หนานกงมั่วลุกขึ้นแล้วเปิดประตูเดินออกไป
“แม่นางเมิ่ง…” สาวใช้สองคนที่ยืนเฝ้าหน้าประตูหันกลับมา รู้สึกถึงควันสีชมพูปรากฏขึ้น ไม่นานก็พลันสลบไป
หนานกงมั่วลากทั้งสองเข้ามาในห้อง จากนั้นหมุนตัวปิดประตูเข้ามาอีกครั้ง
ยามค่ำคืน เงาสีดำเคลื่อนตัวผ่านไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจวนแม่ทัพ เรือนชิวเยี่ยเป็นเรือนหนึ่งในจวนแม่ทัพที่ไม่ค่อยสะดุดตาเท่าใดนัก เดิมเป็นที่อยู่ของเชื้อสายรองที่ไม่เป็นที่โปรดปราน ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นที่พักของปู้เจิ้งซื่อที่เคยอยู่แต่ด้านหน้า หลินเซี่ยที่อายุมากแล้วผมขาวโพลนไปทั่วศีรษะ สวมเสื้อผ้าธรรมดา เดินวนกลับไปกลับมาอย่างร้อนใจอยู่ในเรือน ใบหน้าซีดเซียวและรอยคล้ำใต้ตาที่เด่นชัดดูไม่ออกว่าเขาเคยเป็นปู้เจิ้งซื่อที่โดดเด่นมาก่อน
ตั้งแต่มีข่าวว่าเขายอมจำนนแก่ศัตรูแล้ว ตลอดครึ่งเดือนมานี้เขาถูกลอบสังหารมาแล้วเจ็ดแปดครั้ง กระทั่งมีครั้งหนึ่งที่เขาแทบเอาชีวิตไม่รอด เขาตกใจจนเสียสติ ไม่กล้าอาศัยอยู่ในจวนที่งดงามและยิ่งใหญ่นั้นอีกแล้ว ไม่กล้าเรียกบ่าวรับใช้แล้วเดินออกไปเที่ยวเล่น ทำได้เพียงสวมเสื้อผ้าที่ไม่เป็นที่สะดุดตา กินอาหารธรรมดาๆ และซ่อนตัวอยู่ในเรือนที่ไม่เป็นที่สนใจ เพราะหากมีสิ่งใดโดดเด่นอาจถูกคนที่คิดลอบสังหารเขามองเห็นได้ เขาทรยศราชสำนัก เป็นคนทรยศต่อราชวงศ์เซี่ยที่ยิ่งใหญ่ ราชสำนักไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่ เขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เขามองไปยังมุมมืดด้วยท่าทีหวาดระแวง เขามักรู้สึกว่ามีคนกำลังจับจ้องมาที่เขาอยู่ แต่เขาไม่กล้าไปเรียกทหาร เพราะเขายิ่งกลัวว่าจะทำให้คนที่คิดลอบทำร้ายมองเห็นเขาได้ชัดขึ้น
จะไม่เป็นไร…ไม่เป็นไร หลายวันมานี้ก็ไม่เป็นไร…
ยามนี้ หลินเซี่ยที่กระวนกระวายใจเริ่มไม่เข้าใจ เขาได้อะไรจากการก่อกบฏครั้งนี้ แต่ว่า…แต่เขาอยู่ในกำมือกงอวี้เฉินผู้นั้น หากไม่ทำแล้วเขาจะทำอย่างไรได้เล่า
“หลินเซี่ย” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นในห้อง หลินเซี่ยตกใจหันกลับไปมองพบว่าเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยในชุดดำ ไม่รู้ว่าเข้ามาในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อใด เมื่อมองเห็นใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว หนานกงมั่วชี้ก็ไปที่หน้าต่างด้านหลังเขาด้วยท่าทางอารมณ์ดี “หน้าต่างไม่ได้ปิด”
เสียงของหลินเซี่ยติดอยู่ที่ลำคอแต่เอ่ยออกมามิได้ มีเพียงเสียงฟันที่กระทบกันกึกๆ ด้วยความหวาดกลัว เขารู้จักสตรีผู้นี้ เมื่อก่อนเคยเห็นไกลๆ ที่จวน ติดตามอยู่ด้านหลังเจ้าสำนักกลเจ็ดดาวอะไรนั่น แต่กลับดูเย็นชาไม่เหมือนจะเป็นผู้ใต้บัญชาของใครได้ เขาเคยเห็นสตรีที่หยิ่งยโสมาไม่น้อย ทว่าไม่เคยเห็นผู้ใดที่มีภาพลักษณ์โดดเด่นเช่นนี้มาก่อน ราวกับว่าไม่ว่าจะตำแหน่งสูงเพียงใดก็มิได้อยู่ในสายตาของนาง ตอนนั้นเขายังแอบคิด หากเป็นไปได้ ได้สตรีผู้นี้มาอยู่ในมือได้คงเป็นสิ่งที่บุรุษภาคภูมิใจเป็นที่สุด บุรุษคงให้ความสำคัญกับสตรีเช่นนี้มากกว่าจังอู๋ซินหญิงงามอันดับหนึ่งผู้นั้นด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้…หลินเซี่ยกลับคิดว่าชีวิตนี้ไม่อยากเจอกับสตรีผู้นี้เลย
“เจ้า…” เนิ่นนาน ในที่สุดหลินเซี่ยก็เปล่งเสียงอันสั่นเทาของเขาออกมาได้
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงราบเรียบ “ปู้เจิ้งซื่อแห่งหูก่วง หลินเซี่ยใช่หรือไม่”
“เอ่อ…ไม่ ข้าไม่ใช่ เจ้าจำผิดแล้ว” หลินเซี่ยเอ่ยตอบรวดเร็ว
คิ้วเรียวของหนานกงมั่วขมวดขึ้น “หลินเซี่ย อายุห้าสิบปี เป็นคนมู่หลาน อวิ๋นโจว เข้าร่วมการจัดสอบจิ้นซื่อ[1]ครั้งแรกตั้งแต่ราชวงศ์เซี่ยก่อตั้ง ขึ้นรับตำแหน่งปู้เจิ้งซื่อประจำหูก่วงเมื่อห้าปีก่อน ส่วนสูงห้าฉื่อหนึ่งชุ่นสามเฟิน หน้าเหลี่ยม คิ้วตรง มีไฝตรงกลางคิ้ว มีแผลเป็นที่ข้อมือซ้าย”
มองท่าทีกระวนกระวายอยากยกมือขึ้นปิดหน้าตนเองของหลินเซี่ย อีกทั้งยังมีท่าทีอยากดึงแขนเสื้อให้คลุมมือเอาไว้ หนานกงมั่วไม่ได้ทำสิ่งใดเพียงกวาดตามองเขานิ่งๆ
“เจ้า…เจ้าจะมาฆ่าข้าใช่หรือไม่…ไม่ ไม่ ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด ข้าให้เงินเจ้าได้ ข้ามีเงินมากมาย” หลินเซี่ยเอ่ยด้วยท่าทีตื่นตระหนก
หนานกงมั่วยิ้ม “ข้าชอบเงินมากก็จริง แต่ว่า…บางครั้งข้าก็ไม่รับเงิน ยิ่งไปกว่านั้น เอาหัวของเจ้ากลับไปด้วยข้าก็ได้รับเงินเช่นกัน”
“ไม่…” หลินเซี่ยเข้าใจทันใดว่าหญิงสาวที่กำลังยิ้มอยู่ตรงหน้าไม่คิดจะปล่อยเขา หมุนตัววิ่งอย่างรวดเร็วไปยังประตู “เด็ก…”
พรึบ!
แสงสีเงินสว่างวาบขึ้น เข็มเล่มหนึ่งปักเข้าที่หลังของเขา เสียงที่ตะโกนออกมาขาดหายไปทันที หลินเซี่ยล้มลงกับพื้น พยายามลุกขึ้นอย่างยากเย็น ทว่าแผ่นหลังที่เจ็บปวดทำให้เขาขยับมิได้ ทำได้เพียงเหลือบดวงตามองรองเท้าสีดำที่กำลังก้าวเข้ามาประชิดมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่…เขาไม่อยากตาย…เขายังเสพสุขไม่เพียงพอ…
ปล่อย…ปล่อย…ข้า…
เลือดพุ่งกระจาย ความเงียบกลับเข้ามาปกคลุมในห้องนั้นอีกครั้ง หนานกงมั่วหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดทำความสะอาดกระบี่ชิงหมิง กวาดตามองบนพื้น “เดิมไม่คิดอยากโหดร้ายเช่นนี้ แต่ถ้าไม่พาเจ้ากลับไปด้วย ข้าก็จะไม่ได้เงิน”
กลางดึก เรือนชิวเยี่ยพลันมีเสียงตะโกนดังขึ้น จากนั้นจวนแม่ทัพก็เกิดความแตกตื่นไปทั่วทั้งจวน
“ทหาร ใต้เท้าหลินตายแล้ว”
ไม่นาน คนใหญ่โตที่นับว่ามีหน้ามีตาอยู่ในจวนต่างพากันมาถึง หลินเซี่ยเคยเป็นปู้เจิ้งซื่อแห่งหูก่วง เป็นคนในราชสำนักคนแรกที่ยอมจำนนต่อจังติ้งฟัง และยังเป็นหมากสำคัญสำหรับพวกเขา เขามิใช่คนที่ควรมาตายง่ายๆ เช่นนี้ นี่ส่งผลต่อการที่ขุนนางในราชสำนักคนอื่นๆ ที่คิดยอมจำนนต่อจังติ้งฟัง หากถูกแพร่งพรายออกไปภายนอก ไม่ว่าใครที่เคยอยากหักหลังก็คงต้องคำนึงถึงจุดจบของหลินเซี่ยเสียก่อน
จังติ้งฟังพุ่งเข้ามาด้วยความเกรี้ยวกราด มองร่างของหลินเซี่ยที่ถูกตัดศีรษะออกไป จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ “ตรวจสอบให้ข้า ปิดเมืองทั้งหมด ต้องจับตัวคนทำมาให้ข้าให้ได้”
หลายวันมานี้ เพื่อคุ้มครองหลินเซี่ยเขาต้องจ่ายไปมหาศาล ไม่คาดคิดว่าสุดท้ายจะมีคนอาศัยช่องว่างเข้ามากระทำการเช่นนี้ได้
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น ใครปล่อยข่าวที่อยู่ของหลินเซี่ยออกไป” เห็นได้ชัดว่ากงอวี้เฉินนั้นมั่นคงในอารมณ์กว่าจังติ้งฟังอยู่มาก เอ่ยถามเสียงเข้ม
ทุกคนส่ายหน้า ใบหน้างุนงง กงอวี้เฉินยิ้มเย็น กล่าวต่อไป “ดูเหมือนว่าการคุ้มกันในจวนแม่ทัพจะยังเข้มงวดไม่พอ สามารถปล่อยให้คนลอบเข้ามาโดยไม่มีใครรู้ได้ โดยที่เราไม่มีใครเห็นด้วยซ้ำ” ทหารเฝ้ายามรีบเอ่ย “คุณชายได้โปรดอภัยด้วย พวกเรา…ได้เพิ่มการคุ้มกันในจวนแล้ว คืนนี้ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จริงๆ ขอรับ”
กงอวี้เฉินเลิกคิ้วด้วยท่าทีสงสัย เนิ่นนานจึงเอ่ยถาม “เช่นนั้น…คืนนี้มีใครออกไปข้างนอกหรือไม่”
จังติ้งฟังชะงัก มองไปยังกงอวี้เฉิน “ท่านกงสงสัยว่ามีไส้ศึกหรือ เรื่องนี้…หลายวันมานี้พวกเราก็จัดการไปไม่น้อยแล้ว…”
กงอวี้เฉินเอ่ย “เรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ ไม่มีทางลดน้อยลงได้”
ทหารเฝ้ายามหมุนตัวเดินออกไป ไม่นานก็กลับเข้ามารายงาน “รายงานท่านแม่ทัพและคุณชาย ทหารเฝ้ายามที่หน้าประตูรายงานว่า แม่นางเมิ่งแห่งสำนักกลเจ็ดดาวเหมือนจะนำกล่องบางอย่างออกไปแล้วขอรับ”
“ในกล่องมีอะไร ได้ตรวจสอบหรือไม่” กงอวี้เฉินเอ่ยถาม
ทหารส่ายหน้าด้วยความละอาย กงอวี้เฉินเอ่ยเสียงเข้ม “ข้าจำได้ว่าข้าเคยสั่งให้ตรวจค้นผู้ที่เข้าออกทุกคน” แม้จะดูคล้ายกับไม่โมโห ทว่าผู้บัญชาการทหารสามารถฟังออกถึงความโกรธที่อยู่ในคำพูดของเขา รีบเอ่ย “คุณชายได้โปรดอภัยด้วย ทหารเฝ้ายามหน้าประตูบอกว่าแม่นางผู้นั้นมีท่าทีแปลกๆ… ตอนที่เดินผ่านนาง พูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค จากนั้นพวกเขาก็ลืมเรื่องตรวจสอบไปเสียแล้ว หากมิใช่เพราะคืนนี้มีเพียงนางที่ออกไป ความทรงจำเมื่อครู่ คงคิดว่าตนเองได้ตรวจสอบไปแล้ว ความทรงจำของทั้งสองคล้ายกับไม่ชัดเจนนัก”
——————————————–
[1] จิ้นซื่อ การสอบบัณฑิตขั้นสูง คือผู้ที่สอบผ่านในระดับราชสำนัก