จังอู๋ซินส่ายศีรษะรัวเร็วด้วยความหวาดกลัว มองกงอวี้เฉินอย่างไร้หนทาง
กงอวี้เฉินส่งเสียงหยัน เอ่ย “จังติ้งฟังตายไปแล้ว ยามนี้ไม่มีใครบีบบังคับให้เจ้าต้องแต่งงาน ไม่ดีหรอกหรือ อยากตามก็ตามมา หรือถ้าไม่ ก็อยู่กับบิดาของเจ้าไปเถิด”
มองตามกงอวี้เฉินเดินจากไปไร้ซึ่งความอาลัยอาวรณ์ จังอู๋ซินทำได้เพียงร้องไห้อยู่เงียบๆ สุดท้ายจึงเหลือบมองศพทั้งสองที่นอนอยู่บนพื้นด้วยความหวาดกลัว ในที่สุดจึงลุกขึ้น วิ่งมุ่งหน้าออกจากป่าไป
…
“จังติ้งฟังตายแล้วงั้นหรือ”
ในโรงเตี๊ยม หนานกงมั่วนั่งเอนตัวพิงหน้าต่างพลางเอ่ยถามด้วยท่าทางเฉื่อยชา ฝังยืนนอบน้อมอยู่หน้าประตู เอ่ยตอบ “ตอบคุณหนู ใช่แล้วขอรับ ตายอยู่บริเวณป่าไม้ห่างออกจากหมู่บ้านไปไม่กี่ลี้”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “ฝีมือของกงอวี้เฉินหรือ”
ฝังพยักหน้า “กงอวี้เฉินลงมือด้วยตนเองขอรับ”
หนานกงมั่วยักไหล่ หันกลับไปคุยกับสองคนที่อยู่ด้านนอก เอ่ยถาม “เจ้าสำนักหอธาราผู้นี้โหดร้ายเสียจริง” ไม่เพียงแค่เขาสังหารจังติ้งฟังเท่านั้น จังติ้งฟังนั้นยังถูกหลอกตั้งแต่ต้นจนจบแทบไม่เหลืออะไรแล้ว ต้องบอกว่าสงครามครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะกงอวี้เฉินต้องการค้นหาสมบัติเพียงอย่างเดียว เพราะหากไม่ต้องใช้เงินจำนวนมาก จังติ้งฟังคงไม่มีทางเปิดเผยความลับเกี่ยวกับสมบัติเป็นแน่แท้ มีคำกล่าวที่ว่าเชื้อพระวงศ์ล้วนโหดร้ายทารุณ โอรสสวรรค์โกรธ ต้องเสียเลือดเนื้อนับพันลี้ ทว่ากงอวี้เฉินผู้นี้ก็ไม่แพ้กัน เขาสามารถทำให้หูก่วงลุกเป็นไฟเพียงเพราะสมบัติที่ซุกซ่อนเอาไว้กว่ายี่สิบปี ไม่ไว้ชีวิตใครหน้าไหนทั้งนั้น
เสียนเกอดีดนิ้ว “ข้าคิดว่าเจ้าสำนักธาราผู้นี้มีความอดกลั้นไม่น้อย” หายากนักคนที่จะยอมปล่อยให้ใครมาชุบมือเปิบชิงสมบัติไปต่อหน้าต่อตากว่าครึ่ง ทว่าคนผู้นี้กลับยังนิ่งเฉย ไม่ใช่บุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน
“อย่างไรเสียก็มิใช่คนดี” หนานกงมั่วเอ่ย แน่นอน พวกเขาที่อยู่ตรงนี้เองก็เรียกไม่ได้ว่าเป็นคนดีตามทำนองครองธรรมอันใด เพียงแต่หนานกงมั่วรู้สึกไม่ถูกชะตากับกงอวี้เฉิน คนผู้นี้อำมหิตเกินไป จิตใจอันโหดเหี้ยมมักทำให้คนรู้สึกถึงความอันตรายและต้องคอยระแวดระวังไว้
เว่ยจวินมั่วเงยหน้ามองฝัง เอ่ยถาม “ของถูกขนย้ายมาแล้วหรือยัง”
ฝังพยักหน้าเบาๆ “รายงานคุณชาย พึ่งได้รับข่าวเมื่อสักครู่ ขนย้ายออกมาแล้วขอรับ คนของหอธาราเองก็ขนอีกครึ่งหนึ่งกลับไปแล้วเช่นกัน” หาได้ยากที่ต่างฝ่ายต่างทำงานของตนโดยไม่หาเรื่องกัน แม้ว่ายามนี้หูก่วงจะยังวุ่นวาย แต่ทหารและสายสืบของราชสำนักก็มิได้จากไป หากสร้างเรื่องวุ่นวายขึ้นมา ใครก็อย่าคิดว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ วันนั้นเมื่อตกลงกันเสร็จเรียบร้อย เว่ยจวินมั่วและกงอวี้เฉินต่างพากันแยกย้าย นี่นับว่าเป็นความสมดุลอย่างหนึ่ง ความวุ่นวายของเย่ว์โจวและเฉินโจวทำให้กองทัพจิ่นโจวแตกตื่นไปด้วย ทำให้อู๋สยาสนใจค่ายชานเมืองฝั่งตะวันตกไม่น้อย นอกจากนี้จังติ้งฟังเองก็มิได้บอกสถานที่เก็บสมบัติให้ใครฟังมากมาย เพียงปิดปากแม่ทัพที่รู้เรื่องก็เก็บเรื่องนี้ได้มิดชิดแล้ว สำหรับจอมยุทธ์อื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เมื่อสืบไม่พบข้อมูลใดเพิ่มก็ต่างพากันล่าถอยกลับไป และยามนี้กงอวี้เฉินก็ได้สังหารจังติ้งฟังเรียบร้อยไปแล้ว เว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วจึงถือโอกาสนี้เดินทางกลับจินหลิงอย่างสบายใจ
ผู้ที่ขนย้ายสมบัติเหล่านั้นกลับจินหลิงอย่างลับๆ ที่แท้จริงคือลิ่นฉังเฟิงและคนของวังจื่อเซียว คาดว่ากงอวี้เฉินเองก็คงให้คนของสำนักขนกลับไปให้ไม่ต่างกัน
“น่าสงสารจังติ้งฟัง เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่กลับต้องมาถูกกงอวี้เฉินหลอกใช้เช่นนี้ และยังต้องมาตายอย่างไร้คนเก็บศพ ฝัง ส่งคนไปฝังร่างของเขาด้วย”
ฝังพยักหน้า “ขอรับ คุณหนู” เรื่องแบบนี้ไม่เหมาะสมที่พวกเขาจะออกหน้าเอง ทว่าการหาคนที่ไม่รู้เรื่องด้วยไปจัดการนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ให้จังติ้งฟังถูกฝังไปเงียบๆ โดยไม่มีคนรู้ ดีกว่าถูกขุดร่างขึ้นมาเฆี่ยนตีเป็นไหนๆ
เว่ยจวินมั่วหันไปมองเสียนเกอ เอ่ยถาม “ส่วนของคุณชายเสียนเกอจะจัดการอย่างไรหรือ”
เสียนเกอโบกมือ เอ่ยบอก “ส่งไปที่จินหลิง ถือเสียว่าเป็นสินเจ้าสาวของมั่วเอ๋อร์ก็แล้วกัน”
ฝังที่กำลังหันออกไปเกือบสะดุดธรณีประตู
คุณชายเสียนเกอ ท่านขาดเงินมิใช่หรือ
คุณชายเสียนเกอพยักหน้า “ข้าขาดเงินน่ะสิ น้องสาวแต่งงานก็ต้องใช้เงินมิใช่น้อยเลยนะ” สิ่งสำคัญคือเขามิได้รับของกำนัลใดๆ มาด้วยซ้ำ ของกำนัลต่างๆ เหล่านั้นล้วนตกเป็นของหนานกงไหว ช่างเอาเปรียบเสียจริง
ฝังรู้สึกอิจฉาคุณชายของตนเองขึ้นมาแล้ว คุณชายเสียนเกอยังมีน้องสาวอีกหรือไม่ ขอเถิด…ใครจะมอบสมบัติของกษัตริย์ฮั่นถึงหนึ่งในห้าส่วนมาเป็นสินเจ้าสาวกัน ดังนั้น เงินจำนวนนี้อย่างไรเสียก็ต้องตกเป็นของคุณชายของเขาอย่างนั้นหรือ เป็นการลงทุนที่ไม่ขาดทุนเลยแม้แต่น้อย คุณชายเสียนเกอช่างใจกว้างอะไรเช่นนี้
ราวกับเข้าใจท่าทางของเขา คุณชายเสียนเกอจึงเอ่ยเย้ยหยันเบาๆ “เว่ยซื่อจื่อจะนำสินเจ้าสาวมาใช้เมื่อใดหรือ หากไม่มีเงินจริงๆ คุณชายเช่นข้ายังพอจะมีให้เจ้าอยู่บ้าง”
เว่ยจวินมั่วมิได้โกรธอันใด ทำเพียงเหลือบตามองเสียนเกอเล็กน้อย จากนั้นหันกลับไปออกคำสั่งกับฝัง “ครึ่งหนึ่งส่งกลับวังจื่อเซียว อีกครึ่งส่งไปที่จินหลิง”
“ขอรับ คุณชาย” ความจริงฝังมิได้สนใจเท่าใดนัก อย่างไรก็เป็นเงินที่ได้มาโดยบังเอิญ และยังเป็นเงินที่เพียงพอให้วังจื่อเซียวได้ใช้กินดื่มไปอีกกี่ชาติก็ไม่หมด
มองฝังเดินออกไป เสียนเกอจึงลุกขึ้นเอ่ย “ในเมื่อไม่มีเรื่องใดแล้ว ข้าเองก็คงต้องไปแล้วเช่นกัน มั่วเอ๋อร์ เจอกันที่จินหลิง”
“ศิษย์พี่” หนานกงมั่วชะงักอย่างไม่เข้าใจ เอ่ยถาม “ศิษย์พี่ไม่ไปกับพวกเราหรือเจ้าคะ”
เสียนเกอโบกมือด้วยท่าทางเบื่อหน่าย “ไม่ล่ะ ที่อิ๋นโจวยังมีคนไข้รอข้าไปรักษาให้อยู่ ข้าจะไปถึงจินหลิงก่อนพิธีแต่งงานของเจ้าอย่างแน่นอน” เอ่ยจบ ก็ไม่รอให้หนานกงมั่วได้เอ่ยสิ่งใดอีก กระโดดออกจากหน้าต่างในทันใด หนานกงมั่วถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา เว่ยจวินมั่วกุมมือนาง ดึงให้นั่งลง เอ่ยเสียงเบา “ทำไมหรือ เสียนเกอกล่าวว่าจะมาร่วมพิธีด้วย เจ้าไม่ดีใจอย่างนั้นหรือ”
หนานกงมั่วส่ายหน้า “ไม่ใช่ข้าไม่ดีใจ เป็นศิษย์พี่ต่างหากที่ไม่ดีใจ ศิษย์พี่ไม่ชอบจินหลิง หากมิใช่เพราะพิธีแต่งงานของข้า คงไม่มีทางไปจินหลิงอย่างแน่นอน กว่าจะถึงงานพิธียังมีเวลาอีกนาน เขาไม่มีทางไปถึงก่อนเร็วๆ นี้เป็นแน่”
ไม่ชอบจินหลิงอย่างนั้นหรือ นับว่าเป็นเรื่องที่ดี
เว่ยจวินมั่วไม่แสดงออกมากเกินไป เอ่ยเสียงเบา “ไม่เป็นไร อีกไม่นานก็ได้เจอกันแล้ว หากเขามีอะไรอยู่ในใจ ถึงเวลานั้นก็ค่อยลองถามดูได้”
หนานกงมั่วถอนหายใจออกมา “ท่านก็เห็นว่าศิษย์พี่นั้นยิ้มสดใสราวกับฤดูใบไม้ผลิได้ทั้งวัน หากเขาคิดปิดบังอันใด ใครไปถามก็มิได้คำตอบจากเขาหรอก” แม้แต่อาจารย์และอาจารย์อาที่เลี้ยงเขามาจนโตก็ยังถามไม่ได้ความ นับประสาอันใดกับนางเล่า นอกจากนี้ นางเองไม่ต้องการให้ศิษย์พี่นึกถึงเรื่องที่ไม่อยากนึกถึง
เช่นนั้นยิ่งจะดี ปล่อยให้เสียนเกอเกลียดจินหลิงไปตลอดชีวิตเถิด
เมื่อฝังไปแล้ว เว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วจึงออกเดินทางมุ่งหน้าสู่จินหลิงเงียบๆ เมื่อลองนับดีๆ การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาเพียงเดือนกว่าๆ เท่านั้น ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับมากมายเสียยิ่งกว่าเอาเวลาหลายปีที่ผ่านมาของนางมารวมกันเสียด้วยซ้ำ ตั้งแต่มาอยู่ในโลกนี้ อาศัยอยู่ใกล้ตานหยางมากว่าหลายปี พอได้มีโอกาสออกมาเดินเล่นเช่นนี้ หนานกงมั่วจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง แน่นอน หากไม่มีสงครามคงจะเป็นการดีที่สุด ในยามนี้การก่อกบฏสงบลงแล้ว ประชาชนที่ได้รับความลำบากก็ค่อยๆ ทยอยกลับคืนถิ่น ตลอดทางเห็นประชนชนมากมายมุ่งหน้ากลับไปยังหูก่วง แม้ต้องเผชิญหน้ากับการบาดเจ็บล้มตาย ทว่ายามนี้พวกเขาก็มีโอกาสเดินทางกลับสู่บ้านเกิดแล้ว