ลิ่นฉังเฟิงสาบาน หากมิใช่เพราะข่าวของเว่ยจวินมั่ว เขาจะต้องกำจัดเด็กคนนี้ให้เละเป็นผุยผง
เมื่อเทียบกับความเกรี้ยวกราดของลิ่นฉังเฟิง หนานกงมั่วกลับสงบนิ่งกว่ามาก มองชายตรงหน้านิ่ง กล่าวเสียงเรียบ “น้ำใจของเจ้าสำนักข้ารับเอาไว้แล้ว เพียงแต่…คงทำตามมิได้”
ชายหนุ่มตกใจ “หรือว่าคุณหนูหนานกงไม่ต้องการชีวิตของเว่ยจวินมั่วแล้วหรือ”
หนานกงมั่วเอ่ย “ชีวิตของเขาหากเป็นของข้าจึงจะสำคัญ หากข้าตกลงแต่งงานกับกงอวี้เฉิน เช่นนั้นชีวิตของเขาก็เป็นของหญิงอื่น ไยข้าต้องทำเพื่อหญิงอื่นแล้วเอาตัวเองเข้าไปชดใช้แทนกันเล่า”
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มผู้นั้นไม่เคยเจอใครที่เป็นเช่นนี้มาก่อน ชะงักไปอย่างห้ามไม่ได้ เนิ่นนานจึงได้สติกลับมา เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าไม่รักเว่ยจวินมั่วหรือ” สตรีที่ลุ่มหลงในรักมิใช่ต้องยอมสละตัวเองเพื่อคนที่ตนรักหรอกหรือ แล้วสตรีนางนี้เล่า ยังต้องการคนรักอยู่หรือไม่
หนานกงมั่วคิดอยู่ชั่วครู่ “เรื่องนี้หรือ…”
ยังต้องครุ่นคิดนานถึงเพียงนั้นหรือ ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ที่แท้ที่บอกว่าคุณหนูหนานกงลุ่มหลงในเว่ยซื่อจื่อคงเป็นเรื่องโกหกสินะ ที่แท้คำบอกเล่าก็ไม่เป็นจริง ตอนนี้เขาเริ่มกังวลต่อสถานการณ์ของตนเองขึ้นมาบ้างแล้ว
ในที่สุดหนานกงมั่วก็คิดออกแล้ว เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้า “เช่นนั้นต้องดูข้อเสนอของเจ้าสำนักว่าข้าจะรักหรือไม่ อย่างเช่น เช่นอยากให้ข้าแต่งงานด้วยหรือฆ่าตัวตาย เช่นนี้ข้าคงไม่รัก”
“…” อย่าคิดว่าพูดแบบนี้แล้วเจ้าจะปิดบังความจริงที่ว่าเจ้าไม่สนใจชีวิตของเว่ยจวินมั่วได้ ไม่เห็นถึงไอสังหารในดวงตาของคนรอบๆ ข้างหรือ ชายหนุ่มเงียบไปชั่วครู่ คิดว่ายามนี้คงมิใช่เวลายั่วยุอารมณ์ใครได้ จึงเอ่ยตัดบท “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องขอตัวก่อนแล้ว”
หนานกงมั่วยิ้ม “ข้าอนุญาตให้เจ้าไปได้แล้วหรือ”
ชายหนุ่มจ้องมองนางนิ่ง เอ่ยเสียงเรียบ “หากข้าเกิดอันใดขึ้น เว่ยจวินมั่วก็อย่าคิดจะได้มีชีวิตอยู่อีกเลย”
หนานกงมั่วลูบกระบี่ชิงหมิงพลางเอ่ย “เช่นนั้น…เจ้าลองเดาดูสิ ข้าเชื่อหรือไม่ว่าเว่ยจวินมั่วอยู่ในมือของกงอวี้เฉิน”
ชายหนุ่มชะงัก พูดอะไรไม่ออก “เจ้าหลอกข้า”
หนานกงมั่วเอ่ย “เจ้าสำนักกงของพวกเจ้าต่างหากเล่าที่กำลังหลอกข้า ทว่าไม่บอก…ว่ากงอวี้เฉินได้ตัวเว่ยจวินมั่วมาได้เยี่ยงไร หรือถ้าเว่ยจวินมั่วอยู่ในมือของเขา…เขาจะยกข้อเสนอที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ขึ้นมาหรือ” หากจะบอกว่าต้องการทำให้เว่ยจวินมั่วขายหน้า กงอวี้เฉินย่อมมิใช่คนโง่ ต่อให้นางตอบตกลงข้อเสนอของเขา มันก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ ต่อหอธารา ตรงกันข้าม ยังท้าทายต่ออำนาจจวนฉู่กั๋วกงและจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องอีกด้วย หนานกงไหวไม่มีทางยอมให้บุตรีของตนแต่งกับจอมยุทธ์ธรรมดาแน่นอน อีกทั้งยังถูกบังคับอีก ทางจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องเองก็คงไม่มีทางยอมให้สำนักเล็กๆ ในยุทธภพมาทำให้ตนเองต้องขายหน้าเช่นกัน ตอนนี้การต่อสู้ของเว่ยจวินมั่วและกงอวี้เฉินเป็นเพียงการต่อสู้ในยุทธภพ แต่หากราชสำนักเข้ามายุ่ง สำหรับกงอวี้เฉินแล้วคงมิใช่เรื่องดีเท่าไร
“อีกอย่าง” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย “ต่อให้เว่ยจวินมั่วจะอยู่ในมือกงอวี้เฉิน ตอนนี้ข้าฆ่าเจ้า เจ้าคิดว่ากงอวี้เฉินจะฆ่าเว่ยจวินมั่วเพื่อเจ้างั้นหรือ”
ชายหนุ่มพูดไม่ออก เนิ่นนานจึงเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง “เจ้าสำนักกล่าวไว้ไม่มีผิด คุณหนูหนานกงช่างสมคำร่ำลือเสียจริง”
หนานกงมั่วเท้าคางหัวเราะ “เช่นนั้นตอนนี้ เจ้าคิดจะเอาสิ่งใดมาแลกกับชีวิตของเจ้า”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ชีวิตของข้าไม่มีค่าอันใด คุณหนูหนานกงคาดเดาเอาไว้ไม่ผิด เจ้าสำนักคงไม่ตอบรับข้อเสนอของวังจื่อเซียวเพียงเพราะข้าหรอก”
หนานกงมั่วครุ่นคิดจริงจัง จากนั้นจึงบอก “เจ้าไปเถิด”
“เจ้า…” ชายหนุ่มตกใจ มองหญิงสาวในอาภรณ์สีฟ้าอ่อน ได้ยินหนานกงมั่วเอ่ยขึ้นว่า “แม้จะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ว่า…สำหรับข้าแล้วเจ้าก็ไม่ได้นับว่าไร้ประโยชน์ ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป เวย ส่งคุณชายท่านนี้ออกไป”
เวยพยักหน้าตอบรับเงียบๆ ชั่วพริบตาร่างของเขาก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าชายผู้นั้น สัญชาตญาณของชายผู้นั้นทำให้เขาคิดขัดขืน แต่เวยนั้นเรียกได้ว่าเป็นยอดมือสังหารหนึ่งในสามอันดับต้นๆ ของวังจื่อเซียวเลยก็ว่าได้ ไหนเลยเขาจะต่อต้านได้ ใช้เวลาไม่นานเขาก็ถูกเวยจับหิ้วออกไปด้านนอก
ในห้องโถง ลิ่นฉังเฟิงมองไปยังหนานกงมั่ว “ไยจึงปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้เล่า”
หนานกงมั่วเอ่ย “เพียงแค่เบี้ยตัวหนึ่งที่มาสืบ ฆ่าไปก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็มิได้ไร้ประโยชน์ไปเสียหมด ยามนี้มั่นใจได้ว่าเว่ยจวินมั่วมิได้อยู่ในกำมือของกงอวี้เฉินและจังติ้งฟัง” ลิ่นฉังเฟิงยิ้มขมขื่น “ไม่รู้ว่านี่นับเป็นเรื่องที่ดีหรือร้าย” สำหรับตอนนี้ที่ไม่รู้เป็นหรือตาย เขายังคาดหวังให้เว่ยจวินมั่วอยู่ในมือของกงอวี้เฉิน อย่างน้อย…พวกเขายังจะได้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่
…
หนานกงมั่วพึ่งกลับมาถึงค่ายทหาร ก็ถูกคนของหนานกงไหวมาเชิญตัวไป เห็นได้ชัดว่าเขามารออยู่นานแล้ว หลังจากรับการรักษากว่าหลายวัน แม้หนานกงไหวจะยังเคลื่อนไหวมิได้ ทว่าสีหน้ากลับดีขึ้นมาไม่น้อยแล้ว หนานกงมั่วพึ่งจะเดินเข้าไปก็มองเห็นสีหน้าที่ไม่น่ามองของเซียวเชียนเยี่ยที่กำลังเดินออกมาเข้า เห็นหนานกงมั่วเดินเข้ามา เซียวเชียนเยี่ยมองนางด้วยสายตาสับสน หลากหลายความรู้สึกปรากฏ ทว่ากลับไม่เอ่ยสิ่งใดและเดินหนีไป
หนานกงไหวเอนตัวอยู่กับพนักหัวเตียงโดยมีหมอนรองแผ่นหลังเอาไว้ ด้านข้างมีแม่ทัพหลายคนนั่งอยู่ มองเห็นหนานกงมั่วเดินเข้ามาจึงมองนางด้วยสีหน้าแปลกใจอยู่เล็กน้อย หนานกงมั่วพยักหน้า “เข้ามา นั่งลงสิ” หนานกงมั่วรู้สึกหงุดหงิด อารมณ์ของนางมิได้เรียบนิ่งดั่งสีหน้า แต่เมื่อมองเห็นกลุ่มคนที่นั่งอยู่จึงมิได้แสดงสีหน้าออกมา เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านพ่อ มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
หนานกงไหวถาม “ยังไม่มีข่าวเว่ยซื่อจื่อหรือ”
หนานกงมั่วเงียบ ไม่เอ่ยตอบ นางสัมผัสได้ถึงสายตาเห็นใจที่ถูกส่งมามากมาย อย่างไรเสียคนที่รู้ข่าวเรื่องการหมั้นหมายของนางกับเว่ยจวินมั่วก็มีไม่น้อย ไม่รอให้นางได้ตอบ หนานกงไหวจึงเอ่ยเสียงเข้ม “เรื่องเว่ยซื่อจื่อ ข้าจะส่งคนออกตามหาเอง ช่วงนี้อันตรายเกินไป เจ้าอย่าพึ่งออกไปไหน”
หนานกงมั่วขมวดคิ้ว “ข้าดูแลตัวเองได้”
หนานกงไหวจ้องนางเขม็ง เอ่ยขึ้นเสียงเข้ม “แทนที่จะออกไปตามหาโดยไร้จุดหมาย มิสู้ทำตัวให้มีประโยชน์อยู่ที่นี่ไม่ดีกว่าหรือ”
หนานกงมั่วเงียบไป ทว่าใบหน้ากลับบ่งบอกอารมณ์ของนางได้เป็นอย่างดี เพราะความโกรธทำให้ใบหน้าแข็งกระด้างมากขึ้น แม่ทัพเฉิงจึงรีบเอ่ยอธิบาย “คุณหนูหนานกง คือเช่นนี้ขอรับ…ท่านแม่ทัพพึ่งได้รับสั่งจากฝ่าบาท ฝ่าบาทชื่นชมคุณหนูที่มีความยอดเยี่ยมในด้านวิชาการแพทย์ ทำเพื่อประเทศชาติ ซ้ำยังประทานรางวัลให้ ดังนั้น…” ในเมื่อฝ่าบาทประทานรางวัลให้แล้ว หนานกงมั่วจึงจำเป็นต้องอยู่รักษาผู้บาดเจ็บในค่ายต่อไป อย่างน้อยก็ตลอดระยะเวลาก่อนสงครามนี้จะจบลง มิเช่นนั้นความลำบากก่อนหน้านี้ก็คงสูญเปล่า
หนานกงมั่วลอบสูดหายใจลึก เอ่ยตอบ “เช่นนั้นขอให้ท่านพ่อรายงานต่อฝ่าบาท คู่หมั้นของหนานกงมั่วเป็นตายร้ายดียังไม่แน่ชัด หัวใจเจ็บปวด ให้การรักษาไม่ได้”
“เหลวไหล” หนานกงไหวตะโกนออกมาด้วยความโกรธ ไม่ระวังจนกระทบต่อบาดแผล ใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมา
ขณะที่สองพ่อลูกกำลังโต้เถียงกัน แน่นอนว่าคนรอบข้างย่อมมิได้เอ่ยขัด ทำได้เพียงนั่งมองพวกเขา ไม่นานหนานกงไหวจึงทำเพียงถอนหายใจ เอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าออกไปตั้งหลายวัน หาเขาเจอหรือยัง เจ้าอยู่ที่นี่เถิด เดี๋ยวข้าจะส่งสองพันคนออกไปตามหา เว่ยซื่อจื่อมีลักษณะพิเศษ นายทหารดูแลท่าเรือจะต้องจำได้แน่ จะไม่ง่ายกว่าเจ้าไปหาด้วยตนเองหรอกหรือ” หนานกงมั่วเงียบไปชั่วครู่ เอ่ยตอบ “หากเกิดสงครามข้าจะกลับมาช่วยแน่ แต่เวลาปกติท่านห้ามข้าเข้าออกค่ายไม่ได้”