว…ร้ายกาจถึงเพียงนี้
จินผิงอี้นึกถึงวรยุทธ์ของหญิงสาว มีความรู้รอบด้าน มีความอดทน แล้วเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ จังติ้งฟัง…จะเอาชนะหนานกงไหวได้จริงหรือ บุตรีของทั้งสองเพียงมองก็แตกต่างกันมากแล้ว
เมื่อกงอวี้เฉินมาถึงริมฝั่งแม่น้ำ ท่าเรือใหญ่ทั้งหลายก็ถูกเผาสว่างไสว ผู้บัญชาการทางเรือรีบวิ่งมาเข้าพบในทันใด
“รายงานท่านแม่ทัพ ไม่มีสิ่งใดผิดปกติในแม่น้ำ และไม่มีคนเดินทางยามค่ำคืนขอรับ”
“หรือว่านางยังมิได้ไป” จังติ้งฟังขมวดคิ้ว ยามนี้การเดินทางทางน้ำถูกปิดแล้ว ด่านทุกด่านมีการตรวจเข้ม หนานกงมั่วไม่มีทางอยู่ที่นี่ได้นานแน่
กงอวี้เฉินขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่นานจึงเอ่ยถาม “แม่น้ำจุดใดไหลนิ่งที่สุด”
ผู้บัญชาการคิดอยู่ชั่วครู่ “ห่างจากจุดนี้ห้าหกลี้เป็นส่วนที่น้ำไหลนิ่งที่สุดขอรับ คุณชายคิดว่าอีกฝ่ายจะดำน้ำข้ามไปอย่างนั้นหรือ เรื่องนี้คงเป็นไปไม่ได้…แม่น้ำกว้างถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นคนที่อาศัยอยู่กับแม่น้ำก็มิอาจว่ายน้ำข้ามไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นตอนกลางคืน หากเจอเข้ากับกระแสน้ำ…” ก็คงต้องตายแน่ๆ
กงอวี้เฉินยังคงนิ่ง “ไปดูกัน” ทุกคนไม่รีรอ รีบมุ่งหน้าไปที่นั่น เมื่อไปถึงก็มีทหารวิ่งนำจดหมายมาส่งให้หนึ่งฉบับ เจอที่ใต้หินก้อนหนึ่งริมแม่น้ำ
กงอวี้เฉินเปิดออก เปลวไฟส่องประกายออกมาจากดวงตาภายใต้หน้ากาก “เยี่ยม หนานกงมั่ว เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย”
ถึงแม่ทัพจัง ด้วยความเคารพเจ้าสำนักกง ตัวหนังสือเล็กสวยถูกเขียนเด่นชัดอยู่บนหน้าซองจดหมาย
ศีรษะของหลินเซี่ยขอยืมชั่วครู่ ไม่มีกำหนดคืน ให้การต้อนรับหลายวัน รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างสูง นอกจากนี้ ฝากขอบคุณเจ้าสำนักจินสำหรับกระบี่ด้วย หนานกง จื้อ อู๋สยา
กงอวี้เฉินขยี้จดหมายเป็นก้อนกลม ยิ้มเย็นอยู่ในใจ หนานกงอู๋สยา ดูถูกเจ้าแล้ว การขอบคุณสำหรับกระบี่ของเจ้า คือการตอบแทนโดยสังหารบุตรชายของเขาหรือ เหลือบมองจินผิงอี้เล็กน้อย ดวงตาของกงอวี้เฉินมีความเห็นใจขึ้นมา
ริมฝั่งแม่น้ำกว้าง ค่ำคืนอันเงียบสงบทว่ากลับกลายเป็นมีความกระสับกระส่ายอยู่เล็กน้อยเพราะความเคลื่อนไหวกะทันหันของอีกฟากฝั่ง ทหารมากมายตามแนวชายฝั่งเดินลาดตระเวนไปมา คอยเฝ้าระวังว่าอีกฝ่ายจะโจมตีมาหรือไม่ ทันใดนั้น ส่วนน้ำที่ตื้นเขินและมีต้นอ้อมากมายกลับมีความเคลื่อนไหวของระลอกคลื่น ร่างหนึ่งโผล่ศีรษะขึ้นมา จากนั้นจึงว่ายเข้าหาริมฝั่ง
ภายใต้ความมืด ผมยาวของหนานกงมั่วยุ่งเหยิงแนบชิดใบหน้า ใบหน้างดงามซีดขาว ด้านหลังยังมีห่อผ้าแบกเอาไว้ นางว่ายน้ำมาจากอีกฝั่งที่ห่างไกลออกไป หากเป็นเมื่อชาติที่แล้วนั้นแค่นี้ไม่นับประสาอันใดสำหรับนาง แต่สำหรับหนานกงมั่วในตอนนี้กลับลำบากอยู่ไม่น้อยเลย ร่างกายของนางอย่างไรก็ยังเป็นเพียงหญิงสาวอายุสิบหกปี แม้หลายปีมานี้จะฝึกวรยุทธ์ ทว่ากลับไม่ได้ถูกฝึกหนักหน่วงเหมือนชาติที่แล้ว