ในมหาวิหาร กงอวี้เฉินนั่งนิ่งอยู่หน้าพระพุทธรูป มองไปยังเจ้าอาวาส พระภิกษุและลูกวัดทั้งหลาย เอ่ยเสียงเรียบ “ไต้ซือ ในเมื่อข้ามาถึงที่นี่แล้ว ท่านคิดว่า…ปิดบังเอาไว้จะมีประโยชน์หรือ”
เจ้าอาวาสที่มีผมสีขาวโพลนเหลือบมองเหล่าจอมยุทธ์ที่ถือดาบยืนอยู่ด้านนอกประตู ถอนหายใจออกมา เอ่ยขึ้น “เพื่อทรัพย์สินนอกกาย ทำให้ยุทธภพต้องสกปรก ผู้คนล้มตายมากมาย ท่านไม่ละอายใจหรือ”
กงอวี้เฉินรู้สึกราวกับกำลังได้ยินเรื่องตลก หัวเราะขึ้นมา ดวงตาเย้ยหยันมองไปยังเจ้าอาวาส “จังติ้งฟังก่อกบฏ ประชาชนหูก่วงต้องล้มหายตายจาก ไยท่านเจ้าอาวาสจึงไม่กล่าวโทษ”
เจ้าอาวาสส่ายหน้า ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก ก้มหน้าสวดมนต์อยู่เงียบๆ
ดวงตาของกงอวี้เฉินฉายแววเกรี้ยวกราด เอ่ยเสียงเข้ม “ไต้ซือไม่สนใจตนเอง และไม่สนใจชีวิตลูกศิษย์พวกนี้ด้วยหรือ”
มือที่ถือลูกประคำชะงัก ไม่นานก็สวดมนต์ต่อไป กงอวี้เฉินออกคำสั่ง “เอาตัวพระพวกนี้ออกไปฆ่าทิ้งเสีย ไม่สิ…ฆ่าทิ้งที่นี่ไปเลย ข้าอยากจะรู้นัก พระท่านจะมีจิตใจเข้มแข็งมากเพียงใด”
ชายหนุ่มสองคนก้าวเดินมาข้างหน้า ดึงพระหนุ่มรูปหนึ่งออกมา ตวัดคมดาบลงไปโดยไม่คิดลังเล พระหนุ่มล้มลงโดยไร้ซึ่งเสียงกรีดร้องให้ได้ยิน เลือดสีแดงฉานเปรอะเปื้อนไปทั่วมหาวิหาร
เจ้าอาวาสหลับตาลง ไม่เอ่ยวาจาใด
“ต่อไป”
รูปที่หนึ่ง สอง… สาม…
“อมิตาพุทธ…” ในที่สุดเจ้าอาวาสก็ลืมตาขึ้นมา ดวงตาที่มองไปยังกงอวี้เฉินไม่มีความสงบนิ่งอีกต่อไป “ท่านทำเรื่องเช่นนี้…ไม่กลัวชาติหน้าบาปกรรมจะมาถึงตนหรือ”
รอยยิ้มทะนงตนของกงอวี้เฉินยกขึ้นที่ริมฝีปาก “บาปกรรมหรือ มันคือสิ่งใดกัน หากโลกนี้มีบาปบุญจริงๆ เช่นนั้น…ไต้ซือไปทำสิ่งใดมาหรือจึงได้มีจุดจบเช่นนี้” เจ้าอาวาสยิ้มหยัน “บาปกรรม มิใช่ไม่ตอบสนอง เพียงยังไม่ถึงเวลาก็เท่านั้น เมื่อถึงเวลา ข้าก็ควรจากไป” รอยยิ้มของกงอวี้เฉินชะงัก จ้องเจ้าอาวาสที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้านิ่ง ทว่าเห็นเพียงเจ้าอาวาสหลับตาลงช้าๆ กงอวี้เฉินรู้สึกผิดปกติรีบพุ่งเข้าไป ทว่าสายไปแล้ว เลือดสีดำไหลออกมาจากมุมปากของเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสตรงหน้าสูญสิ้นลมหายใจไปเสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าเจ้าอาวาสกินยาพิษเข้าไปก่อนสักพักแล้ว เมื่อครู่เพียงแค่ถ่วงเวลาให้ยาออกฤทธิ์เท่านั้น
“น่ารังเกียจ” ดวงตากงอวี้เฉินจมลึก ไอสังหารแผ่ออกมา
“ค้นให้ทั่ว ต่อให้ต้องขุดก็หาให้เจอ รวมทั้งพระพวกนี้ด้วย พาออกไปแล้วสอบถามให้ข้า ตอบไม่ได้…ก็ฆ่าทิ้งให้หมด”
“ขอรับเจ้าสำนัก”
จินผิงอี้ที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่เอ่ยสิ่งใด สายตาจับจ้องไปยังร่างของเจ้าอาวาสเนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ย “หากหาไม่เจอจะทำเช่นไร จิ่นโจวห่างจากเฉินโจวไม่ไกลมาก ใช่ว่าจะปิดบังจังติ้งฟังได้”
กงอวี้เฉินยิ้มเย็น “ในเมื่อรู้ตำแหน่งคร่าวๆ ของสมบัติแล้ว จังติ้งฟังยังจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออันใดกันเล่า ส่งคนไปฆ่าคนพวกนี้ให้หมดซะ” กระดาษแผ่นหนึ่งยื่นส่งมาให้จินผิงอี้ ในนั้นมีชื่อและข้อมูลของคนแปลกหน้า จินผิงอี้ขมวดคิ้ว “คนเหล่านี้คือ?” กงอวี้เฉินเอ่ย “คนในราชสำนักและผู้เกี่ยวข้อง”
จินผิงอี้ตระหนก “แม้แต่พวกนี้ท่านก็สืบมาได้หรือ เจ้าสำนักกงท่านเป็นใครกันแน่”
กงอวี้เฉินยิ้ม “แน่นอนว่าเป็นเจ้าสำนักหอธารา เจ้าสำนักจินคิดว่าข้าเป็นใครกัน”
จินผิงอี้ถอนหายใจ “เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว ก็คงต้องทำสินะ” จังติ้งฟังโง่เขลาเกินไป กงอวี้เฉินกลับลึกลับเกินไป ล้วนไม่ควรร่วมมือด้วย แต่เส้นทางของสำนักกลเจ็ดดาวเองก็ไม่ราบรื่นสักเท่าไร ไม่เปลี่ยนทิศทางก็คงต้องตายตกไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไยจึงไม่ลองสักตั้ง เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว เขาก็คงต้องเดินต่อไป กงอวี้เฉินเห็นท่าทางกังวลของเขาจึงเหลือบมองเล็กน้อย เอ่ยบอก “ท่านมิต้องกังวลไป ต่อให้จังติ้งฟังพ่ายแพ้ ช่วงนี้ราชสำนักก็ไม่มีเวลามายุ่งเรื่องสำนักกลเจ็ดดาวของท่านหรอก”
“รายงานเจ้าสำนัก เหล่าจอมยุทธ์มุ่งหน้ามาทางนี้แล้วขอรับ” ทางด้านนอก ลูกศิษย์ของหอธาราวิ่งเข้ามารายงาน
กงอวี้เฉินเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ศึกษาแผนที่วัดซั่งหลินโดยไม่กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ “ฆ่าซะ”
“ขอรับ”
ที่สถูปหลังเขาของวัดซั่งหลิน หนานกงมั่วกำลังย่อตัวขีดๆ เขียนๆ อยู่ ตรงหน้ายังมีภาพวาดแผนที่วัดซั่งหลินวางอยู่ ไม่ไกลออกไป เว่ยจวินมั่วและเสียนเกอกำลังจ้องอีกฝ่ายเขม็ง สายตามิอาจเรียกได้ว่าเป็นมิตร และที่ห่างไกลออกไปอีกนิด มีฝังยืนเฝ้าระวังอย่างเหนื่อยใจ ยืนกอดดาบเอาไว้ด้วยใบหน้าเรียบเฉย
หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้นมองไปยังวัดที่มีควันหนาขึ้น ถอนหายใจ “น่าเสียดาย วัดโบราณพันปี วันนี้คงสูญสิ้นแล้ว”
เสียนเกอเอ่ยด้วยท่าทางเกียจคร้าน “เด็กน้อย ตอนนี้ต้องหาสมบัติให้เจอก่อน ก่อนที่เจ้าจะมามัวกังวลว่าวัดพันปีจะสูญสิ้นเช่นนี้”
“…” คนแก่คร่ำครึไม่อาจเข้าใจถึงความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมที่มีต่อมวลมนุษยชาติได้ แน่นอน มรดกทางวัฒนธรรมมิได้เกี่ยวข้องกับนางแต่อย่างใด นางเพียงแค่พูดไปเช่นนั้น
ฝังเดินเข้ามาอย่างแปลกใจ เอ่ยถาม “คุณหนู ดูแค่รูปแผ่นนี้ก็สามารถดูออกว่าสมบัติอยู่ที่ไหนหรือขอรับ”
“อย่างน้อยก็พอเดาได้ว่าตรงไหนเหมาะที่จะซ่อนสมบัติ หากรูปนี้ถูกต้องไม่มีปัญหาน่ะนะ” หนานกงมั่วเท้าคางครุ่นคิดเล็กน้อย พลางเอ่ย “นอกจากข้าจะเป็นนักฆ่า ยังเป็นโจรบ้างในบางเวลา” การเป็นโจรสิ่งสำคัญที่สุดคืออะไร แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องความเข้าใจในโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างว่าตรงไหนน่าจะมีห้องลับ มีค่ายกล สามารถซ่อนสมบัติเอาไว้ได้บ้าง
“คุณหนูร้ายกาจมากขอรับ” ฝังเอ่ยชื่นชมอย่างอดไม่ได้ มือสังหาร โจร ปลอมตัวเก่ง หมอ… นี่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลฉู่กั๋วกงจริงๆ น่ะหรือ ไยหนานกงไหวจึงยังไม่ตกใจจนตายเพราะบุตรีผู้นี้กันนะ
ไม่นาน หนานกงมั่วจึงเก็บแผนที่ กล่าวขึ้น “มีสองทางเลือก โถงด้านล่างมหาวิหารวัดซั่งหลิน อีกที่คือเขาด้านหลังของวัดซั่งหลิน”
“เหตุผลเล่า” คุณชายเสียนเกอเอ่ยถาม
หนานกงมั่วเอ่ยตอบโดยไม่อิดออด “หนึ่งคือ…ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ได้ยินมาว่าวัดซั่งหลินสร้างพระพุทธรูปทองแดงหุ้มทองขึ้นมาใหม่ในมหาวิหารเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ข้าคิดว่าบางทีนั่นอาจจะเป็นเล่ห์กลอันใดสักอย่าง สอง…หากขุดหลุมตรงนั้นน่าจะใกล้ด้านล่างที่สุด ท่านก็รู้ การขุดยอดเขาให้มีเส้นทางไปถึงด้านล่างโดยไม่มีใครรู้ย่อมมิใช่เรื่องง่าย พวกท่านจะเลือกข้อใดเล่า”
เสียนเกอและเว่ยจวินมั่วมองสบตากัน เอ่ยออกมาพร้อมกัน “มหาวิหาร”
หนานกงมั่วยักไหล่ “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่ปัญหาก็คือ…คนของสำนักกลเจ็ดดาวและหอธาราต่างก็อยู่ในนั้น เราจะเข้าไปได้เช่นไร”
เว่ยจวินมั่วมองไปที่เสียนเกอ “รบกวนคุณชายเสียนเกอแล้ว”
เสียนเกอมีสีหน้าเบื่อหน่ายขึ้นมา เอ่ยเสียงเรียบ “คุณชายเช่นข้ามีชื่อเสียงก้องยุทธภพ ไม่อาจทำเรื่องอย่างโจรได้”
“ท่านสามารถใช้พิษกำจัดทุกคนที่เห็นท่านได้” เว่ยจวินมั่วเสนอ
“รวม ถึง ท่าน ด้วย หรือ ไม่” คุณชายเสียนเกอผู้งามสง่าช่างมีจิตใจโหดร้ายทีเดียว