ไอ้…หยา! ในใจของหนานกงมั่วมีเพียงสองคำนี้ปรากฏขึ้นมาตัวใหญ่ แบบนี้ศิษย์พี่คงมิได้ไปขโมยหัวใจหญิงสาวแล้วหนีไปใช่หรือไม่
“ไม่รู้จักส่วนตัว” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าพึ่งออกมาจากสำนักได้ไม่นาน ออกเดินทางท่องยุทธภพเองก็ไม่นานเช่นกัน แต่ว่าระหว่างทางก็เคยได้ยินคนเอ่ยถึงอยู่บ้าง ทำไมหรือ คุณหนูจังรู้จักเขาหรือ” จังอู๋ซินมีท่าทีโศกเศร้า เอ่ยเสียงเบา “เพียงเคยเจอกันไม่กี่ครั้ง ไม่…ไม่มีอันใด ข้าเพียงลองถามดูเท่านั้น รบกวนพี่เมิ่งแล้ว”
หนานกงมั่วเอ่ย “ไม่เป็นไร หากในอนาคตข้าได้เจอกับคุณชายเสียนเกอผู้นั้น จะให้บอกว่าแม่นางกำลังตามหาเขาอยู่ดีหรือไม่”
“เอ่อ…ขอบคุณพี่เมิ่ง” จังอู๋ซินกัดริมฝีปาก สุดท้ายจึงไม่กล้าเอ่ยคำว่าไม่ต้องออกมา
หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ “เช่นนี้ ข้าต้องขอตัวลาแล้ว”
“พี่เมิ่งกลับดีๆ หากมีเวลาก็มาเล่นกับข้าที่จวนแม่ทัพได้” จังอู๋ซินเอ่ยบอก
หนานกงมั่วโบกมือโดยที่ไม่หันหน้ากลับไปมอง จากนั้นจึงเดินตรงกลับไปยังโรงเตี๊ยม
ที่ห้องหนังสือด้านหลังจวนแม่ทัพ ประตูถูกปิดไว้สนิททำให้ห้องหนังสือเงียบสงบ กงอวี้เฉินนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ แสงสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างกระทบลงบนใบหน้าของเขา หน้ากากบนใบหน้านั้นยิ่งรู้สึกยากจะคาดเดาและเย็นชาขึ้นไปอีก ร่างของเขาพิงเก้าอี้ มองชายตรงหน้าพลางเอ่ยถาม “เจ้าบอกว่า…เมิ่งเย่ว์ผู้นั้นเจอกับคุณหนูใหญ่อย่างนั้นหรือ”
ชายคนนั้นก้มหน้า เอ่ยตอบด้วยท่าทางนอบน้อม “รายงานคุณชาย คุณหนูใหญ่ไปซื้อผลไม้เชื่อมที่ร้านริมทางแห่งหนึ่ง เมิ่งเย่ว์ก็ไปที่นั่นพอดีขอรับ คงจะ…เป็นความบังเอิญ”
กงอวี้เฉินขมวดคิ้วเข้าหากัน เอ่ยถาม “นางเข้าไปซื้อผลไม้เชื่อมหรือ”
“ใช่ขอรับ เมิ่งเย่ว์ซื้อผลไม้เชื่อมไปไม่น้อย คล้ายว่าจะชอบมาก นางน่าจะชอบของหวานขอรับ ครั้งก่อนข้าเคยไปสอบถามเจ้าของโรงเตี๊ยม ว่ากันว่าของว่างที่จัดเตรียมให้เมิ่งเย่ว์ ล้วนเป็นขนมที่หวานที่สุดที่ถูกกินจนหมดขอรับ”
“ชอบของหวาน…ดูเหมือนจะไม่ใช่จริงๆ” กงอวี้เฉินพึมพำ เท่าที่เขารู้ หนานกงมั่วไม่ชอบของหวาน แม้จะดูหน้าตาคล้ายคลึง แต่เมื่อมองให้ละเอียดนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องเอ่ยถึง…น้ำเสียงหรือท่าทางยิ่งไม่เหมือน หรือเขาคิดมากไปแล้วนะ
“ตอนนี้หนานกงมั่วอยู่ที่ไหน” กงอวี้เฉินเอ่ยถาม
ชายผู้นั้นเอ่ยตอบเสียงเบา “ตั้งแต่ออกจากเมืองมาหนานกงมั่วก็หายตัวไปไร้ร่องรอยขอรับ สองวันก่อนสืบได้ว่ามีชายสองหญิงหนึ่งเข้าพักที่โรงเตี๊ยมคาดว่าคงเป็นหนานกงมั่ว แต่คืนนั้นโรงเตี๊ยมเกิดการต่อสู้มีคนบาดเจ็บและล้มตายจำนวนมาก ระบุตัวตนไม่ได้ และ…หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวทั้งสามอีกเลยขอรับ”
“เป็นนาง” กงอวี้เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง “พวกเขาทำอะไรที่โรงเตี๊ยมบ้าง”
ชายผู้นั้นเอ่ย “คล้ายกับการตายของจินอู๋เฮ่อบุตรชายของจินผิงอี้จะเกี่ยวข้องกับทั้งสามคนขอรับ คืนนั้นคนที่เข้าพักในโรงเตี๊ยมตายไปกว่าครึ่ง ระยะเวลาสั้นๆ คงสืบหาไม่ได้ คุณชาย…ต้องบอกจินผิงอี้ไหมขอรับ”
กงอวี้เฉินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ส่ายหน้า เอ่ยปฏิเสธ “ไม่ อย่าพึ่งทำอะไรวู่วาม สืบต่อไป…ดูว่าหนานกงมั่วไปถึงกระโจมของหนานกงไหวหรือยัง”
“ขอรับ” ชายผู้นั้นตอบรับ เงยหน้ามองกงอวี้เฉินคล้ายกับมีบางอย่างจะเอ่ยทว่ากลับเงียบไป กงอวี้เฉินถามเสียงเรียบ “มีอันใด เอ่ยออกมาตามตรง”
ชายผู้นั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณชาย…เหมือนจะให้ความสำคัญกับหนานกงมั่วมากไปสักนิด”
กงอวี้เฉินชะงัก ไม่นานจึงหลุบตาลง “งั้นหรือ…จะว่าไปก็ใช่ ก็แค่สตรีเพียงผู้เดียวเท่านั้น บางที…คงเพราะว่านางเป็นผู้หญิงของเว่ยจวินมั่ว เพียงแต่…ช่างเป็นเป็นหญิงที่น่าสนใจมากทีเดียว” เพียงเพราะจดหมายฉบับเดียวของเขาก็รีบวิ่งแจ้นออกมายังสนามรบ ไม่รู้ว่าเพราะมีใจให้เว่ยจวินมั่วมากแล้ว หรือว่าเพราะนิสัยมุทะลุ แต่ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยก็เห็นได้ชัดแล้วว่าหญิงสาวผู้นี้มีความกล้าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ขมวดคิ้วขึ้นมา เขารู้สึกไม่ชอบสิ่งที่คาดเดาและอาจจะเป็นไปได้ตรงหน้าเลย
“ท่านกงอยู่หรือไม่” ได้ยินเสียงของจังติ้งฟังดังขึ้นมาจากทางด้านนอก ทหารที่ยืนเฝ้าประตูยังไม่ทันตอบ กงอวี้เฉินก็เอ่ยขึ้น “ท่านแม่ทัพหรือ เชิญเข้ามาเถิด”
จังติ้งฟังเดินเข้ามาด้านใน มองเห็นคนที่นั่งอยู่ในมุมมืด อดตกใจเล็กน้อยไม่ได้ หันกลับมาเอ่ยถาม “ท่านกง คุยกับจินผิงอี้ได้เรื่องเช่นไรบ้าง”
กงอวี้เฉินเอ่ยเสียงเรียบ “จินผิงอี้ยังลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ท่านแม่ทัพมิต้องกังวล ยามนี้จินผิงอี้กำลังลังเลเป็นเพราะต้องการถือโอกาสยกฐานะตัวเองให้สูงขึ้นเพียงเท่านั้น ไม่ช้าไม่เร็วอย่างไรเขาก็ต้องตอบรับ” จังติ้งฟังยิ้มตอบ “มีท่านกงคอยออกโรงช่วย ข้ายังต้องกังวลสิ่งใดอีกเล่า” กงอวี้เฉินเอ่ย “ท่านแม่ทัพชมเกินไปแล้ว” จังติ้งฟังโบกมือ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่ไหนกัน ครั้งนี้หากไม่มีแผนการอันชาญฉลาดของท่านกง ข้าจะยึดครองเฉินโจวได้ง่ายดายถึงเพียงนี้หรือ มีท่านอยู่ หนานกงไหวคงจะเกรงกลัวอยู่บ้าง ใช่หรือไม่” กล่าวถึงตรงนี้ จังติ้งฟังก็เอ่ยต่อไปด้วยความไม่เข้าใจว่า “ด้วยความชาญฉลาดของท่าน ประมือกับหนานกงไหวคงไม่เป็นปัญหา ไยต้องดึงบรรดาจอมยุทธ์เหล่านี้เข้ามาด้วยเล่า” ไม่เพียงคนในยุทธภพที่ดูหมิ่นแม่ทัพใหญ่เช่นพวกเขา จังติ้งฟังเองก็ดูหมิ่นเหล่าจอมยุทธ์ด้วยเช่นกัน ก็เพียงท่องไปในยุทธภพ ต่อให้มีวรยุทธ์สูงส่ง มีผลกระทบต่อภาพรวมด้วยหรือ
กงอวี้เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพกล่าวได้ดี ไม่ผิดเลย ดึงพวกเขาเข้ามาร่วม เพราะครั้งนี้…หากไม่มีจอมยุทธ์เหล่านั้น เกรงว่าท่านแม่ทัพคงจะพ่ายไม่เป็นท่า”
“เอ๋” จังติ้งฟังไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด เมื่อครั้งก่อนเขาดูแลความสงบในใต้หล้าไม่จำเป็นต้องพึ่งจอมยุทธ์พวกนั้นเสียหน่อย ไยครั้งนี้จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้
กงอวี้เฉินเอ่ย “เพราะว่า…ในมือหนานกงไหวนั้นมียอดฝีมือ ดังนั้น หากพวกเราไม่มี คงเสียเปรียบไม่น้อย หากเป็นเช่นนั้น…เมื่อเขาคิดอยากเข้ามาแทงท่านแม่ทัพ ต่อให้ท่านแม่ทัพจะระวังตัวเพียงใดก็คงป้องกันไม่ได้”
ได้ยินดังนั้นใบหน้าของจังติ้งฟังจึงเคร่งขรึมขึ้นมา อายุมากแล้ว ยิ่งใส่ใจต่อชีวิตตนเองมากขึ้น จังติ้งฟังไม่มีความกระตืนรือร้นควบม้าต่อสู้กับคนนับพันนับหมื่นเหมือนสมัยก่อนแล้ว เอ่ยเสียงเข้ม “หากท่านกงว่าร้ายกาจแสดงว่าคงไม่ธรรมดา เพียงแต่…ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าในมือหนานกงไหวมียอดฝีมือที่เก่งกาจเช่นนั้นอยู่”
“ทุกยุคทุกสมัยล้วนมียอดฝีมือโผล่ขึ้นมาเสมอ…” กงอวี้เฉินเอ่ยเสียงเบา
จังติ้งฟังไม่พอใจอยู่ในใจ เอ่ยเช่นนี้คล้ายกับกำลังบอกว่าพวกเขานั้นแก่แล้ว คลื่นใหม่ในแม่น้ำดันคลื่นด้านหน้า คลื่นด้านหน้ามาตายเกยตื้นที่ริมฝั่ง คลื่นที่อยู่ด้านหน้าเหล่านี้มักไม่พอใจต่อคนรุ่นหลัง แต่ว่าเมื่อเผชิญหน้ากับกงอวี้เฉินผู้นี้ เขารู้สึกเช่นไรนั้นไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ ทำได้เพียงปล่อยผ่านหัวข้อสนทนานั้นไป ทำราวกับไม่ได้ยิน เอ่ยถามต่อ “ท่านกงหมายถึงผู้ใดกัน” กงอวี้เฉินเอ่ยตอบ “มือซ้ายของหนานกงไหว เว่ยจวินมั่ว อีกทั้งยังเป็นว่าที่บุตรเขยของหนานกงไหวด้วย…โอรสขององค์หญิงฉังผิงในราชวงศ์ปัจจุบัน”
“ลูกหลานกษัตริย์งั้นหรือ โอรสของเซียวเทียนอวี้คงมีเพียงเซียวโยวที่พอดูได้ รุ่นหลานยังมีคนเก่งกาจด้วยหรือ” จังติ้งฟังขมวดคิ้ว เขาอยู่ไกลถึงหูก่วง รู้เรื่องจินหลิงไม่มากนัก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยเราไม่กำจัดเขาก่อนเล่า หากท่านกงลงมือด้วยตนเอง…”
กงอวี้เฉินส่ายหน้าจนปัญญา “ไม่ได้ ข้ารู้จักเขาเป็นอย่างดี เขาเองก็รู้จักข้าเป็นอย่างดี ยามนี้ข้ายังแข็งข้อกับเขาไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น…สามปีก่อนข้าเคยสู้กับเขาไปแล้วครั้งหนึ่ง ยามนี้พลังยังกลับมาไม่สมบูรณ์”