มองดูหนานกงมั่วที่มีท่าทางเหม่อลอย เว่ยจวินมั่วกุมมือนางเอาไว้ เอ่ยถามเสียงเบา “อู๋สยาไม่สบายใจหรือ”
หนานกงมั่วส่ายหน้า เอ่ยตอบ “เปล่าหรอก คงเพราะ…ไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้กระมัง”
นางไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนจริงๆ เมื่อชาติที่แล้วแม้นางจะมีชีวิตโลดโผน แต่อย่างไรก็ยังอยู่ในโลกที่สงบสุขไร้ซึ่งสงคราม ไหนเลยจะเคยเจอการเผชิญหน้ากันของกองกำลังทหาร และมีประชาชนล้มตายเป็นจำนวนมากเช่นนี้
เว่ยจวินมั่วเข้าใจ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่นานก็จะดีขึ้น จิตใจอู๋สยายังบอบบางเกินไป”
หนานกงมั่วรู้สึกเขินอาย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าไยคนอื่นๆ จึงมักมองว่านางจิตใจบอบบาง
วันนี้ กว่าทั้งสองจะเดินทางมาถึงหมู่บ้านบนภูเขาแห่งหนึ่งได้ก็เกือบเย็นแล้ว เมื่อเห็นว่าฝนใกล้จะตกด้วย พวกเขาจึงตัดสินใจพักค้างคืนที่นี่แล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ เดิมทีจากความเร็วของพวกเขา ควรจะถึงจินหลิงตั้งนานแล้ว ทว่าเว่ยจวินมั่วเห็นว่าหนานกงมั่วนั้นอารมณ์ไม่ดี ทั้งสองจึงเดินทางช้าลง และลัดเลาะไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ใช้ระยะเวลาเดินทางร่วมครึ่งเดือนเข้าไปแล้ว ดังนั้นกว่าจะกลับถึงจินหลังจึงยังต้องใช้เวลาอีกสองวัน
ยามที่ม้ามาหยุดลงที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน ฝนก็เริ่มตกปรอยๆ ลงมา เว่ยจวินมั่วยกมือขึ้นป้องฝนให้หนานกงมั่ว ทั้งคู่เข้ามาหลบอยู่หน้าบ้านของบ้านหลังที่อยู่ใกล้ที่สุด เคาะประตูเบาๆ ไม่นานก็มีผู้หญิงสูงวัยอายุราวๆ หกสิบปีเปิดประตูออกมา เมื่อมองเห็นทั้งสองก็ชะงักไปชั่วครู่ “ท่านทั้งสอง…คือ” หนานกงมั่วยิ้มบาง เอ่ยตอบ “ท่านป้า พวกเราเดินทางผ่านมาทางนี้ ยามนี้มืดแล้ว อีกทั้งฝนยังตกอีกด้วย อยากจะขอพักด้วยสักคืน ไม่ทราบว่าท่านป้าจะสะดวกหรือไม่เจ้าคะ”
หญิงชรามองดูทั้งสองคน จากนั้นจึงพยักหน้า “รีบเข้ามาเถิด เดี๋ยวจะเป็นไข้เอาได้ ข้า…บ้านของข้าทรุดโทรมอยู่บ้าง เกรงว่าคงจะทำให้ท่านทั้งสองต้องลำบากแล้ว
หนานกงมั่วยิ้ม “ท่านป้าให้ที่พักแก่เรา เพียงเท่านี้เราก็รู้สึกขอบพระคุณแล้วเจ้าค่ะ”
ทั้งสองเดินเข้ามาในบ้าน เป็นบ้านหลังเล็กๆ เมื่อหญิงชราอยู่เพียงลำพังคงไม่รู้สึกอึดอัด รอจนทั้งคู่เข้ามาแล้ว โดยเฉพาะร่างสูงใหญ่เช่นเว่ยจวินมั่ว ทั่วทั้งบ้านดูเล็กลงถนัดตา หญิงชราเชิญพวกเขานั่งลงอย่างงกเงิ่น ทำตัวไม่ถูกเท่าใดนัก เมื่อมองเห็นว่าชุดของหนานกงมั่วดูเปียกชื้นอยู่เล็กน้อย จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ทำเช่นไรดีเล่า…บ้านข้าก็ไม่มีชุดที่เหมาะกับแม่นางเลย”
หนานกงมั่วก้มหน้าลงไปมองเสื้อผ้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ เพียงโดนฝนไม่กี่เม็ดเท่านั้น” ครั้งที่นางอยู่ตานหยางก็รู้จักกับชาวบ้านมากมาย แน่นอนว่ารับรู้ถึงความลำบากของพวกเขา หลายครอบครัวที่ลำบากยากเข็ญไม่มีเสื้อผ้าดีๆ ถึงสองชุดด้วยซ้ำ จะมีเสื้อผ้าเผื่อรับแขกที่ไหนกัน ยิ่งไปกว่านั้น ในห่อผ้าของหนานกงมั่วเองก็มีเสื้อผ้าเอาไว้ผลัดเปลี่ยนอยู่สองชุด เพียงแต่นางมิได้ตัวเปียกปอนมากมายแต่อย่างใด คงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชุด
เว่ยจวินมั่วมองนาง คิ้วคมขมวดมุ่น ส่งห่อผ้าใส่ในมือของหนานกงมั่ว “ไปเปลี่ยนเสียเถิด”
หนานกงมั่วมองสายตายืนหยัดของเขา จึงจำต้องรับห่อผ้ามาและหันไปถามหญิงชราถึงสถานที่เปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อเปลี่ยนเอาชุดที่เปียกชื้นน้ำฝนนั้นออกเสีย
เมื่อหนานกงมั่วเปลี่ยนเป็นอาภรณ์สีขาวนวลเรียบร้อยก็เดินกลับออกมา พลันมองเห็นเว่ยจวินมั่วกำลังนั่งนิ่งๆ อยู่ข้างโต๊ะไม้ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าแม้เว่ยจวินมั่วจะทนลำบากได้ แต่สำหรับสถานที่ทรุดโทรมเช่นนี้เขากลับไม่คุ้นเคย บ้านหลังเล็กนี้เมื่อเทียบกับบ้านของนางครั้งอยู่ตานหยางยังดูเล็กและทรุดโทรมกว่ามาก หากเป็นหน้าหนาว คงสัมผัสได้ถึงลมหนาวที่พัดผ่านไม่น้อยทีเดียว
กำแพงที่อยู่ไม่ไกลสูงเพียงครึ่งของตัวคน หญิงชรากำลังต้มอะไรบางอย่าง เมื่อมองเห็นหนานกงมั่วเดินออกมาจึงเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ “ที่นี่ข้าไม่มีอะไรดีๆ เอาไว้รับแขก ต้มน้ำชาช่วยบรรเทาความหนาวสักหน่อย ตากฝนมาแล้วเป็นไข้คงไม่ดีเท่าใดนัก ทั้งสองท่าน…กินอะไรมาหรือยังเล่า” หนานกงมั่วเดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม “ท่านป้าอย่าต้องลำบากเลยเจ้าค่ะ พวกเรามีอาหารแห้งมาด้วย” เห็นนางยากจนเช่นนี้ ไหนเลยหนานกงมั่วจะกล้ากินของของนาง แม้ตนมิใช่คนจิตใจดีมากนัก ทว่าไม่มีทางไปเบียดเบียนหญิงชรายากจนผู้นี้เป็นแน่ หนานกงมั่วครุ่นคิด พรุ่งนี้ก่อนออกเดินทางคงต้องทิ้งเงินไว้ให้หญิงชราบ้างเสียแล้ว
หญิงชรายิ้ม “ต้มชาเล็กน้อยไม่เสียหายอันใดนัก เพียงสมุนไพรที่เก็บมาจากบนเขา เพราะพวกเราไม่มีเงินไปจ่ายค่ารักษา เพียงดื่มเล็กน้อยหากตากฝนมาจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้”
หนานกงมั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เดินเข้าไปช่วยนาง
หญิงชรามองไปยังเว่ยจวินมั่วที่นั่งตัวแข็งทื่อราวกับหิน จากนั้นจึงหันมามองหนานกงมั่วที่นั่งอยู่ข้างเตาด้วยท่าทีคุ้นเคยไร้ความเคอะเขิน เอ่ยถามขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้ม “แม่นางดูเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ ไม่คิดว่าจะใช้ชีวิตเป็นด้วย”
หนานกงมั่วยิ้มรับมิได้ตอบสิ่งใดกลับไป โยนฟืนเข้าไปในเตาอย่างชำนาญ หันกลับไปเอ่ยกับเว่ยจวินมั่ว “มาผิงไฟด้วยกันหรือไม่”
ความจริงจะผิงหรือไม่นั้นไม่สำคัญ อากาศตอนนี้ต่อให้เว่ยจวินมั่วตากฝนมากว่าครึ่งชั่วยามก็คงไม่ป่วยง่ายๆ เพียงแต่เห็นเขานั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียวแล้วดูตลกก็เท่านั้น เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่เขาไปบ้านนางที่ตานหยางแล้วตอนนี้ดูสงบเสงี่ยมกว่ามาก หากเทียบกับลิ่นฉังเฟิงที่แตกตื่นไปกับทุกอย่างแล้ว ยามนี้จึงได้เห็นว่าอย่างไรก็ตามเขายังคงเป็นคุณชายที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์
เดิมคิดว่าเว่ยจวินมั่วคงไม่สนใจนาง ไม่คิดว่าเขาจะไม่แม้แต่ลังเล รีบลุกขึ้นเดินเข้ามาหาในทันใด เขาก้มลงมองเล็กน้อย ไม่นึกรังเกียจว่ามันสกปรก แล้วนั่งลงด้านข้างหนานกงมั่ว หนานกงมั่วชะงักไป มองเว่ยจวินมั่วที่ยังคงมีใบหน้าเรียบนิ่งราวกับท่อนไม้ ก้มหน้ากลั้นยิ้มอย่างอดไม่ได้
“น่าตลกมากหรือ” เว่ยจวินมั่วเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
หนานกงมั่วส่ายหน้ารัวเร็ว กะพริบตาปริบๆ “เปล่า ใครจะรู้ว่าคุณชายเว่ยจะไม่คุ้นชินถึงเพียงนี้” นางเองพึ่งพบว่าเว่ยจวินมั่วเป็นคนรักสะอาดอยู่ไม่น้อยทว่ากลับมิได้แสดงท่าทีรังเกียจอันใด เมื่อครั้งที่อยู่ตานหยางยังแทบดูไม่ออกด้วยซ้ำ หนานกงมั่วครุ่นคิด พลันเข้าใจในทันใด บ้านของนางที่ตานหยางแม้จะดูทรุดโทรมทว่าเก็บกวาดเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน นางเป็นหมอ สมุนไพรที่เก็บมาก็ต้องรักษาความสะอาด คุณชายเว่ยเพียงฝืนทนเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่มีอันใดอื่นอีก ทว่าบ้านเล็กๆ หลังนี้เป็นบ้านของหญิงชราที่อาศัยอยู่ผู้เดียวเพียงลำพัง บางจุดบางที่หากต้องเก็บกวาดก็คงเกินแรงไปบ้าง คุณชายเว่ยที่ไม่อยากแสดงท่าทีออกมาจึงจำต้องนั่งนิ่งด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“แม่นางกับคุณชายเป็นพี่น้องกันหรือ” หญิงชราเอ่ยถาม “คุณชายท่านนี้ไม่คุ้นชินกับสถานที่เช่นนี้ใช่หรือไม่”
หนานกงมั่วยิ้มขวยเขิน คว้าแขนของเขาเอาไว้ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านป้าอย่าได้สนใจเขาเลย เขาขี้อายน่ะเจ้าค่ะ ท่านป้า ท่านอยู่ที่นี่คนเดียวหรือเจ้าคะ” รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงชราจางลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ใช่…ตอนนี้มีเพียงหญิงแก่อย่างข้าอาศัยอยู่ผู้เดียวเท่านั้น มีทั้งสองมาอยู่เป็นเพื่อน ข้ามีความสุขมากทีเดียว”
“ตอนที่พวกเรามาถึง ที่นี่ก็ไม่มีใครแล้ว คนที่นี่พักผ่อนกันเร็วมากเลยเจ้าค่ะ”
“หมู่บ้านชนบทยากจนเช่นนี้ไม่ครึกครื้นเหมือนเมืองใหญ่ๆ หรอก ไม่รีบพักผ่อนก็ไม่รู้จะทำสิ่งใด ยิ่งไปกว่านั้น…คนชนบทเช่นเราๆ ต่างก็พูดกันว่ารีบเข้านอนสักหน่อยก็จะไม่หิวแล้ว จะได้ประหยัดอาหารไปด้วย” หญิงชราทอดถอนหายใจ
เมื่อได้ยินดังนั้น หนานกงมั่วจึงทำได้เพียงถอนหายใจตามไปด้วย