ไม่นาน ชาสมุนไพรก็ต้มสุกเรียบร้อย หญิงชราหยิบถ้วยกระเบื้องออกมาสองถ้วยแล้วรินน้ำชาสมุนไพรลงไป หนานกงมั่วเดินเข้ามายกไปวางบนโต๊ะ หญิงชราจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มใจดี “รีบดื่มตอนร้อนๆ เถอะ รสชาติไม่ค่อยดี แต่ก็คงจะดีกว่าป่วยเป็นไข้” หนานกงมั่วพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ลำบากท่านป้าแล้ว”
บ้านหลังเล็กมีเพียงแสงสว่างจากตะเกียง เปลวไฟพริ้วไหว ฝนที่เคยโปรยปรายยามนี้ลงเม็ดกระทบหลังคาและผืนดินหนักยิ่งขึ้น
สองคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะนั้นฟุบสลบไปไปบนโต๊ะ หญิงชรายืนเก็บของด้วยท่าทางเงียบสงบอยู่ด้านหลังตะเกียง เมื่อเก็บเรียบร้อยจึงเดินเข้าไปดูสองคนที่กำลังหมดสติ ด้านข้างมีถ้วยชาที่เหลืออยู่ครึ่งเดียว
ใบหน้าของหญิงชราเรียบนิ่ง ถอนหายใจ จากนั้นเดินเชื่องช้าไปยังประตู เปิดออกเบาๆ ไม่นานก็มีเสียงดังขึ้นที่ด้านหน้าประตู เอ่ยถาม “พวกเขาตายแล้วหรือ”
เสียงของหญิงชราสั่นเล็กน้อย เอ่ยขึ้น “พวกเขา…พวกเขาดื่มยาเข้าไปแล้ว…ได้โปรด ปล่อยเด็กและคนชราในหมู่บ้านเราด้วยเถิด…”
คนมาใหม่หัวเราะเสียงหยัน ผลักหญิงชราออกและเดินเข้าไป พลันมองเห็นสองชายหญิงหมอบอยู่บนโต๊ะ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ทั้งสองนั้นมีท่าทางราวกับคนนอนหลับ หัวใจพลันเย็นวาบขึ้น เอ่ยเสียงดัง “ไม่ใช่สิ ยานี้เพียงดื่มเข้าไปก็ถึงชีวิตทันที ทำไมถึง…”
“อ๊ากกก” ชายผู้นั้นยังเอ่ยไม่ทันจบก็กลายเป็นเสียงร้องดังขึ้นมาแทน เว่ยจวินมั่วที่เดิมหมอบหลับอยู่บนโต๊ะยามนี้ได้ลืมตาขึ้นมาแล้ว มือข้างหนึ่งยกขึ้นไปจับที่ไหล่ของชายอีกคนแน่น แล้วยกเท้าถีบอย่างแรงจนร่างของชายผู้นั้นกระเด็นปลิวทะลุประตูออกไป ล้มกระแทกลงไปบนพื้นที่มีสายฝนกระหน่ำอยู่ ก่อนจะกระอักเลือดออกมา
ด้านนอกไม่รู้มีชายชุดดำปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ผู้ที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำนั้นมีท่าทางเย็นชา ให้ความรู้สึกหวาดหวั่น คนผู้นั้นคือเจ้าสำนักกลเจ็ดดาว จินผิงอี้นั่นเอง
จินผิงอี้ก้มหน้ามองชายที่นอนอยู่บนพื้น เอ่ยเสียงเข้ม “ดูเหมือนจะแพ้แล้วสินะ”
“ในเมื่อรู้ความสัมพันธ์ของข้ากับเสียนเกอแล้วยังให้คนมาวางยาอีก เจ้าสำนักจินกำลังดูถูกหนานกงมั่วอยู่อย่างนั้นหรือ” หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วเดินออกมาจากบ้านหลังเล็กๆ หลังนั้น กวาดตามองคนจากสำนักกลเจ็ดดาวที่ยืนอยู่ตรงนั้น หนานกงมั่วเลิกคิ้วพลางเอ่ย “เจ้าสำนักจิน เพื่อกระบี่ชิงหมิงเล่มเดียว ท่านคงไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอกใช่หรือไม่”
จินผิงอี้ยิ้มเย็น “กระบี่ชิงหมิงงั้นหรือ ดูเหมือนคุณหนูหนานกงจะหลงลืมไปมากเสียแล้ว”
มองความโกรธแค้นในแววตาของเขา หนานกงมั่วถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา “จินอู๋เฮ่อ”
“แม้จินอู๋เฮ้อจะไม่เอาไหน ทว่าก็ยังเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของข้า ในเมื่อคุณหนูหนานกงสังหารเขา ก็ควรคำนึงถึงวันนี้ด้วย” จินผิงอี้กล่าวเสียงเข้ม
หนานกงมั่วถอนหายใจ “ความจริงข้าไม่ชอบสังหารใครหรอกนะ” ทำเช่นไรได้บุตรชายท่านรนหาที่ตายเอง
“เสียเวลาคุยกับเขาทำไมกันเล่า คนไร้ประโยชน์เช่นนั้นฆ่าแล้วก็คือฆ่า” เว่ยจวินมั่วเอ่ยขึ้น
หนานกงมั่วยิ้ม “ข้าเพียงแปลกใจ ว่าข่าวของสำนักกลเจ็ดดาวช่างรวดเร็ว”
จินผิงอี้ยิ้ม “แม้ในคืนนั้นที่โรงเตี๊ยมจะมีผู้คนล้มตายมากมาย ถึงไม่ตายก็มีไม่มากนักหรอกที่จะคาดเดาคำสั่งของคุณหนูหนานกงได้ แต่ว่า…บนโลกใบนี้ไม่มีกำแพงที่ปราศจากรอยรั่วหรอกนะ อย่างไรก็ต้องมีคนรู้เห็นอยู่บ้าง” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว จินผิงอี้เองไม่ได้คิดปิดบังนาง เอ่ยอธิบายต่อ “หากมิใช่เพราะเจ้าสำนักหอธารา ข้าเองคงนึกไม่ถึงว่าผู้ที่สังหารบุตรชายของข้าจะเป็นเจ้า หนานกงมั่ว เจ้าช่างกล้ายิ่งนัก ทำเรื่องเช่นนั้นแล้วยังกล้าโผล่มาอยู่ตรงหน้าข้าอีก”
หอธาราอย่างนั้นหรือ กงอวี้เฉิน
หนานกงมั่วถอนหายใจ กงอวี้เฉินไม่ปล่อยไปง่ายๆ ความจริงพวกเขาพึ่งจะแย่งสมบัติมา กงอวี้เฉินไม่เอ่ยอันใดก็จากไปเสียแล้ว ที่แท้ก็เป็นเล่ห์กลของเขา กวาดตามองคนของสำนักกลเจ็ดดาวแล้วหนานกงมั่วจึงหันกลับไปมองเว่ยจวินมั่ว เว่ยจวินมั่วยื่นมือมากุมมือของนางเอาไว้ “อย่ากลัว”
ใบหน้าของหนานกงมั่วเผยรอยยิ้มออกมา “ไม่ได้กลัว”
จินผิงอี้ยิ้มเย็น “ในเมื่อวางยาพวกเจ้าไม่ได้…ลุย”
กลุ่มคนชุดดำชักกระบี่พุ่งเข้าหาทั้งสองคน หนานกงมั่วชักกระบี่ชิงหมิงออกมาจากฝัก แสงสีเงินปรากฏท่ามกลางความมืด ฟาดฟันกับกลุ่มคนที่พุ่งเข้ามาอย่างไร้ความปราณี เว่ยจวินมั่วที่อยู่ด้านข้างดึงกระบี่อ่อนที่ซ่อนอยู่ที่เอวออกมาและเข้าร่วมการต่อสู้
จินผิงอี้สาบานว่าเขาต้องแก้แค้นแทนบุตรชายให้ได้ ถือโอกาสแก้แค้นที่หนานกงมั่วหลอกเขามาหลายต่อหลายครั้งไปด้วย เขานำยอดฝีมือจากสำนักกลเจ็ดดาวมามากมาย พวกเขารู้ดีว่าหากไม่สามารถสังหารเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วเงียบๆ ได้ ด้วยฐานะของทั้งคู่แล้ว จากนี้ไปสำนักกลเจ็ดดาวคงวุ่นวายไม่หยุดไม่หย่อนเป็นแน่ ทว่าจินผิงอี้กลับไม่รู้ ไม่เพียงเขาที่ต้องการสังหารหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่ว เว่ยจวินมั่วเองก็ต้องการสังหารเขาด้วยเช่นกัน เดิมมีข้อผูกมัดระหว่างหอธาราและวังจื่อเซียว ใครก็ไม่กล้าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปแน่ แต่ยามนี้จินผิงอี้คิดสังหารพวกเขา เช่นนั้นหากเขาลงมือสังหารไม่สำเร็จก็รับรองไม่ได้ว่าเขาจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปทีหลังหรือไม่ เขาไม่กังวลต่อผู้คนในยุทธภพ แต่จะไม่กังวลต่อราชสำนักไม่ได้ ดังนั้นจินผิงอี้จึงต้องตายเท่านั้น
กระบี่อ่อนตวัดรวดเร็วเกิดลำแสงสีเงินขึ้นเป็นทาง เลือดพุ่งกระจายไปตามเส้นทางสีเงินนั้น ทว่าไม่นานสายฝนพรำก็ชำระล้างรอยเลือดที่ถูกทิ้งเอาไว้บนคมกระบี่ไปจนสิ้น
ในยุทธภพต่างเล่าลือกันว่าเพลงกระบี่ของคุณชายจื่อเซียวนั้นไม่ธรรมดา ช่างสมคำร่ำลือเสียจริง ต่างจากการประมือกับหนานกงมั่วครั้งที่แล้ว เพลงกระบี่ของเว่ยจวินมั่วไม่เพียงรุนแรง ซ้ำยังว่องไวคล่องแคล่วและร้ายกาจ ทุกครั้งที่ตวัดกระบี่ลงไปราวกับเป็นการพิพากษาชีวิต ทักษะที่เฉียบคมเช่นนี้ไม่ได้มีประโยชน์เพียงในสนามรบ ในยุทธภพเองก็ทำให้ผู้คนต้องแตกตื่นไม่น้อย
คนชุดดำล้มตายกันไปคนต่อคน ทว่าไม่นานก็มีเหล่าคนชุดดำใหม่เข้ามาเสริมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใช้เวลาเพียงไม่นานพื้นทั่วบริเวณพลันมีซากศพกองเรียงรายกว่ายี่สิบศพ สายฝนตกลงมาพาให้เลือดเจิ่งนองไปทั่ว หนานกงมั่วพลิกมือกลับไปจัดการกับคนชุดดำที่ลอบเข้ามาด้านหลัง ขณะเดียวกันเข็มสีเงินถูกดีดออกไปจากมือด้านซ้ายพุ่งเข้าหว่างคิ้วของคนชุดดำ
“ระวัง”
แสงสีเงินสว่างวาบขึ้นตรงหน้า ทว่าถูกเว่ยจวินมั่วปัดป้องออกไปได้ ทว่าเกิดรอยขาดจากคมดาบที่ไหล่ด้านซ้ายของหนานกงมั่วเป็นทาง
“อู๋สยา”
“ไม่เป็นไร” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บ”
กวาดตามองเหล่าคนชุดดำที่เฝ้าระวังไม่กล้าบุกเข้ามา หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “คนมากเกินไป” จินผิงอี้ไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปแน่ ดังนั้นหากคิดจะทำให้คนชุดดำพวกนี้ยอมล่าถอยกลับไปย่อมเป็นไปได้ยาก ยามนี้ฝนกำลังตกหนัก การใช้พิษนั้นยากยิ่ง เกิดความผิดพลาดได้ง่ายและอีกทั้งผลลัพธ์อาจจะไม่เป็นดังที่หวัง
เว่ยจวินมั่วกวาดตามอง ดวงตาสีม่วงพร่างพรายในราตรีอันมืดมิด ยื่นมือไปคว้ามือของหนานกงมั่วเอาไว้ มืออีกข้างตวัดกระบี่ออกไป เพียงกระโดดก็ลอยออกไปได้รวดเร็วคล้ายมีปีก
จินผิงอี้เหลือบมองร่างไร้วิญญาณที่นอนเกลื่อนอยู่บนพื้น เอ่ยเสียงเข้ม “ตาม อย่าให้พวกเขาหนีไปได้”