ครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดจินผิงอี้ก็เอ่ยขึ้น “แม่นางคิดมากแล้ว ในเมื่อข้าเลือกที่จะร่วมมือกับแม่นาง แน่นอนไม่มีเหตุผลต้องยกเลิก เพียงแต่…จอมยุทธ์เช่นข้าที่ท่องอยู่ในยุทธภพไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่ว่า…แม่ทัพจังผู้นั้นไม่สนใจคงจะไม่ได้” หนานกงมั่วยังคงนิ่ง กล่าวว่า “อย่างมากข้าก็แค่กลับ อย่างไรเสียข้าก็ไม่นับว่ากลับไปมือเปล่า เจ้าสำนัก ท่านว่าใช่หรือไม่”
ไม่นาน จินผิงอี้จึงเอ่ยเสียงเบา “ดี มีแม่นางคอยช่วยเหลือนับว่าเป็นวาสนาของข้า ขอเพียงครั้งนี้สำเร็จ ข้าจะมอบเงินหมื่นตำลึงทองให้แม่นางอีก เป็นอย่างไร”
หนานกงมั่วเงยหน้า แววตายิ้มหยัน “เจ้าสำนักจินช่างร่ำรวยใจกว้าง เป็นตามนั้น” มองเห็นสายตาพราวระยับของนาง จินผิงอี้จึงวางใจลงมาบ้าง ชอบเงินหรือ ขอเพียงมีจุดอ่อนย่อมจัดการได้ง่ายขึ้นสักหน่อย ที่น่ากลัวที่สุดคงเป็นพวกที่หาจุดอ่อนไม่ได้ คนพวกนั้นหากไม่โหดเหี้ยมถึงที่สุดก็ต้องมีแผนการร้ายอื่น
“ในเมื่อแม่นางมองออกชัดเจน ข้าขอถามแม่นาง” จินผิงอี้เอ่ยถาม “แม่นางเมิ่งมองการก่อกบฏของแม่ทัพจัง…เช่นไรหรือ”
หนานกงมั่วเอ่ย “เจ้าสำนักจินอยากถามข้าว่าข้าเห็นด้วยกับแม่ทัพจังหรือไม่ เช่นนั้นใช่ไหม”
จินผิงอี้พยักหน้า หนานกงมั่วกล่าวตอบ “ข้าอายุน้อยเกินไป ไม่เข้าใจแม่ทัพจังนัก เพียงแต่…สามารถตอบโต้ราชสำนักและยึดหูก่วงเอาไว้ในเวลาอันสั้น คิดว่าแผนการนี้คงมิได้คิดเพียงหนึ่งหรือสองวัน หมายความว่า…เกรงว่ากำลังของแม่ทัพจังจะมิได้มีเพียงที่เรามองเห็นกัน หากทุกอย่างราบรื่น ไม่เพียงจะยึดครองราชวงศ์เซี่ยที่ยิ่งใหญ่ได้ การยึดครองใต้หล้าย่อมมิใช่เรื่องยาก เพียงแต่ ข้ายังกังวลอยู่บ้างเล็กน้อย”
“แม่นางคิดว่าเยี่ยงไรหรือ”
“เงิน”
จินผิงอี้ชะงัก จังติ้งฟังขาดเงินงั้นหรือ
หนานกงมั่วเอ่ย “เจ้าสำนักคิดว่ารางวัลหมื่นตำลึงทองที่แม่ทัพจังเสนอ หมายถึงไม่ขาดเงินอย่างนั้นหรือ ไม่รู้ว่า…การทำศึกครั้งนี้ ทหารนับกี่สิบหมื่นต้องกินต้องดื่ม ใช้จ่ายแต่ละครั้งต้องจ่ายกว่าหลายร้อยพันหมื่นตำลึง นี่มิใช่เรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปจะรับไหว อย่างน้อย ต่อให้แม่ทัพจังจะได้จากการสู้รบเมื่อครั้งก่อนมาไม่น้อยก็คงไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายในจำนวนเงินเท่านี้ ทว่ากองกำลังของหนานกงไหวนั้นมีราชสำนักคอยสนับสนุน กองกำลังเสบียงแน่นอนว่าไม่ขาด เมื่อทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันไม่ยอมอ่อนข้อ ผู้ใดจะแพ้นั้นคงไม่จำเป็นต้องเอ่ยก็ทราบอยู่แล้ว”
จินผิงอี้พยักหน้า เอ่ยว่า “คงต้องคิดไตร่ตรองให้ดีเสียแล้ว”
หนานกงมั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนี้แล้ว ข้าก็พอจะนึกถึงเหตุผลที่แม่ทัพจังคิดดึงเจ้าสำนักจินมาร่วมด้วยแล้ว แม่ทัพจังคงส่งคนมาหาเจ้าสำนักใช่หรือไม่”
“เป็นเช่นนั้น แต่ถูกข้าขวางเอาไว้และให้กลับไปแล้ว แม่นางคิดเห็นเช่นไร ข้าย่อมรับฟัง” น้ำเสียงของจินผิงอี้ระมัดระวังและให้เกียรติมากขึ้น
หนานกงมั่วเอ่ย “เจียงตงร่ำรวย หากเอ่ยถึงว่าอำนาจใดในยุทธภพที่ร่ำรวยที่สุด ข้าคิดว่าสำนักกลเจ็ดดาวหากไม่อยู่ที่หนึ่งก็คงไม่เกินที่สามใช่หรือไม่” การขนส่งทางน้ำของเจียงหนานเจริญรุ่งเรือง สำนักกลเจ็ดดาวยิ่งใหญ่ในเจียงตง สายน้ำฉางเจียงที่ยิ่งใหญ่ก็อยู่ภายใต้การปกครองของพวกเขา หากบอกว่ามั่งคั่งเหลือล้นคงไม่เกินจริงนัก ดังนั้นเมื่อเทียบกับสำนักที่ยากจนเหล่านั้นแล้ว สำนักกลเจ็ดดาวย่อมมีเงินทองมากพอให้หยิ่งยโส
จินผิงอี้ถอนหายใจ เอ่ยตามตรง “อะไรก็ปิดบังแม่นางเอาไว้ไม่ได้ แม่ทัพจังส่งคนมา ได้เอ่ยปากถึงเรื่องนี้จริง เพียงแต่ ข้ายังต้องไตร่ตรองว่าการร่วมมือครั้งนี้จะคุ้มค่าหรือไม่”
นิ้วเรียวของหนานกงมั่วเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะ เอ่ยตอบ “เกรงว่าเจ้าสำนักจินจะมีสิ่งที่เหลือให้ต้องคิดอยู่ไม่มาก สำนักกลเจ็ดดาวมีเงินมากมาย จะไม่ให้ราชสำนักริษยาได้หรือ แม้ยามนี้เจ้าสำนักจินจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าเมืองเจียงตง แต่ขุนนางผู้นี้อย่างไรก็ต้องมียามเอาตัวรอด ยิ่งไปกว่านั้นหากฝ่าบาทรู้ตัวขึ้นมา เกรงว่าสำนักกลเจ็ดดาวเองก็คงลำบาก”
จินผิงอี้เงียบ มองหนานกงมั่วก่อนจะเอ่ย “ข้ารู้สึกแปลกใจแล้ว แม่นางเป็นคนของแม่ทัพจังส่งมาหรือไม่”
หนานกงมั่วยิ้มบางๆ “ข้าเพียงเอ่ยไปตามความจริง เจ้าสำนักคิดเสียว่าไม่เคยได้ยินก็ได้”
จะคิดว่าไม่เคยได้ยินได้เช่นไรกัน ความจริงเมื่อมีข่าวเรื่องจังติ้งฟังก่อกบฏเขาเองก็ลอบถอนหายใจอยู่เบาๆ สองปีมานี้พี่ร่วมสาบานส่งสัญญาณต่อราชสำนักให้ลงมือกับทางน้ำมาหลายครั้งแล้ว และค่าผ่านทางนั้นยังเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอีกไม่นานราชสำนักก็คงจัดการสำนักกลเจ็ดดาวเป็นแน่ เมื่อมีข่าวการก่อกบฏครั้งนี้เกิดขึ้น เจ้าสำนักจินจึงแทบอยากแหงนหน้าหัวเราะออกมาดังๆ
“หากแม่นางเมิ่งเป็นบุรุษ ยุทธภพมีหรือจะมีที่ยืนให้กับข้า” จินผิงอี้ถอนหายใจ “แม่นางเมิ่งสนใจเข้าร่วมสำนักกลเจ็ดดาวหรือไม่ ข้าจะมอบตำแหน่งรองเจ้าสำนักให้แม่นาง” หากมิใช่เพราะบุตรชายของเขาพึ่งตายไป เขาคงอยากถามว่านางมีความสนใจอยากเป็นสะใภ้ของเขาหรือไม่ มีลูกสะใภ้ที่เก่งกาจเพียงนี้ บุตรชายไร้ความสามารถผู้นั้นของเขาคงไม่ไร้ความสามารถอีกแล้ว น่าเสียดาย…
หนานกงมั่วส่ายหน้า เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าอยู่เป็นอิสระจนเคยชินเสียแล้ว คงต้องปฏิเสธน้ำใจของเจ้าสำนัก”
จินผิงอี้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็พอเดาได้ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ว่าเวลาใด แม่นางเมิ่งก็ยังคงเป็นสหายของข้า”
มองรอยยิ้มจริงใจของชายตรงหน้า หนานกงมั่วไม่ยอมรับไม่ได้เลยว่าจินผิงอี้มีความเฉลียวฉลาดสมกับที่เป็นใหญ่ในเจียงตง ไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือการโน้มน้าวจิตใจคนล้วนแล้วแต่ดึงดูดผู้คนได้เป็นอย่างดี ต่อให้ในใจจะสงสัยเจ้า ทว่าใบหน้ากลับแสดงความจริงใจออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพียงแต่…รอถึงวันที่เขารู้ว่าจินอู๋เฮ่อบุตรชายของเขาตายเพราะฝีมือนาง ไม่รู้ว่าจินผิงอี้จะยังคงนิ่งสงบได้เช่นนี้อยู่หรือไม่
“เจ้าสำนักจิน” เสียงเข้มดังมาจากบันได หนานกงมั่วก้มหน้าลงเล็กน้อย
จินผิงอี้หันกลับไป ยิ้มเอ่ย “ที่แท้เป็นท่านกง ชื่นชมมานาน”
“มิบังอาจ” กงอวี้เฉินเดินเข้ามา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เดินผ่านมาพอดี คล้ายมองเห็นว่าเจ้าสำนักจินอยู่ที่นี่เลยมาดูสักหน่อย ไม่คิดว่าเจ้าสำนักจินจะยังอยู่ จริงสิ แม่นางผู้นี้…” เมื่อวานเขาก็สังเกตเห็นสตรีชุดดำผู้นี้แล้ว เพียงแต่สถานการณ์ทำให้เขาไม่ได้มองสำรวจมากนัก
หนานกงมั่วเองไม่หลบหน้า เงยหน้าขึ้นมามองเขาเล็กน้อย “ท่านกง”
ดวงตาของกงอวี้เฉินฉายแววผิดหวังเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่นางผู้นี้คล้ายคลึงกับเพื่อนคนหนึ่งของข้า ไม่คิดว่าข้าจะจำผิดคนแล้ว”
หนานกงมั่วส่งเสียงตอบรับเบาๆ ทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแสดงท่าทีไม่พอใจที่ตนถูกมองว่าเป็นคนอื่นเล็กน้อย
จินผิงอี้รีบเอ่ย “ท่านกงโปรดอภัย แม่นางผู้นี้คือ…แขกของสำนักกลเจ็ดดาวของเรา เมิ่งเย่ว์ แม่นางเมิ่ง”
กงอวี้เฉินพยักหน้ายิ้มๆ “ที่แท้คือแม่นางเมิ่ง ยินดีที่ได้พบ”
หนานกงมั่วลุกขึ้น กล่าว “เจ้าสำนักคงมีเรื่องต้องคุยกับท่านกง ข้าต้องขอลาแล้ว”
จินผิงอี้มองออกว่าหนานกงมั่วไม่พอใจจึงไม่บังคับ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ดีเหมือนกัน แม่นางกลับไปพักผ่อนเถิด”
“ขอตัว” หนานกงมั่วกล่าวลา จินผิงอี้มองหญิงสาวทั้งสองด้านหลัง เอ่ยว่า “พวกเจ้ากลับไปกับแม่นางเมิ่งเถิด” ลูกศิษย์ทั้งสองแม้จะไม่พอใจ ทว่ายังคงทำความเคารพด้วยท่าทีนอบน้อม