“ข้าเป็นสตรี” หนานกงมั่ววางดาบลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ประมือกันครั้งแรกก็เสียเปรียบ ชายผู้นั้นจึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา กัดฟันเอ่ย “ถึงจะเป็นเช่นนั้น ขอเพียงได้เสี่ยวมั่วมาข้ายังต้องกังวลเรื่องยาถอนพิษอีกหรือ เสี่ยวมั่ว…แม้ฝีมือเจ้าจะไม่เลว แต่เมื่อเทียบกับข้าแล้วเกรงว่าจะด้อยกว่าเล็กน้อย มิสู้…ครั้งต่อไปให้เว่ยจวินมั่วสอนเจ้าหน่อยเป็นไง”
หนานกงมั่วยิ้มบางๆ “มีเวลาข้าต้องขอคำชี้แนะแน่ ส่วนเจ้า…มาลองดูกันว่าเจ้าจะจับข้าได้ก่อนที่ยาพิษจะออกฤทธิ์หรือไม่”
ชายผู้นั้นเงียบไปชั่วครู่ ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา “ช่างเถิด ดูเหมือนว่าตอนนี้เสี่ยวมั่วจะไม่ต้อนรับข้าแล้ว พวกเรา…ไว้เจอกันใหม่” มองหนานกงมั่วอย่างลึกซึ้งชั่วครู่ ชายผู้นั้นจึงหมุนตัวและหนีหายไปจากถนน
มองตามทางที่ชายผู้นั้นหายไป หนานกงมั่วนิ่งเงียบอยู่นาน เอ่ยเสียงเข้ม “ออกมาเถิด”
ไม่นาน ชายหนุ่มสองคนที่หน้าตาธรรมดาก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลัง เอ่ยด้วยท่าทางนอบน้อม “คารวะคุณหนูหนานกงขอรับ” หนานกงมั่วหันกลับไปมองสำรวจพวกเขา “เว่ยจวินมั่วให้พวกเจ้าตามข้ามาหรือ” ความจริงนางรู้ตั้งนานแล้วว่ามีคนสะกดรอยตาม เพียงแต่อีกฝ่ายมิได้มีท่าทีคิดร้ายแต่อย่างใดดังนั้นจึงเลือกไม่ใส่ใจ ในเมืองจินหลิง คนที่จะส่งคนติดตามนางโดยไม่คิดสืบเรื่องราวหรือคิดร้ายใดๆ นั้นมีเพียงไม่กี่คน
ชายหนุ่มพยักหน้า “ขอรับ คุณหนูหนานกง”
“เมื่อสักครู่ไยจึงไม่ออกมาเล่า” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
ชายหนุ่มมีท่าทีละอายใจ เอ่ยตอบ “เมื่อครู่…พวกเราถูกขัดขวางเอาไว้ขอรับ”
ที่แท้ชายชุดดำผู้นั้นมิได้มาตัวคนเดียว หนานกงมั่วโบกมือ “ไม่ต้องโทษตัวเอง ให้พวกเจ้ามาคุ้มครองข้าก็ลำบากพวกเจ้าแล้ว” ไม่เรียกว่าลำบากได้หรือ ให้นักฆ่ามาเป็นบอดี้การ์ด…ทันใดนั้นหนานกงมั่วก็นึกถึงเรื่องโชคร้ายครั้งเดียวของนางเมื่อชาติที่แล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมานั้น…ทนไม่ไหวหากต้องนึกถึงมันอีก
วาจานั้นทำให้ทั้งสองรู้สึกละอายใจยิ่งขึ้น คุณชายบอกเอาไว้ว่าไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้จนเกินไป เกรงว่าคุณหนูหนานกงจะอึดอัด พวกเขาไม่ได้คิดจะสนใจคำกำชับที่ว่าเลย อย่างไรเสียพวกเขาล้วนเป็นมือสังหารอันดับต้นๆ จะถูกหญิงสาวจับได้ง่ายๆ เช่นนั้นหรือ ตอนนี้จึงได้ทราบ เกรงว่าคุณหนูหนานกงคงรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขาตั้งนานแล้ว เห็นคุณหนูหนานกงประมือกับชายชุดดำผู้นั้นแล้วไม่รู้ผลแพ้ชนะก็ย่อมรู้ได้แล้ว เพราะต่อให้เขาสองคนร่วมมือกันก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้
หนานกงมั่วเอ่ย “พวกเจ้าไม่ต้องแอบติดตามข้าแล้ว ข้าไม่ชิน…”
นางต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่จับสองคนนี้ทุ่มลงไป บนโลกใบนี้คงไม่มีนักฆ่าคนใดชอบเมื่อมีคนแอบจับตามองตนเอง ชายทั้งสองมีสีหน้าหดหู่ พวกเขาได้รับคำสั่งให้มาคุ้มครองคุณหนูหนานกงนะ
หนานกงมั่วเอ่ยต่อ “พวกเจ้าตามข้ากลับจวนฉู่กั๋วกงได้ ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ”
“ขอบคุณคุณหนูขอรับ” ทั้งสองดีใจ ขอเพียงได้ติดตามคุณหนูหนานกงก็สามารถรายงานคุณชายได้แล้ว แม้ว่าดูๆ ไปแล้วคุณหนูหนานกงจะไม่ต้องการให้พวกเขาคุ้มครองก็ตาม
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ เอ่ยถาม “คนที่ขัดขวางจัดการเรียบร้อยหรือยัง” เมืองจินหลิงอยู่ใต้เท้าของโอรสสวรรค์ ฆ่าใครใช่ว่าจะจัดการได้ง่ายๆ ชายหนุ่มพยักหน้า “คุณหนูโปรดวางใจ จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ”
หนานกงมั่วจึงพยักหน้าพึงพอใจ เดินนำทั้งสองกลับไปยังจวนฉู่กั๋วกง
“จริงสิ พวกเจ้าชื่ออะไร” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
“ข้าน้อยมีนามว่า ฝัง ขอรับ”
“ข้าน้อยมีนามว่า เวย ขอรับ”
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ชื่อที่แท้จริง เพียงแต่หนานกงมั่วไม่ใส่ใจ เอ่ยถามราวกับนึกอะไรขึ้นได้ “ตอนที่ข้าอยู่ตานหยางได้ยินว่า…ในยุทธภพมีนักฆ่าฝีมือดีชื่อซิงเวยหรือ” ความจริงนางไม่เพียงเคยได้ยิน ยังเกือบได้ประมือกันด้วย นางเคยแย่งงานของซิงเวยด้วยหนึ่งครั้ง เดิมเป็นเพียงความเข้าใจผิด ต่อมานางยังแอบกลัวว่าอีกฝ่ายจะตามมาถึงที่ อย่างไรเสียการแย่งงานก็เป็นสิ่งที่ไร้คุณธรรม แต่ต่อมาก็จบไปทั้งอย่างนั้น หนานกงมั่วหันกลับมา มองสำรวจชายหนุ่มผู้ที่มีนามว่าเวยผู้นั้น
สีหน้าของทั้งคู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อนึกถึงคำสั่งของคุณชายขึ้นมาจึงผ่อนคลายลง ฝังเอ่ยขึ้น “คุณหนูมีความรู้กว้างขวาง ข้าน้อยนับถือยิ่งนัก”
หนานกงมั่วมิได้ถามอะไรอีก โบกมือยิ้มจนตาหยี “มีความรู้กว้างขวางอันใดกัน อย่างน้อยข้าก็ไม่รู้ว่าชายสวมหน้ากากนั่นเป็นผู้ใด คล้ายกับจะมีชื่อเสียง” ไม่เช่นนั้นคงไม่แค่เพราะนางจ้องมองดอกไม้สีทองธรรมดานั่นแล้วจึงคิดว่านางจับได้ว่าเขาเป็นใคร
ฝังพยักหน้า เอ่ยตอบ “คนผู้นั้น…น่าจะเป็นเจ้าของหอธารา ส่วนชื่อนั้น…ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบขอรับ”
“หอธาราหรือ” ให้อภัยที่นางเป็นผู้อาศัยอยู่แต่ในตานหยางที่ไม่รู้อะไรเลยด้วยเถอะ นอกจากศิษย์พี่แล้ว นางไม่เคยใกล้ชิดกับคนในยุทธภพอื่นใดอีกเลย ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์พี่เองก็ยังไม่นับว่าเป็นคนในยุทธภพ
ฝังเดินไปพลางเอ่ยไปด้วย “หอธารา…อืม ในยุทธภพยังมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าวังมาร เจ้าแห่งหอธารานั้นไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร รู้เพียงว่าหอธารานั้นมีมานานมากแล้ว เดิมอยู่เงียบๆ ไร้ชื่อเสียง จนกระทั่งไม่กี่ปีก่อนเกิดความวุ่นวาย ในยุทธภพไม่มีใครยับยั้งการเติบโตขึ้นของหอธารา เพียงแต่หอธารานั้นลึกลับมาก คนในสำนักนั้นมีทั้งดีและร้าย ไม่สนถูกผิด เมื่อราชวงศ์เซี่ยก่อตั้งขึ้นมา หอธาราก็เงียบลงไปอีกครั้ง ปรากฏตัวในยุทธภพบ้างเป็นบางครั้งบางครา การปรากฏตัวที่จินหลิงเช่นนี้นับว่าเป็นครั้งแรกขอรับ”
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยถาม “เจ้าหอธารามีเรื่องอะไรกับเว่ยจวินมั่วหรือ” คนผู้นั้นกล่าวถึงเว่ยจวินมั่วอยู่หลายครั้ง หนานกงมั่วเองสัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้ชื่นชอบเว่ยจวินมั่ว
ฝังลังเลอยู่ชั่วครู่ “เอ่อ…หอธารานับเป็นกลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพ พวกเรา…เอ่อ ก็ไม่เรียกว่าขาวสะอาดขอรับ”
เข้าใจแล้ว หมายถึงคนพวกนี้ต้องการยึดอำนาจของหอธาราอย่างนั้นหรือ ยุทธภพที่ว่านั้นกว้างใหญ่ จู่ๆ ก็มีอำนาจยิ่งใหญ่เข้ามา ผู้ที่มีอำนาจอยู่ก่อนแล้วจึงจำเป็นต้องแบ่งผลประโยชน์ให้บางส่วน หากไม่ยอมหลีกให้คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการปะทะ หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถอนตัวออกไปเลย หรือไม่ทั้งสองต้องอยู่ร่วมกันในที่สุด ดูเหมือนตอนนี้จะเป็นอย่างหลัง เพียงแต่หนานกงมั่วยังคงสงสัย เว่ยจวินมั่วเป็นผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงอยู่ดีๆ จะวิ่งไปแย่งผลประโยชน์ในยุทธภพทำไมกัน
ก็ได้…เว่ยจวินมั่วไม่นับว่าเป็นผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องที่สบายนัก เขายังสามารถถูกคนมาท้าสู้เพื่อล้มตำแหน่งผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องอยู่ตลอดเวลา
ฝังเอ่ยต่ออีกว่า “คุณหนูต้องระวังคนผู้นี้ สามปีก่อน…คนผู้นี้นั้นเก่งกาจมาก เมื่อสามปีที่แล้วคุณชายเคยต่อสู้กับเขาไปหนหนึ่ง ตกลงกันว่าหากเขาแพ้เขาจะถอนตัวออกจากยุทธภพ หากชนะ หอธาราห้ามเข้ามาขัดขวางความก้าวหน้าของพวกเรา สุดท้ายคุณชายก็ชนะ แต่ว่า…สิ่งที่ต้องจ่ายไปก็น่าตกใจเช่นกัน”
หนานกงมั่วหันกลับมามองเขา “เขาบาดเจ็บหนักเลยหรือ”
ฝังพยักหน้า “ตอนนี้ยังไม่หายดีเลยขอรับ หลังจากการต่อสู้เมื่อสามปีที่แล้ว คุณชายก็รักษาตัวอยู่เป็นปี จนกระทั่งตอนนี้พลังก็ยังกลับมาเพียงเจ็ดส่วนเท่านั้น”
มองเห็นสายตาหนักอึ้งของหนานกงมั่ว ฝังคล้ายกลับนึกขึ้นมาได้ว่ากล่าวเช่นนี้อาจทำให้คุณชายเสียภาพลักษณ์ต่อหน้าคุณหนูหนานกงเอาได้ จึงรีบกล่าวเสริม “แต่ว่าเจ้าหอธาราก็ไม่เก่งกาจอันใดนัก ตั้งแต่การบาดเจ็บหนักครั้งนั้นก็ไม่ได้ก้าวออกจากหอธาราแม้แต่ก้าวเดียวตลอดสองปี”