หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1 – ตอนที่ 168 เลือดเปรอะเปื้อนวัดซั่งหลิน (1)

ตอนที่ 168 เลือดเปรอะเปื้อนวัดซั่งหลิน (1)

แม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าชื่อเสียงของคุณชายเสียนเกอในยุทธภพล้วนดีงามมาตลอด งดงามหล่อเหลา ท่วงท่าสง่างาม ไม่ว่าจะเป็นเพลงฉิน หมาก อักษร หรือวาดภาพ รู้รอบด้าน วิชาการแพทย์ของเขาเป็นดั่งเทพเจ้า ในยุทธภพมีคนชื่นชอบและเกลียดเขาในจำนวนมากพอๆ กัน ทว่าคนที่กล้าแสดงออกมานั้นมีน้อยยิ่งนัก คนมีชีวิตอยู่บนโลก ต้องมีช่วงเวลาที่ต้องการหมอมิใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้น หมอที่รู้วิชาราวกับเทพเจ้า มิใช่ใครจะหาเรื่องได้ง่ายๆ

“คุณชาย คืนนี้ยังไม่เจอคนที่ชอบหรือ หรือว่าระบำของพวกนางไม่เป็นที่พึงพอใจสำหรับท่าน” ด้านข้างเสียนเกอ มีสาวงามในชุดหลากสีสันนั่งอยู่ รูปลักษณ์สะสวย ฉลาดน่าหลงใหล นางคือหลิวอวิ๋นแห่งหอชุนเฟิงนั่นเอง

เสียนเกอส่ายหน้า ถอนหายใจ “เด็กน้อยที่บ้านข้าถูกชายโฉดแย่งไปแล้ว จะอารมณ์ดีได้เช่นไร”

หลิวอวิ๋นชะงัก เห็นได้ชัดว่าไม่คิดว่าคุณชายเสียนเกอจะมีคนรัก คนทั้งโลกรู้ คุณชายเสียนเกอไร้บิดามารดา ไม่รู้สำนัก ไม่คิดว่าจะมีครอบครัว

“เป็นน้องสาวของคุณชายหรือเจ้าคะ นอกจากพวกเราที่นี่แล้ว หญิงสาวต้องแต่งงานออกเรือนเป็นเรื่องธรรมชาติ นี่นับเป็นเรื่องน่ายินดี ไยคุณชายจึงไม่พอใจ” หลิวอวิ๋นเอ่ยด้วยรอยยิ้มหวาน

เสียนเกอขมวดคิ้ว ถอนหายใจ “แม้จะพูดเช่นนี้ ข้ากลับไม่ชอบคนผู้นั้น จะทำใจได้เช่นไร”

หลิวอวิ๋นปิดปากหัวเราะ “ด้วยฝีมือของคุณชาย คนที่คุณชายไม่ถูกชะตาคงนับว่าโชคร้ายแล้ว หลิวอวิ๋นช่างอิจฉาน้องสาวเสียจริงที่มีพี่ชายเช่นคุณชาย” แม้จะเอ่ยเช่นนี้ แต่หากมิใช่เพราะรักน้องสาว จะเรื่องมากต่อว่าที่สามีของน้องสาวไปทำไมกัน นึกถึงตนเองที่โดดเดี่ยว รอยยิ้มของหลิวอวิ๋นจึงขมขื่นขึ้นมา

เสียนเกอวางจอกเหล้าลง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม้จะมีฝีมือ แต่ใช่ว่าจะเอามาใช้ได้ตลอดน่ะสิ” หากเว่ยจวินมั่วตาย เด็กคนนั้นคงปวดใจแน่ ยิ่งไปกว่านั้น เว่ยจวินมั่วก็มิใช่คนที่จะตายได้ง่ายๆ คุณชายเสียนเกอรู้สึกเสียดายอยู่ในใจ แม้หลายวันที่ได้รู้จักดูเหมือนว่าตนจะได้เปรียบ ความจริงแล้วเสียนเกอย่อมรู้ดีว่าหากเว่ยจวินมั่วคิดว่าเขาเป็นศัตรูจริงๆ อย่างน้อยมีโอกาสถึงสามครั้งที่สามารถสังหารเขาได้ เพียงแต่อดทนเพราะเห็นแก่หน้าของอู๋สยาเท่านั้น คิดเช่นนี้แล้วก็…ดูเหมือนเว่ยจวินมั่วจะมิได้แย่ขนาดนั้น

“ไม่พูดเรื่องน่าปวดหัวนี่แล้ว ข้าบรรเลงฉินให้หลิวอวิ๋นสักเพลงดีหรือไม่”

“ได้ฟังเพลงฉินของคุณชาย หลิวอวิ๋นนับว่ามีวาสนาแล้ว”

ไม่นานก็มีสาวใช้นำฉินมาส่งให้ เสียนเกอยืดตัวนั่งตรง จัดท่วงท่าเล็กน้อย จากนั้นจึงเริ่มบรรเลง ท่วงทำนองเพลงฉินแผ่ซ่านออกมาจากปลายนิ้ว

ห้องโถงใหญ่ที่เคยเสียงดังจอแจยามนี้เงียบลงทันใด แม้แต่การร่ายรำด้านล่างเองก็หยุดลงด้วยเช่นกัน

เสียงฉินของเสียนเกอนั้นเหมือนเขามาก ล่องลอย แปลกตา และห่างไกล เป็นดั่งหุบเขาลึก ดั่งแหล่งน้ำเย็นเฉียบ ดุจท้องฟ้าสดใสดวงจันทร์นวลผ่อง และดุจค่ำคืนอันมืดมิด เหมือนเติบโตอยู่นอกธุลีแดง[1] แต่เมื่อฟังให้ดีกลับมีความทุกข์เอ่อล้นจนยากจะนับได้ ทำนองเช่นนี้ เดิมทีไม่มีทางปรากฏขึ้นในหอนางโลมที่มีการร้องเล่นเต้นรำและอบอวลไปด้วยกลิ่นสุรา แต่เมื่อเสียงเพลงฉินดังออกมาจากปลายนิ้วของเขา สถานที่ที่ครึกครื้นรื่นเริงกลับกลายเป็นพื้นที่ที่เงียบสงบขึ้นมาทันใด

หนานกงมั่วเคยบอก เสียงบรรเลงฉินของศิษย์พี่นั้นคล้ายกับภาพลักษณ์ภายนอกของเขา แต่เทียบกับนิสัยของเขากลับต่างกันราวฟ้ากับเหว ยากที่จะเชื่อถือได้ คนร้ายกาจอย่างคุณชายเสียนเกอไยจึงบรรเลงเพลงฉินออกมาเช่นนี้ได้ สิ่งนี้อยู่นอกเหนือจากฝีมือโดยสิ้นเชิง สุดท้ายจึงสรุปได้ว่าบางทีศิษย์พี่อาจมีเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่สามารถบอกใครอื่นได้

หลิวอวิ๋นนั่งอยู่ด้านข้าง ฟังเสียงบรรเลงเพลงฉินของคุณชายเสียนเกอนิ่ง มองดูใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้า ไม่รู้น้ำตาหยดลงมายังใบหน้าสวยตั้งแต่เมื่อไร

นางอดนึกถึงความเจ็บปวดและการดิ้นรนในครั้งที่ตกมายังธุลีดินแห่งนี้ไม่ได้ กระทั่งโกรธแค้นบิดามารดาที่ขายนางให้กับหอนางโลม แต่สุดท้ายกลับคิดถึงวัยเด็ก เมื่อครั้งอยู่บ้านแม้จะทุกข์ยากลำบากเยี่ยงไรทว่าเป็นชีวิตที่มีความสุข นึกถึงดวงตาเหนื่อยล้าของบิดามารดาจากการทำงานหนักเนื่องจากความลำบากยากเข็ญ และสุดท้าย…สายตาละอายใจของบิดาและการร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดของมารดาเมื่อครั้งต้องลาจาก ในท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงมองแผ่นหลังของทั้งคู่ที่เดินขากะเผลกห่างไกลออกไปเรื่อยๆ…

เนิ่นนานทีเดียวกว่าเสียงบรรเลงฉินจะค่อยๆ จบลง ห้องโถงใหญ่ยังคงเงียบสงบ เสียนเกอก้มหน้ามองปลายนิ้วอยู่อึดใจใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจและมองหลิวอวิ๋นที่กำลังเช็ดน้ำตา เอ่ยขอโทษ “ขออภัยด้วย ช่วงนี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดี”

“ได้ฟังเพลงฉินของคุณชายแล้ว ชาตินี้ทั้งชาติหลิวอวิ๋นคงไม่กล้าบรรเลงฉินอีกแล้วเจ้าค่ะ” เนิ่นนาน หลิวอวิ๋นจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

เสียนเกอจนปัญญา เอ่ยขึ้น “เพลงฉินของหลิวอวิ๋นก็ดีมากๆ”

หลิวอวิ๋นส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น เอ่ยเสียงเรียบ “ฉินเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบพิธีกรรม สถานที่เช่นหอนางโลมนี้มิควรมีเสียงอันบริสุทธ์” ได้ฟังเพลงบรรเลงเช่นนี้แล้ว หอนางโลมในคืนนี้จะมีหญิงสาวกี่คนที่ต้องนอนไม่หลับและร้องไห้จนถึงเช้ากัน ไม่สิ บางทีพวกนางอาจไม่มีโอกาสนอนร้องไห้อยู่คนเดียวก็เป็นได้ ทำได้เพียงกลืนน้ำตาลงไปในใจ แต่ว่า…กลับหวังว่าจะได้ยินเสียงบรรเลงฉินเช่นนี้อีก หลิวอวิ๋นทอดสายตามองไปยังชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวตรงหน้า “ว่ากันว่าได้เห็นคุณชายครั้งหนึ่งจะคิดถึงทุกช่วงของชีวิต สมคำร่ำลือแล้ว”

“หึๆ คุณชายเสียนเกอผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า วันนี้ได้เจอช่างสมคำร่ำลือ” เสียงสดใสที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะดังขึ้นจากชั้นบน ทั้งสองหันกลับไปมองจึงเห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มในอาภรณ์สีขาวกำลังยืนพิงราวบันไดส่งยิ้มตาหยีมาให้ ด้านข้างของเด็กหนุ่มเป็นชายหนุ่มที่อยู่ในอาภรณ์สีดำ หลิวอวิ๋นรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นั้นดูหล่อเหลา ดวงตาคู่นั้นหลุบลงต่ำ มองไม่เห็นสายตาบนใบหน้านั้น ส่วนเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างชายหนุ่มผู้นั้นมีรอยยิ้มน่ารัก ดวงหน้าราวกับหยกที่ถูกแกะสลักออกมา ละม้ายคล้ายดั่งเทพเซียนบนสวรรค์ อยู่ในอาภรณ์สีขาวเช่นเดียวกันก็จริง แต่เมื่ออาภรณ์สีขาวอยู่บนร่างเสียนเกอกลับให้ความรู้สึกดั่งเซียนบนสวรรค์มากกว่า ทว่าเมื่ออยู่บนร่างของเด็กหนุ่มก็ดูงดงามมีเสน่ห์ ทำให้คนอยากทำความรู้จัก บนโลกนี้มีเด็กหนุ่มที่งดงามเพียงนี้ด้วยหรือ หลิวอวิ๋นนึกสงสัย ชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำและเสียนเกอล้วนมีรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นเช่นเดียวกัน แต่ว่าเสียนเกอนั้นดูงดงาม ขณะที่ชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำผู้นั้นกลับดูหล่อเหลาเย็นชา ย่อมแตกต่างไปจากเด็กหนุ่มอีกคนทีเดียว หน้าตาเช่นนี้หากอยู่บนใบหน้าของสตรีคงเป็นสตรีที่งดงามน่าหลงใหลไร้ที่ติ

รอจนเด็กหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ หลิวอวิ๋นจึงเข้าใจได้ชัดเจน เด็กหนุ่มที่ไหนกัน นี่เป็นหญิงสาวปลอมตัวมาชัดๆ เพียงแต่ตั้งแต่ต้นที่พวกเขาเข้ามากลับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเลยว่าสองคนที่โดดเด่นถึงเพียงนี้เดินเข้ามาในหอชุนเฟิงแห่งนี้ได้อย่างไร

หันกลับไปมองเสียนเกอด้วยความตกใจ ทว่าดวงตาของเสียนเกอกลับหรี่แคบ คิ้วคมเลิกขึ้นอย่างทำอันใดไม่ได้ “พวกเจ้ามาที่นี่ทำไมกัน”

เด็กหนุ่ม…แน่นอนว่าเป็นหนานกงมั่ว พัดในมือของหนานกงมั่วถูกคลี่ออกยกขึ้นปิดบังใบหน้าของตนไปกว่าครึ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ ท่านมาได้ พวกเราจะมามิได้หรือ แน่นอนว่าต้องมาหาท่านอยู่แล้ว ได้ยินมาว่า…คุณชายเสียนเกอเป็นแขกประจำของหอนางโลมแห่งนี้ ไยจึงไม่เห็นท่านอุปถัมภ์หออิ๋งซิ่วบ้างเล่า” คุณชายเสียนเกอลุกขึ้นยืนอย่างเบื่อหน่าย หันกลับไปหาหลิวอวิ๋น “มีสถานที่เงียบๆ ให้เราได้พูดคุยกันหรือไม่”

หลิวอวิ๋นยิ้ม เอ่ยตอบ “แน่นอนว่ามีอยู่แล้ว เชิญทั้งสามท่านเจ้าค่ะ”

หลิวอวิ๋นเป็นสตรีที่รู้ว่าอะไรสมควรมิสมควร สตรีในหอนางโลมกว่าครึ่งล้วนแล้วแต่มีสมบัติผู้ดี แม้ส่วนใหญ่แล้วคณิกามักจะมีความหยิ่งทระนง แต่หลิวอวิ๋นนั้นรู้ฐานะของตนเองดี นางก็เป็นเช่นเดียวกับสตรีอื่นๆ ที่ชื่นชมคุณชายเสียนเกอ แต่มิได้คิดว่าพวกนางจะสมหวัง และมิได้คิดว่าตนเองแตกต่างไปจากสตรีอื่นแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อเชิญทั้งสามเข้าไปในห้องเล็กด้านข้างที่ว่างอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เสียนเกอเอ่ยปาก นางก็ลุกขึ้นและก้าวถอยออกไปด้วยตนเอง

———————–

[1] ธุลีแดง หมายถึง โลกโลกีย์ หรือชีวิตความเป็นไปในทางโลก

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

Status: Ongoing

นิยายรักย้อนยุค ว่าด้วยการแก้แค้นของหมอหญิงมือสังหาร และแต่งงานกับบุรุษสุดประหลาด!

เมื่อมารดาสิ้นใจและตนถูกไล่ให้มาอยู่หมู่บ้านบรรพบุรุษ เพราะความลำบากและคับแค้นใจจึงทำให้ หนานกงชิง คุณหนูคนโตแห่งตระกูลหนานกงจากโลกนี้ไป

ร่างของนางกลับถูกแทนที่ด้วยวิญญาณของ หนานกงมั่ว นักฆ่าสาวมือฉกาจแห่งเอเชีย เมื่อได้รับชีวิตใหม่หนานกงมั่วก็ได้กราบอาจารย์ เรียนวิชาแพทย์ ใช้ชีวิตอิสระเสรีตามที่ตนหวัง พร้อมรับใบสั่งสังหารคนบ้างเป็นครั้งคราว… จนเมื่อราชโองการพระราชทานสมรสมาถึงชีวิตของนางก็ถึงคราวพลิกผัน!

เล่าลือกันว่าจวิ้นอ๋องว่าที่สามีของนาง เว่ยจวินมั่ว แม้จะมียศสูงศักดิ์แต่เพราะดวงตาแปลกประหลาดสีม่วงและการคลอดก่อนกำหนดทำให้ชาติกำเนิดของเขาตกเป็นขี้ปากคนไปทั่ว อาจเพราะแบบนี้การสมรสนี้จึงตกมาถึงตัวนาง แม้คนทั่วไปไม่ยินดีแต่นางดูๆ แล้วกลับคิดว่าชายหนุ่มคนนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท