หนานกงมั่วกะพริบตาปริบไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เว่ยจวินมั่วก้าวขึ้นมาด้านหน้าหนึ่งก้าว เอ่ยขึ้นเรียบนิ่ง “ท่านแม่ทัพใหญ่ อู๋สยาเป็นห่วงข้าจึงมาที่นี่”
มุมปากของหนานกงไหวกระตุก จ้องเว่ยจวินมั่วเขม็ง เขาคิดว่าเอ่ยเช่นนี้แล้วข้าจะดีใจงั้นหรือ ไม่ว่าใครเป็นบิดาก็คงไม่พอใจที่บุตรีวิ่งแจ้นมายังสนามรบเพราะผู้ชาย ที่สำคัญก็คือ เป็นยามที่บิดาและพี่ชายของนางเองก็อยู่ในสนามรบ
หนานกงมั่วเหลือบมองเว่ยจวินมั่วเล็กน้อย ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาเท่ากับว่ายอมรับสิ่งที่เว่ยจวินมั่วกล่าวอยู่เงียบๆ เซียวเชียนเยี่ยเอ่ย “น้องชายช่างโชคดี คุณหนูหนานกงช่างรักเจ้ามากเสียจริง” ทันใดนั้นเซียวเชียวเยี่ยก็รู้สึกริษยาขึ้นมาในใจ สตรีเช่นนี้ ยอมวิ่งเข้ามาในสนามรบที่เต็มไปด้วยการนองเลือดอย่างไม่เกรงกลัวเพื่อสามีในอนาคตของนาง ไยเขาจึงไม่เคยพบเจอสตรีเช่นนี้บ้าง เซียวเชียนเยี่ยรู้สึกเศร้าและเสียดายอยู่ในใจ
“รีบกลับไปเดี๋ยวนี้ สนามรบมิใช่ที่ที่สตรีจะอยู่ได้” หนานกงไหวเอ่ย
หนานกงมั่วกะพริบตาปริบ เอ่ยเสียงเรียบ “กฎของราชสำนักมิได้บอกไว้นี่เจ้าคะว่าสตรีห้ามออกรบ”
หนานกงไหวเกือบปะทุความโกรธออกมารอมร่อแล้ว “ออกรบงั้นหรือ เจ้าคิดว่าการออกรบคือการเล่นสนุกหรือ กฎของราชสำนักไม่มีข้อห้ามนี้ แต่ข้ามีกฎเช่นนี้ ในค่ายนี้ สิ่งที่ข้าเอ่ยนั้นเป็นคำบัญชาการ คำบัญชาการดั่งภูผา[1] เข้าใจหรือไม่”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วน้อยๆ ไม่คิดใส่ใจ แน่นอนว่านางย่อมไม่ขัดต่อคำบัญชาการอย่างโจ่งแจ้ง ใครบอกว่ามาอยู่ในสนามรบแล้วนางจะอยู่เพียงแต่ภายในค่ายกันเล่า นางออกไปข้างนอกหนานกงไหวก็ทำอันใดนางมิได้แล้วมิใช่หรือ
เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “คุณหนูหนานกง เจ้า…ทำไมถึงถูกน้องชายพากลับมาจากชายฝั่งเล่า”
หนานกงมั่วเอ่ย “อ้อ หม่อมฉันว่ายน้ำมาจากอีกฝั่งเพคะ”
“ว่าอย่างไรนะ” หนานกงไหวและเซียวเชียนเยี่ยร้องออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าของหนานกงไหวแทบอยากคว่ำโต๊ะเสียให้ได้ เอ่ยเสียงขรึม “ความเคลื่อนไหวของฝั่งตรงข้าม เพราะเจ้างั้นหรือ”
หนานกงมั่วคิดอยู่ชั่วครู่ พยักหน้าตอบ “คงจะใช่เจ้าค่ะ”
“ในมือเจ้าถืออะไรอยู่” หนานกงไหวเอ่ยถาม หนานกงมั่วยัดกระบี่ชิงหมิงใส่มือเว่ยจวินมั่ว เว่ยจวินมั่วรับมาพลางขมวดคิ้ว แน่นอนว่าเขาดูออกว่านี่คือกระบี่ล้ำค่า หนานกงมั่วแกะห่อผ้าเปิดออก ด้านในมีกล่องสี่เหลี่ยมวางอยู่หนึ่งกล่อง หนานกงมั่วกวาดตามองทุกคนด้วยรอยยิ้ม ยกมือขึ้นไปเปิดกล่องออก ศีรษะที่เปียกชื้นไปด้วยเลือดกลิ้งหล่นลงมา
“เฮ้ย” เซียวเชียนเยี่ยเป็นชนชั้นสูง เติบโตมากับสตรี ไหนเลยจะเคยเจอสิ่งใดที่เจิ่งนองไปด้วยเลือดเช่นนี้มาก่อน หลายวันมานี้ เขายังไม่เคยเผชิญหน้ากับพวกกบฏนั่นด้วยซ้ำ เมื่อต้องพบเจอสิ่งที่น่าตกใจกะทันหันเช่นนี้จึงอดร้องออกมาเสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่ และไม่รู้เป็นความตั้งใจหรือไม่ ศีรษะนั้นดันกลิ้งมาหยุดอยู่ที่ด้านข้างของเขา เซียวเชียนเยี่ยวิ่งออกไปด้านนอกกระโจมแล้วอาเจียนออกมาทันที
หนานกงไหวตกตะลึง จ้องมองศีรษะที่ตกอยู่บนพื้น “นี่คือ…” แม้จะมีเลือดเปรอะเปื้อน แต่เขายังพอรู้สึกคุ้นตากับคนผู้นี้อยู่บ้าง
“หลินเซี่ย” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเข้ม ดวงตาสีม่วงเพ่งมองไปยังหนานกงมั่วอย่างลุ่มลึกมากขึ้น หนานกงมั่วหดตัวเล็กลง รู้สึกราวกับว่าเขากำลังโกรธนาง
หนานกงไหวหันกลับไปมองหนานกงมั่ว “เจ้า…เจ้าเอาศีรษะของหลินเซี่ยกลับมาได้เยี่ยงไร” ศีรษะของหลินเซี่ยมีค่าหัวสูงที่สุดในยามนี้ เขาเป็นคนแรกที่ทรยศต่อราชสำนัก เขาจึงได้รับค่าหัวที่สูงถึงเพียงนี้ แต่นักฆ่าที่ตนส่งไปกลับล้มเหลวไปหลายครั้ง หนานกงไหวจึงล้มเลิกแผนการลอบสังหารและรอวันที่ตนยึดเฉินโจวได้แล้วค่อยสังหารหลินเซี่ยอีกครั้งหลังจากนั้น
หนานกงมั่วเอ่ยตอบ “ก็ข้าเป็นคนฆ่าน่ะสิเจ้าคะ เขาจะวิ่งเข้ามาในหีบนี้ของข้าด้วยตัวเองได้งั้นหรือ”
ยามนี้หนานกงไหวจึงสังเกตเห็นกระบี่ในมือเว่ยจวินมั่ว นั่นคือกระบี่ที่ใช้สังหารคนได้จริงๆ มิใช่เครื่องประดับของคุณหนูชนชั้นสูงแต่อย่างใด หนานกงไหวสูดหายใจเข้าลึก จ้องมองบุตรีอย่างเหลือเชื่อ แทรกซึมเข้าไปในเฉินโจว เข้าไปสังหารหลินเซี่ยที่อยู่ในจวนแม่ทัพของจังติ้งฟัง จากนั้นฝ่าด่านทหารมากมายว่ายน้ำกลับมายังฝั่งนี้โดยไร้รอยขีดข่วน ทหารลับที่ราชสำนักเลี้ยงเอาไว้มากมายกลับไม่มีผู้ใดทำสำเร็จ สตรีผู้นี้กลับทำมันสำเร็จ นี่…นางเป็นบุตรีของเขาจริงๆ หรือ
หนานกงมั่วกลอกตาอยู่ในใจ อีกแล้ว…แม้นางจะไม่นับว่าเป็นหนานกงชิงจริงๆ แต่คงไม่จำเป็นต้องสงสัยกันทุกย่างก้าวถึงเพียงนี้ก็ได้ ทำราวกับว่าพวกเขารู้จักหนานกงชิงดีเสียอย่างนั้น
“เจ้า…เจ้ามีวรยุทธ์ได้อย่างไร…”
หนานกงมั่วตอบด้วยท่าทางเฉยเมย “ข้าเคยบอกกับท่านพ่อแล้วว่าข้าเคยไหว้อาจารย์ ท่านพ่อคงไม่เคยสนใจใช่หรือไม่” โดยทั่วไปแล้วเมื่อหัวหน้าครอบครัวพบว่าบุตรีมีอาจารย์ ควรเชิญอาจารย์มาทานข้าวและทำความรู้จักกัน แน่นอนนางเองย่อมไม่ต้องการให้อาจารย์มาทานข้าวกับตระกูลหนานกง ท่านอาจารย์ไม่น่านับถือขนาดนั้น ไม่แน่อาจถูกพวกเขากินก็ได้
หนานกงไหวพูดไม่ออก นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่หนานกงมั่วกล่าวถึงชื่อก็เคยเอ่ยถึงว่าจื้อของนางอาจารย์เป็นผู้ตั้งให้
“อาจารย์เจ้าเป็นใคร ยอดฝีมือในยุทธภพหรือ”
หนานกงมั่วส่ายหน้า “ไม่ อาจารย์ของข้าเป็นหมอ” น่าเสียดายที่แม้แต่อาจารย์ก็เอาชนะนางมิได้
นึกไม่ออกเลยว่าไยอาจารย์ที่เป็นหมอจึงได้สั่งสอนศิษย์ออกมาได้เหี้ยมโหดถึงเพียงนี้ หรือนางวางยาฝ่ายตรงข้าม ทำให้ทุกคนสลบไปแล้วค่อยตัดเอาศีรษะของหลินเซี่ยกลับมางั้นหรือ
เนิ่นนาน หนานกงไหวจึงถอนหายใจออกมา นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ “เล่าทุกอย่างที่เจ้าเจอมาให้หมด” หวังว่าเขาจะมีใจเข้มแข็งพอที่จะฟังคำพูดของนาง
เขาอยากฟังมิได้หมายความว่านางอยากเล่า หนานกงมั่วเหลือบตาไปยังศีรษะที่หล่นอยู่บนพื้น “ศีรษะของหลินเซี่ยอยู่ที่นี่แล้ว อย่าลืมเงินรางวัลด้วยนะเจ้าคะ”
หนานกงไหวรู้สึกคับแน่นอยู่ในใจ ตระกูลหนานกงไม่มีเงินให้เจ้าหรืออย่างไรกัน
หนานกงไหวสูดหายใจเข้าลึก พยายามควบคุมมือของตนไม่ให้สั่นไหว กัดฟันพลางเอ่ย “ไม่มีปัญหา เงินรางวัลย่อมต้องให้เจ้า แต่…เรื่องนี้ ใช้ชื่อของเจ้าป่าวประกาศออกไปไม่ได้” เขาไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าตนมีบุตรีที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ แต่เมื่อนึกถึงบุตรชายคนโตที่ร่างกายถูกทำลายเมื่อยังเด็กและบุตรชายคนรองที่ไม่เอาไหนในเรื่องการต่อสู้ หันกลับมามองบุตรีหน้าตาสะสวย หนานกงไหวได้แต่นึกโอดครวญอยู่ในใจ ไยจึงไม่ใช่บุตรชายกันนะ
หนานกงมั่วไม่ใส่ใจ ขอเพียงได้เงินรางวัลมา นางไม่คิดสนใจชื่อเสียงอยู่แล้ว อีกอย่าง มีนักฆ่าที่ไหนต้องการเอาชื่อของตนไปป่าวประกาศ ยกเว้นรังเกียจว่าชีวิตนั้นยืนยาวนานเกินไป
หนานกงมั่วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ในเมื่อไม่มีอันใดแล้ว ข้าไปก่อนล่ะ จริงสิ…แผนการของฝ่ายกบฏและ…สถานการณ์ของจังติ้งฟัง คงไม่จำเป็นกับท่านพ่อกระมัง”
“หยุด” หนานกงไหวชะงัก รีบตะโกนเรียกเอาไว้
หนานกงมั่วหันกลับมา เลิกคิ้วมองเขา หนานกงไหวเอ่ย “เจ้ารู้สิ่งใดมาบ้าง”
หนานกงมั่วยิ้มทว่ายังคงเงียบ หนานกงไหวเริ่มเข้าใจนิสัยของบุตรขึ้นมาบ้างแล้ว “เจ้าต้องการสิ่งใด”
หนานกงมั่วเอ่ยตอบ “ข้าไม่อยากกลับจินหลิง ข้าจะอยู่ในกองทัพ”
หนานกงไหวกวาดตามองเว่ยจวินมั่วด้วยสายตาเยือกเย็น เอาความโกรธไปลงที่เว่ยจวินมั่ว คิดไปว่าเพราะเว่ยจวินมั่ว หนานกงมั่วจึงดึงดันจะอยู่ในกองทัพต่อไป
——————————————–
[1] คำบัญชาการดั่งภูผา หมายถึง คำสั่งที่ต้องปฏบัติตามอย่างเคร่งครัด