พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “ในที่สุดก็ข้ามมาได้แล้ว ถ้าเกิดอันใดผิดพลาดขึ้นระหว่างทาง คนคงได้หัวเราะเยาะแน่”
ลุกยืนขึ้นจากน้ำ สาวเท้าก้าวขึ้นฝั่งช้าๆ ความเหนื่อยล้าทำให้ร่างกายของนางตอบสนองเชื่องช้า จึงมีท่าทางเชื่องช้าตามไปด้วย เมื่อเดินมาถึงฝั่ง กำลังจะยกเท้าก้าวขึ้นฝั่งทว่ากลับโดนต้นอ้อเกี่ยวรั้งเอาไว้ ล้มลงไปในน้ำอีกครั้ง
ร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันตั้งตัวนางก็ถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่น หนานกงมั่วตกใจ แต่ไม่นานก็สงบลง เงยหน้าขึ้นมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาทว่าเย็นชา เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นกำลังแสดงออกถึงความโกรธ กำลังก้มหน้าขมวดคิ้วมุ่นมองมาที่นาง
“จวินมั่วหรือ”
เว่ยจวินมั่วจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างจนปัญญา อยากจะตีนางแรงๆ สักครั้ง แต่เมื่อเห็นใบหน้าเล็กอันซีดเซียวและความดีใจอยู่ในดวงตาคู่นั้น ต่อให้โกรธมากเพียงใดก็ต้องเก็บมันเอาไว้
ก้มลงไปอุ้มนางขึ้นมา หนานกงมั่วก็ไม่โวยวาย นางเองก็เหนื่อยแทบแย่ ปลดถุงผ้าด้านหลังมาถือไว้ในมือ ปล่อยให้เขาอุ้มนางต่อไป
“สิ่งนั้นคืออันใด” เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้วถาม อะไรที่มีค่ามากพอให้นางแบกมันว่ายน้ำกลับมาด้วย และเอาชีวิตตนเองไปล้อเล่นเช่นนี้ หนานกงมั่วหัวเราะเบาๆ มือหนึ่งถือกระบี่หงหมิง มืออีกข้างกำห่อผ้าเอาไว้แน่น “เงิน” เว่ยจวินมั่วถอนหายใจ “เจ้าต้องการเงินก็มาเอาที่ข้า”
หนานกงมั่วไม่รู้จะเอ่ยอย่างไร มีเงินแน่นอนว่าต้องดีใจ แต่เมื่อเป็นเงินที่ตนเองหามาได้เองนั่นถึงจะมีความสุขที่สุด
เดินไปชั่วครู่ ก็เจอกับทหารลาดตระเวน แน่นอนว่านายทหารย่อมรู้จักเว่ยจวินมั่ว จึงหยุดทำความเคารพ “คารวะแม่ทัพเว่ย” ขณะเดียวกันก็มองหญิงสาวผู้มีผ้าคลุมตัวอยู่ซึ่งถูกเขาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน แม้จะถูกห่อคลุมตัวเอาไว้ ทว่ายังดูออกว่าผมยาวของนางนั้นเปียกชื้นราวกับพึ่งขึ้นมาจากน้ำ
เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ตรวจตราต่อไป ข้าจะไปพบแม่ทัพใหญ่” พาหญิงสาวตัวเปียกชื้นขึ้นมาจากริมฝั่งแม่น้ำ ไม่ไปรายงานหนานกงไหวคงจะไม่ได้ ผู้บัญชาการทหารลาดตระเวนจึงได้วางใจ เอ่ยขึ้น “ขอรับ ข้าขอตัวแล้ว”
ไม่นานเว่ยจวินมั่วก็อุ้มนางมาถึงกระโจมของตนเอง วางนางลงและเอ่ยบอก “เปลี่ยนชุดเสีย” จากนั้นหมุนก็ตัวเดินออกไป หนานกงมั่วยักไหล่ กวาดตามองไปทั่วกระโจมใหญ่ วางห่อผ้าและกระบี่ชิงหมิงลงจากนั้นไปค้นหาเสื้อผ้า เพราะที่นี่เป็นสนามรบ เสื้อผ้าของเว่ยจวินมั่วจึงเรียบง่ายและใส่สบาย ทว่าด้านข้างนั้นมีห่อผ้าที่นางคุ้นเคยวางอยู่ด้วย เมื่อเปิดออกดูก็อดที่จะคลี่ยิ้มออกมามิได้ เก็บห่อผ้าไว้กับฝังและเวยนับว่าเป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว เสื้อผ้าของนางล้วนอยู่ด้านใน หยิบชุดสีฟ้าอ่อนติดมือออกมาสวมใส่ เช็ดผมที่เปียกชุ่มอยู่เนิ่นนาน จากนั้นจึงเดินออกมาหาเว่ยจวินมั่ว
ถึงแม้จะเป็นเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนทว่าริมฝั่งพลันมีความเคลื่อนไหว จึงทำให้ผู้คนในค่ายต่างนอนไม่หลับ แน่นอนว่าบริเวณริมฝั่งแม่น้ำถูกคุ้มกันไว้แน่นหนา หนานกงไหวและเซียวเชียนเยี่ยรออยู่ในกระโจมใหญ่อยู่ก่อนแล้ว ข่าวเว่ยจวินมั่วอุ้มสตรีขึ้นมาจากริมฝั่งแม่น้ำแพร่กระจายไปทั่วค่ายทหารอย่างรวดเร็ว ย่อมปิดบังหนานกงไหวและเซียวเชียนเยี่ยเอาไว้ไม่ได้
เมื่อได้ยินข่าวดังกล่าว สีหน้าของทั้งคู่ก็แตกต่างกันออกไป
เซียวเชียนเยี่ยยิ้มพลางเอ่ยกับหนานกงไหว “น้องชายกำลังเป็นหนุ่ม เนื้อหอมเป็นธรรมดา ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดวางใจ น้องชายรู้กาลเทศะมาตลอด จะไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน” ท่านคิดว่าเว่ยจวินมั่วนั้นมั่นคงต่อบุตรีของท่านมาตลอดมิใช่หรือ ตอนนี้ดูเหมือนจะมิใช่เช่นนั้นแล้ว ต่อให้องค์หญิงฉังผิงคอยปกป้องการรับภรรยาในครั้งนี้ เว่ยจวินมั่วอาจไม่เป็นที่โปรดปรานเสียแล้ว
สีหน้าของหนานกงไหวแข็งกระด้าง ทว่าไม่ได้เอ่ยคำใดมากมาย เพียงบอก “รอเว่ยซื่อจื่อมาค่อยถามก็รู้แล้ว”
“รองแม่ทัพเว่ยจวินมั่วขอเข้าพบขอรับ” นอกกระโจม เสียงทุ้มของเว่ยจวินมั่วดังขึ้น
ใบหน้าของเซียวเชียนเยี่ยเผยรอยยิ้มสนุกสนานออกมา เอ่ยบอก “น้องชายเข้ามาเถิด”
ทว่าด้านนอก เว่ยจวินมั่วยังคงนิ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวเชียนเยี่ยค้างเติ่ง หันกลับไปหาหนานกงไหว เสียงเข้มของหนานกงไหวจึงเอ่ยขึ้น “เข้ามา” จากนั้นเว่ยจวินมั่วจึงแหวกผ้าออกและเดินเข้ามาด้านใน เซียวเชียนเยี่ยเอ่ย “น้องชาย ได้ข่าวว่าเจ้าพบเจอสาวงามที่ริมแม่น้ำงั้นหรือ ไยจึงมาอยู่ที่นี่เล่า” เพียงไม่ได้ถามชัดเจนว่าในเมื่อมีสิ่งน่าสนใจแล้ว ไยจึงไม่เสพสุขทว่ากลับวิ่งแจ้นมาที่กระโจมใหญ่
ได้ยินดังนั้น หนานกงไหวจึงขมวดคิ้ว เดิมเขาไม่ชอบเซียวเชียนเยี่ยอยู่แล้ว แต่เมื่อมาอยู่ในสนามรบเขาก็พบว่าตนไม่ชอบเซียวเชียนเยี่ยมากขึ้นไปอีก หวงจั่งซุนผู้นี้มองภายนอกแล้วดูแข็งแกร่งมีความสามารถ ทว่าเมื่อมาอยู่ในสนามรบกลับไม่รู้เรื่องใดทั้งสิ้น โชคดีที่ฝ่าบาทเพียงให้เขาติดสอยห้อยตามมาด้วยเท่านั้น หากให้เขานำทัพคงเป็นเรื่องหายนะเลยทีเดียว ไม่ว่าเขาจะอยู่ในฐานะใด เมื่อมาอยู่ในสนามรบแล้วเขาต้องฟังแม่ทัพใหญ่ ทว่าหวงจั่งซุนผู้นี้ยังคงสวมหน้ากากของหวงจั่งซุน ลังเลเมื่อเจอปัญหา หนานกงไหวเริ่มสงสัยแล้วว่าข้อดีต่างๆ ที่ฝ่าบาทชื่นชมมาตลอดนั้นมันมีอยู่จริงหรือไม่
หนานกงไหวกระแอมไอเบาๆ จากนั้นจึงเอ่ยถาม “แม่ทัพเว่ย เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ”
เว่ยจวินมั่วกวาดตามองเซียวเซียนเยี่ย ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ดวงตาของหนานกงไหวเข้มขึ้น เอ่ยขึ้นอีก “มีอะไรก็เอ่ยมาตามตรง”
เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยขึ้น “ใช่ น้องชาย มีอันใดไม่กล้าพูดเล่า ต้องการให้ข้าออกไปก่อนหรือไม่”
เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องหรอก เพียงอยากรายงานท่านแม่ทัพถึงตัวตนของคนที่ข้าพากลับมา” เซียวเชียนเยี่ยบอกจะหลีกหนีไปแต่เว่ยจวินมั่วรู้ดีว่าเขาไม่มีทางออกไปแน่ ยามนี้แม้หนานกงไหวจะเป็นผู้นำ แต่อย่างไรเสียเซียวเชียนเยี่ยก็เป็นถึงจวิ้นอ๋อง และยังมิได้เป็นแค่จวิ้นอ๋องธรรมดา เขาเป็นถึงหวงจั่งซุน ไม่ว่าเรื่องใดเขาย่อมมีสิทธิ์รับรู้ ยิ่งต้องการปกปิด เซียวเซียนเยี่ยยิ่งต้องการรู้ความจริง
หนานกงไหวขมวดคิ้ว “สตรีผู้นั้นมีฐานะพิเศษอันใดกัน”
เว่ยจวินมั่วยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็ได้ยินเสียงสดใสของหญิงสาวดังขึ้น “อู๋สยาขอพบท่านพ่อเจ้าค่ะ”
“…”
หนานกงไหวสำลัก พูดไม่ออกชั่วขณะ เซียวเชียนเยี่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างสาบานได้ว่าเขาไม่เคยเห็นใบหน้าของหนานกงไหวไม่น่ามองขนาดนี้มาก่อน แม้แต่วันนั้นที่เอ้อกั๋วกงไปหาเขาเรื่องตนและหนานกงซู แน่นอน สีหน้าของเขาเองก็ดีไปไม่ถึงไหนเช่นกัน
“เข้ามา” เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะได้ยินเสียงอันดังของหนานกงไหวเอ่ยขึ้น
คนที่ยืนนิ่งอยู่ด้านนอกเปิดผ้าม่านเดินเข้ามา หนานกงมั่วสวมอาภรณ์สีฟ้าอ่อนเรียบง่ายเดินเข้ามา ผมที่เปียกชื้นอยู่เล็กน้อยตกลงมาปกคลุมไหล่ ยิ่งส่งให้นางดูบอบบางมากขึ้น ทว่ามือข้างหนึ่งของนางนั้นถือฝักกระบี่ที่ดูเรียบง่ายเอาไว้ มืออีกข้างมีห่อผ้ารูปทรงสี่เหลี่ยมถืออยู่ในมือ
ใบหน้าหนานกงไหวขึ้นสีแดงเข้ม จ้องหนานกงมั่วเขม็ง “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร”
หนานกงมั่วกลับไม่มีความหวาดกลัว เอ่ยตอบราบเรียบ “ตอบท่านพ่อ ข้ารายงานพี่ใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วโยนความรับผิดชอบไปให้หนานกงชวี่โดยไม่ลังเล
“หนานกงชวี่” หนานกงไหวกัดฟัน หากบุตรชายคนโตของเขาอยู่ตรงนี้เขาคงถีบไปสักครั้งโดยไม่คิดลังเล แต่ไม่นานหนานกงไหวก็เก็บอารมณ์ของตนเองกลับมา เอ่ยเสียงเข้ม “อย่ามาเหลวไหล ข้าถามเจ้าว่าเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร”