จือซูเข้าใจทันใด เอ่ยตอบด้วยท่าทีนอบน้อม “เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้”
หยวนซื่อพยักหน้าพึงพอใจ มองจือซูเดินออกไปแล้วจึงยิ้มออกมา “ความจริงข้ามาวันนี้ยังมีอีกเรื่อง มิเช่นนั้นคงไม่ต้องรอให้คุณหนูใหญ่กลับมาถึงแล้วจึงได้มาเยือน”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วเล็กน้อย ท่าทางตั้งใจฟัง หยวนซื่อรับเทียบเชิญจากมือสาวใช้ด้านหลังมาแล้วส่งให้หนานกงมั่ว เอ่ย “อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันคล้ายวันประสูติของพระชายารัชทายาท อีกทั้งท่านอ๋องก็กลับมาได้โดยปลอดภัย พระชายารัชทายาทจึงมีพระประสงค์อยากจัดงานเลี้ยงขึ้น ถึงตอนนั้นคงต้องขอเชิญคุณหนูใหญ่หนานกงด้วย” หนานกงมั่วรีบยื่นมือไปรับ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วันคล้ายวันประสูติของพระชายารัชทายาท จวนฉู่กั๋วกงต้องไปร่วมยินดีแน่นอนเพคะ ต่อให้พระชายารัชทายาทมิได้ให้เทียบเชิญ หม่อมฉันเองก็ยังอยากไปร่วมดื่มถวายพระพรเพคะ”
ได้ยินเช่นนี้พระชายาจวิ้นอ๋องย่อมรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง มองหนานกงมั่วที่สง่างาม พูดคุยสนุกสนานอยู่ด้านข้าง จากนั้นหันไปมองหนานกงซูที่ยืนอยู่ด้านหลังเจิ้งซื่อด้วยหน้าตาโกรธแค้นไม่พอใจต่อตนเอง ช่างเปรียบเทียบกันมิได้เลยแม้แต่น้อย สองคนนี้เป็นพี่น้องกันได้เยี่ยงไรนะ หากหนานกงซูได้ครึ่งของหนานกงมั่วสักนิด นางคงไม่คิดรังเกียจเช่นนี้ เมื่อคิดได้เช่นนั้น หยวนซื่อได้แต่ส่ายหน้าอยู่ในใจ หากท่านอ๋องคิดจะรับอนุจริงๆ โง่เขลาแบบหนานกงซูก็คงเป็นการดีแล้ว แม้ว่าหนานกงมั่วจะยังไม่ถึงยี่สิบแปด ทว่านางกลับเดาใจไม่ออกเลย หากต้องเผชิญหน้ากับนาง เกรงว่าตนเองนั้นคงมิใช่คู่ต่อสู้ของหนานกงมั่วเป็นแน่
เพียงแต่ คนฉลาดเช่นหนานกงมั่วจะโง่เขลาพาตัวเองมาเป็นอนุภรรยาได้เช่นไรกันเล่า
จือซูกลับมาโดยใช้เวลาไม่นาน กวาดตามองเจิ้งซื่อและหนานกงซูที่มีใบหน้าลุ้นระทึก ย่อตัวคารวะหนานกงมั่วและหยวนซื่อ “นายท่านกล่าวว่า จัดการทุกอย่างตามพระประสงค์ของพระชายารัชทายาทเถิด เจ้าค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเจิ้งซื่อพลันขาวซีดขึ้นมา หยวนซื่อพึงพอใจอย่างยิ่ง ริมฝีปากยกยิ้มแล้วหันไปเอ่ยกับเจิ้งซื่อและหนานกงซู “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะได้กลับไปเตรียมให้พร้อม พรุ่งนี้เช้าขอให้ฮูหยินส่งนางไปที่จวนจวิ้นอ๋องด้วย เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา คุณหนูใหญ่ ข้ายังมีธุระ วันนี้คงต้องขอลาแล้ว”
หนานกงมั่วเองไม่คิดรั้งนางเอาไว้ เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “หม่อมฉันไปส่งพระชายาเพคะ”
เมื่อส่งหยวนซื่อกลับไปแล้ว หนานกงมั่วยังไม่ทันเดินกลับเข้าไปในห้องโถงใหญ่พลันได้ยินเสียงกรีดร้องของหนานกงซู “หนานกงมั่ว เจ้าหมายความเช่นไร!” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว ด้วยตาฉายแววเย้ยหยัน หากหนานกงซูมีความกล้าเช่นนี้ไยจึงไม่โวยวายต่อหน้าหยวนซื่อ มากรีดร้องเอาตอนนี้ ขดตัวอยู่แต่ในรังเสียจริง น่าเสียดาย…นางมิใช่เด็กน้อยที่คอยเชื่อฟังผู้ปกครองแต่อย่างใด
ย่างเท้าก้าวเดินเข้าไปในห้องโถงด้วยท่วงท่าสง่างาม หนานกงมั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา “น้องรอง มีอันใดค่อยๆ พูดค่อยๆ จาเถิด”
หนานกงซูโมโหแทบบ้า ไหนเลยจะมีอารมณ์ไปค่อยพูดค่อยจา เห็นได้ชัดว่าหนานกงมั่วต้องการให้ทุกคนหัวเราะเยาะนาง
“เจ้าตั้งใจ!” หนานกงซูกัดฟัน
หนานกงมั่วยิ้มบาง “น้องสาว…เรื่องก็เกิดไปแล้ว ปกปิดความน่าอายก็ใช่จะทำให้เจ้าดูใสสะอาดขึ้น หากจะหลอกตัวเองไปกับสิ่งใดที่มันเป็นของนอกกาย มิสู้มาคิดว่าจะอยู่ร่วมกับเย่ว์จวิ้นอ๋องและพระชายาจวิ้นอ๋องอย่างไรจะดีกว่า พี่สาวทำเพื่อเจ้านะ”
“ใครต้องการให้เจ้า…” หนานกงซูกรีดร้อง เสียงหนานกงไหวดังขึ้นที่หน้าประตู “หุบปาก พี่สาวเจ้าพูดถูกแล้ว”
หนานกงไหวจ้องเจิ้งซื่อสองแม่ลูกเขม็ง ด้านหลังมีหนานกงชวี่ยืนเงียบอยู่ หนานกงซูกระทืบเท้าด้วยความโกรธ น้ำตาไหลลงเป็นสาย “ท่านพ่อ เห็นอยู่ว่าพี่สาวต้องการให้ข้าขายหน้า ท่านยังเข้าข้างนาง ข้ายังเป็นบุตรีของท่านอยู่หรือไม่เจ้าคะ” ตั้งแต่หนานกงมั่วกลับมา นับวันบิดายิ่งร้ายกับนางขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคิดเช่นนี้ หนานกงซูจึงอดไม่ได้หันไปถลึงตาใส่หนานกงมั่วด้วยความโกรธ หนานกงมั่วยักคิ้วไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“หุบปาก!” หนานกงไหวเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก “ถ้าเจ้าฉลาดได้สักครึ่งของพี่สาวเจ้าก็คงไม่ต้องมาจนถึงวันนี้หรอก เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว จะช้าจะเร็วแล้วมันจะต่างอันใดกัน หากเจ้าคิดขัดคำสั่งของพระชายารัชทายาทและพระชายาจวิ้นอ๋องยามนี้ ต่อไปคิดหรือยังว่าจะอยู่ในจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องได้อย่างไร”
หนานกงซูสลดลง เห็นได้ชัดว่าไม่เคยคิดคำนึงถึงเรื่องนี้ เจิ้งซื่อเช็ดน้ำตาก้าวเดินเข้ามาใกล้ เอ่ยทั้งน้ำตา “นายท่าน…แม้จะสมเหตุสมผล แต่ว่า…พวกเรายังมิทันได้เตรียมสิ่งใดเลย พระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องมากะทันหันเช่นนี้ มันเร็วไป จวนเย่ว์จวิ้นอ๋อง…เห็นได้ชัดว่าไม่ให้เกียรติเรา บุตรีบ้านใดกัน…จะออกเรือนกะทันหันเช่นนี้”
หนานกงไหวใบหน้าทะมึนขึ้น เอ่ยเสียงเย็น “ออกเรือนหรือ นี่เรียกว่าออกเรือนได้หรือ” เป็นถึงบุตรีจวนฉู่กั๋วกง บุรุษเช่นใดก็มีให้เลือกแต่ง สุดท้ายกลับตกต่ำไปเป็นอนุภรรยาให้คนอื่น หากไม่มีบุตรีอีกคนที่กำลังจะเข้าพิธีมงคลสมรสยิ่งใหญ่ หนานกงไหวคงได้กระอักเลือดไปเสียแล้ว
ส่งเสียงหยันเบาๆ เอ่ย “เจ้าจัดการไปตามสมควร สินเจ้าสาวเจ็ดแปดหาบก็พอแล้ว เดือนหน้ามั่วเอ๋อร์จะออกเรือนแล้ว ในจวนจะขาดตกบกพร่องไม่ได้ หากเกิดข้อผิดพลาดอันใด…อย่าหาว่าข้าไร้ความปรานี” เขายังต้องใช้งานพิธีครั้งนี้กอบกู้หน้าให้ตนเอง สำหรับจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องนั้น…เหอะ เซียวเชียนเยี่ยเคยต้องขอร้องเขามาก่อนด้วยซ้ำ ถึงเป็นเช่นนี้แล้วศักดิ์ศรีของหนานกงไหวใช่ว่าใครจะมาแตะต้องได้ง่ายๆ
“อะไรนะเจ้าคะ เจ็ดแปดหาบเช่นนั้นหรือ” เจิ้งซื่อแทบล้มทั้งยืน สินเจ้าสาวของบุตรีนางจะเทียบหนานกงมั่วไม่ได้ก็ช่างเถิด แต่ตอนนี้…ต่อให้เป็นเชื้อสายรองของครอบครัวชาวบ้านธรรมดาก็มิได้น้อยถึงเพียงนี้ หนานกงไหวเอ่ยเสียงเย็น “จะเอาสินเจ้าสาวอะไรมากมาย เรามิได้สินสอด ถูกเอาเปรียบเสียเปล่า” จวนหวงจั่งซุนเป็นอย่างไร แน่นอนหนานกงไหวพอเดาได้ หักหน้าเขาแล้วคิดจะเอาสินเจ้าสาวจากเขา ไม่มีทางเสียหรอก
ในที่สุดหนานกงซูก็ทนไม่ไหว กรีดร้องขึ้นมา “ข้าไม่อยากอยู่แล้ว”
“ไม่อยากอยู่ก็ไปตายเสีย” หนานกงไหวตะคอกเสียงดังตอบกลับไป
หนานกงซูตะลึงงันเมื่อถูกเขาตะคอก นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เรื่องราวพลิกผันไปอย่างรวดเร็ว เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนเสียด้วยซ้ำ หลายเดือนก่อน นางไม่ต้องการแต่งกับผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียง เพียงร้องไห้เล็กน้อยคนทั้งบ้านต่างพากันพะเน้าพะนอนาง ตามใจนางอยู่เลย ทว่าตอนนี้…นางกลับถูกส่งไปเป็นอนุภรรยา บิดาที่ทะนุถนอมนางกลับไล่ให้นางไปตาย…
หนานกงซูไม่เข้าใจ เพราะนางทำตัวเองให้มาอยู่ในจุดนี้จึงไร้คุณค่าในสายตาของหนานกงไหว หากนางแต่งเข้าไปเป็นชายาเอกของเย่ว์จวิ้นอ๋อง แม้ว่านางยังไม่แต่งออกไป หนานกงไหวก็ไม่มีทางหมดความอดทนกับนางถึงเพียงนี้
เมื่อได้สติกลับมา หนานกงซูก็ร้องไห้วิ่งออกไปทั้งน้ำตา
“นายท่าน ท่านช่างจิตใจโหดร้ายยิ่งนัก” เจิ้งซื่อจ้องหนานกงไหวอย่างไม่พอใจ กระทืบเท้าและวิ่งตามบุตรีออกไป
หนานกงไหวมองสองแม่ลูกวิ่งหนีออกไปแล้วจึงส่งเสียงหยันออกมา กวาดตามองหลินซื่อที่นั่งตัวลีบอยู่ตรงนั้น หันไปเอ่ยกับหนานกงมั่วและหนานกงชวี่ “ตามข้าไปที่ห้องหนังสือ”
“ขอรับ ท่านพ่อ”
เมื่อนั่งลงในห้องหนังสือแล้ว หนานกงไหวกวาดมองไปยังหนานกงมั่ว เอ่ยขึ้น “พวกเจ้าเองก็นั่งลงเถิด”
หนานกงมั่วและหนานกงชวี่มองสบตากัน เอ่ยขอบคุณและนั่งลง สองมือของหนานกงมั่ววางไว้ที่พนักด้านข้าง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่านพ่อ มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”