ทั้งสองเดินออกมาจากกระโจม ฝังเอ่ยด้วยท่าทีตื่นเต้น “เมื่อครู่มีคนมารายงานว่ามีคนเจอสิ่งของที่คุณชายพกติดตัวที่โรงรับจำนำในเมืองเล็กๆ ห่างออกไปสามสิบลี้ขอรับ” หัวใจของหนานกงมั่วสั่นคลอน ทว่ากลับฉุกคิดสงสัยขึ้นมา “สามสิบลี้งั้นหรือ” ไกลเกินไปหรือไม่ หากถูกน้ำพัดไปไกลถึงเพียงนั้นยังจะมีชีวิตอยู่อีกหรือ หากมิใช่น้ำพัดไปและไปได้ไกลถึงเพียงนั้น ไยเว่ยจวินมั่วจึงไม่กลับมาเล่า
ฝังรู้สึกกังวลเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบา “สอบถามผู้จัดการโรงรับจำนำ บอกว่าเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเอาไปจำนำ แต่ว่า…ตามที่ผู้จัดการโรงรับจำนำบอก อีกฝ่ายไม่ใช่คุณชายขอรับ”
หนานกงมั่วครุ่นคิด เอ่ยเสียงเรียบ “ไปดูก่อนค่อยว่ากัน”
“ขอรับ คุณหนู เจ้าสำนักล่วงหน้าไปก่อนแล้ว พวกเราไปตอนนี้เลยหรือไม่ขอรับ”
หนานกงมั่วพยักหน้า “ออกเดินทางตอนนี้เลย”
“คุณหนูหนานกง” เสียงเซียวเชียนเยี่ยดังขึ้นด้านหลัง ฝังเลิกคิ้วเล็กน้อยขณะยืนใบหน้าเรียบนิ่งอยู่ด้านหลังหนานกงมั่ว หนานกงมั่วหันกลับไป ทอดสายตามองเขา “เย่ว์จวิ้นอ๋อง มีเรื่องอันใดหรือเพคะ”
เซียวเชียนเยี่ยเงียบไปชั่วครู่ ไม่นานก็เผยรอยยิ้มออกมา “คุณหนูหนานกงกล่าวโทษข้าหรือไม่”
น้ำเสียงของหนานกงมั่วยังคงสงบนิ่ง “จวิ้นอ๋องหมายความเช่นไรหรือ”
เซียวเชียนเยี่ยเอ่ย “น้องชายหายตัวไปข้าเองก็เป็นกังวล ขอคุณหนูหนานกงโปรดให้อภัย” ตลอดหลายวันมานี้เซียวเชียนเยี่ยเองก็มิได้มีความสุข แม้เป็นเพราะฐานะของเขาทำให้ไม่มีใครกล้าพูด แต่บางทีก็ไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใดเมื่อท่าทางของทุกคนนั้นมากเพียงพอที่จะอธิบายทุกอย่างได้ หลังการสู้รบจบลง ท่านแม่ทัพบาดเจ็บสาหัส ผู้นำทัพซ้ายหายตัวไป มีเพียงเซียวเชียนเยี่ยผู้มีความผิดเท่านั้นที่มิได้รับบาดเจ็บ ในสนามรบผู้อ่อนแอย่อมเป็นอาหารแก่ผู้แข็งแกร่ง ผู้ที่ได้รับการยอมรับนับถือย่อมต้องเป็นวีรบุรุษ ถึงแม้เซียวเชียนเยี่ยนั้นจะมีฐานะสูงส่ง ทว่าคนที่ชื่นชอบเขากลับมีไม่มากนัก
ด้วยนิสัยของเซียวเชียนเยี่ยที่เรียกได้ว่าอ่อนโยนสง่างาม แต่ว่าเมื่ออยู่ในสนามรบหลายวันมานี้กลับรู้สึกหดหู่อยู่ในใจ หากมิใช่เพราะเสด็จปู่และเสด็จพ่อสั่งให้เขาใช้โอกาสนี้เข้าร่วมการรบ เขาคงรีบกลับเมืองหลวงไปนานแล้ว และตอนนี้เรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่แตกต่างแต่อย่างใด อย่างไรเสียการศึกครั้งนี้ก็ไม่มีหน้าที่ของเขาแล้ว เสด็จพ่อรับสั่งให้คนมารับหน้าที่แม่ทัพแทนหนานกงไหวแล้ว และให้เขากลับเมืองหลวงไปพร้อมกับหนานกงไหวทันที
นึกถึงเรื่องราวมากมายที่ไม่ราบรื่นนัก นึกถึงเว่ยจวินมั่วที่ตกน้ำหายไป หัวใจของเซียวเชียนเยี่ยพลันมีความสุขอย่างอธิบายไม่ได้
“จวิ้นอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว หากไม่มีสิ่งใดแล้วหนานกงมั่วต้องขอลาแล้วเพคะ”
หนานกงมั่วหมุนตัวเดินออกไป เซียวเชียนเยี่ยก้าวขึ้นมาด้านหน้าตั้งใจจะยื้อนางไว้ “ช้าก่อน…”
หนานกงมั่วเบี่ยงตัวหลบแล้วก้าวห่างออกไปทันใด เซียวเชียนเพียงก้าวไปด้านหน้าได้สองก้าว มองดูมือของตนที่คว้าได้เพียงความว่างเปล่า ดวงตาฉายแววสับสนและงุนงงไม่น้อย ขณะที่หนานกงมั่วเดินออกไปไกลกว่าเจ็ดแปดก้าวแล้ว
ที่หมู่บ้านเล็กๆ ริมแม่น้ำห่างจากกองทัพไปกว่าสิบลี้ มีหุบเขาที่อยู่ห่างออกไปจากหมู่บ้านไม่กี่ลี้ตั้งอยู่ ชายในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อย่างสบายอารมณ์ บนเตาห่างจากเขาไม่ไกลกำลังต้มยาเอาไว้ กลิ่นยาเข้มข้นลอยอยู่ในอากาศ ด้านหลังห่างออกไปไม่กี่ก้าวเป็นกระท่อมฟางหญ้าเล็กๆ หน้าประตูทางเข้ามีชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาทว่างดงามนั่งอยู่ เพียงแต่เขานั่งนิ่งไม่ขยับร่างกายเลยสักนิด ทำได้เพียงส่งสายตาเย็นเยียบจ้องเขม็งไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้นั่น น่าเสียดายที่อีกฝ่ายกลับไม่สะท้านสะเทือน
เปิดหนังสืออ่านด้วยท่าทางพึงพอใจ ชายหนุ่มในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนวางหนังสือในมือลง เงยหน้ามองอีกคนที่อยู่ไม่ไกล เลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม “ดูเหมือนว่าวันนี้เว่ยซื่อจื่อจะมีชีวิตชีวามากขึ้นไม่น้อยเลย”
ชายหนุ่มใบหน้าเฉยชาคนที่ว่าย่อมเป็นเว่ยจวินมั่วผู้ที่ตกน้ำหายไปอย่างไม่ต้องสงสัย เว่ยจวินมั่วจ้องมองชายหนุ่มในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนไม่พูดไม่จา ชายหนุ่มในอาภรณ์สีฟ้ายกมือขึ้นลูบปลายคาง “เว่ยซื่อจื่อ นี่มิใช่ท่าทีที่ควรปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณนะ”
“เสียนเกอ” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเรียกเสียงเย็น
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนยิ้มบางๆ ใบหน้าหล่อเหลางดงามของเขาทำให้คนรู้สึกราวกับดอกไม้นับร้อยเบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ มิน่าถึงได้ดึงดูดบุตรีของบรรดาจอมยุทธ์ทั้งหลายได้ไม่น้อยเลย ชื่อของคุณชายเสียนเกอโดดเด่นวิชาการแพทย์และเพลงฉิน ทว่าในยุทธภพยังมีอีกคำเรียก ว่ากันว่าสี่อย่างที่ร้ายกาจที่สุดในยุทธภพก็คือ แส้ของเจ้าสำนักธารา ดาบของคุณชายจื่อเซียว พิษของเทพซิ่วสุ่ย และรอยยิ้มของคุณชายเสียนเกอ เจ้าสำนักหอธาราและคุณชายจื่อเซียวน้อยคนจะเคยเจอ แต่เทพซิ่วสุ่ยหรือเรียกอีกอย่างว่าเทพยาพิษ ความสามารถเรื่องพิษยอดเยี่ยมที่สุด ถูกขนานนามโด่งดังในยุทธภพ และดังที่เห็น รอยยิ้มของคุณชายเสียนเกอผู้นี้ที่เป็นที่หลงใหล
เพียงแต่แตกต่างจากเทพยาพิษ ชื่อเสียงของคุณชายเสียนเกอนั้นดีงาม สตรีทั้งหลายต่างหลงใหลในรอยยิ้มของคุณชายเสียนเกอ ทำให้คนรู้สึกอิจฉาและริษยาไม่น้อย
เพียงแต่เวลานี้ เว่ยจวินมั่วกลับไม่รู้สึกว่ารอยยิ้มของคุณชายเสียเกอน่ามองเลยสักนิด ทำเพียงจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา “คุณชายเสียนเกอมีสิ่งใดชี้แนะก็ว่ามา”
รอยยิ้มของคุณชายเสียนเกอที่ทำให้สาวๆ คลั่งไคล้จนไม่ต้องการเงิน เพียงแต่วาจาที่เอ่ยออกมานั้นทำให้ผู้คนต้องตัวสั่นเทาเป็นลูกนก เพียงแค่ได้ยินเสียงของเขา “ความจริง…ข้าเองก็ลำบาก ข้าควร…ช่วยท่าน หรือวางยาท่านดี” หากคุณชายเสียนเกออยากวางยาใคร เกรงว่าแม้แต่ศพก็คงไม่มีผู้ใดหาเจอ เทพยาพิษที่โด่งดังในยุทธภพเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็เป็นดั่งการละเล่นของเด็กน้อยเพียงเท่านั้น
เว่ยจวินมั่วกล่าวเสียงเรียบ “เจ้าก็ลองดูเสียสิ”
เสียนเกอมีท่าทางครุ่นคิดปัญหานี้อย่างจริงจัง เนิ่นนานจากนั้นจึงส่ายหน้าพร้อมทั้งถอนหายใจออกมา “หากข้าวางยาเจ้า เจ้าเด็กคนนั้นต้องมาคิดบัญชีกับข้าเป็นแน่ วันนั้นน่าจะมองไม่เห็นและปล่อยให้เจ้าจมน้ำตายไปเลยจะดีกว่า”
วันนั้นหากเจ้าไม่เรื่องมาก ข้าคงกลับไปนานแล้ว ดวงตาสีม่วงของเว่ยจวินมั่วราวกับกำลังเอ่ยเช่นนั้น กล่าวตามตรง ตอนนั้นอาการบาดเจ็บของเขามิได้หนักหนาเลย เพียงแต่ตอนที่ตกลงไปในน้ำมีจอมยุทธ์ที่อยู่ข้างจังติ้งฟังหลายคนกำลังจับจ้องอยู่ เขาจึงยอมเสียแรงว่ายลงมาตามน้ำ ใครจะรู้ว่าเมื่อจัดการฆ่าจอมยุทธ์ทั้งหลายเรียบร้อยแล้วก็มาเจอเข้ากับตัวซวยผู้นี้
เว่ยจวินมั่วยังจำได้ ตอนนั้นเขาเห็นชายหนุ่มในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนที่พริ้วไหวราวกับเทพเซียน ด้านหลังแบกตะกร้ายายืนอยู่ไม่ไกล น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านคือเว่ยซื่อจื่อหรือ ข้าคือเสียนเกอ”
เขายังไม่ทันเอ่ยสิ่งใด ร่างกายพลันแข็งชะงักไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นก็สลบไป
“วางยาในน้ำที่ไหลเชี่ยวมิใช่เรื่องง่าย มิเช่นนั้นจะเอาเว่ยซื่อจื่อที่วรยุทธ์เก่งกาจอยู่ได้เช่นไร” จากนั้นคุณชายเสียนเกอจึงเอ่ยขึ้นพลางถอนหายใจ ช่างไม่ง่ายเลยจริงๆ เพื่อควบคุมตัวเว่ยจวินมั่วไว้ เขาได้เทยาที่ทำให้ร่างกายอ่อนแรงลงไปที่ต้นน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลนักไปมากกว่าสิบขวด ในที่สุดก็ทำให้เว่ยซื่อจื่อที่แช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานติดกับแล้ว แต่ราคาที่ต้องจ่าย…คุณชายเสียนเกอย่อมไม่นึกอยากใช้วิธีเช่นนี้กับใครอีก เนื่องจากยาที่เทลงไปแต่ละขวดมีค่ายิ่งกว่าทองคำที่มีขนาดเท่ากันด้วยซ้ำ
เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว “คุณชายเสียนเกอมีสิ่งใดต้องชี้แนะเอาไว้คราวหลังมิได้หรือ ยามนี้กำลังอยู่ในช่วงยามศึกสงคราม”