หนานกงไหวถอนหายใจ “เจ้ามีความเห็นเช่นไรกับสถานการณ์ในเมืองหลวงตอนนี้”
หนานกงชวี่แปลกใจเล็กน้อย เพราะประโยคนั้นหนานกงไหวกำลังเอ่ยถามหนานกงมั่วมิใช่เขา รู้กันดีว่าต่อให้เป็นหนานกงฮุย ท่านพ่อก็ไม่เคยคุยเรื่องนี้ด้วย หนานกงมั่วยังคงนิ่ง เอ่ยขึ้น “ลูกไม่กล้าถกเรื่องการบ้านการเมืองหรอกเจ้าค่ะ”
หนานกงไหวยิ้มเย็น เอ่ย “แม้แต่สนามรบเจ้าก็ไปมาแล้ว มิกล้าถกเรื่องการบ้านการเมืองงั้นหรือ ข้าให้เจ้าพูดเจ้าก็พูดมา” บุตรีผู้นี้ทำให้เขาได้เห็นมุมใหม่ๆ อยู่เสมอ หนานกงไหวคงมองนางเป็นบุตรีผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่มิได้อีกต่อไป
หนานกงมั่วเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบ “ข้าไม่รู้สถานการณ์ ไม่ทราบว่าควรเริ่มจากเรื่องใดเจ้าค่ะ”
หนานกงไหวถอนหายใจยาว เอ่ยเสียงเข้มขึ้น “เพราะไม่รู้สถานการณ์…น่าเสียดาย กลับมีคนอยากดึงเราเข้าไปร่วมอยู่รอมร่อ”
แน่นอนทั้งสองคนย่อมรู้ว่าเขาเอ่ยถึงใคร หนานกงชวี่ขมวดคิ้ว “รัชทายาทยังมั่นคง องค์ชายอื่นๆ ยกเว้นผู้ที่ยังไม่เติบใหญ่ต่างก็ถูกกีดกันไปหมดแล้ว ไยรัชทายาทจึงต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้ขอรับ”
หนานกงไหวส่งเสียงหึเบาๆ “เป็นรัชทายาทแล้วอย่างไร ถูกกีดกันแล้วอย่างไร ในอดีตรัชทายาทมิได้ขึ้นครองราชย์ใช่ว่าจะไม่มี ยิ่งไปกว่านั้น…รัชทายาทไม่ร้อนใจ ก็ต้องมีคนร้อนใจแน่นอนอยู่แล้ว” การกระทำของเซียวเชียนเยี่ยนั้นย่อมเป็นไปเพื่อดึงกำลังสนับสนุนให้รัชทายาท อีกทั้งมีหรือจะไม่ทำเพื่อตนเอง ทว่าอาจเพราะเหตุผลบางอย่าง รัชทายาทจึงยอมรับการกระทำของเขาอยู่เงียบๆ เท่านั้นเอง
“ท่านพ่ออยากบอกสิ่งใดหรือเจ้าคะ” หนานกงมั่วเอ่ยถามไปตามตรง
หนานกงไหวนิ่งเงียบ ไม่นานจึงถอนหายใจออกมา “ไม่มีอันใด เดือนหน้าเจ้าต้องแต่งงานแล้ว จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องไม่เหมือนที่บ้าน ระวังตัวไว้เป็นพอ”
ไม่มีอันใดเช่นนั้นหรือ นางเชื่อได้หรือ หนานกงมั่วเบ้ปากอยู่ในใจ จ้องมองหนานกงไหวนิ่ง หนานกงไหวเลิกคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจปฏิกิริยาของบุตรี ใช้ความอดทนอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เว่ยจวินมั่วจะรับตำแหน่งจวิ้นอ๋องต่อได้หรือไม่ยังไม่แน่นอน เจ้าเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนฉู่กั๋วกง หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น บิดาย่อมอยู่เคียงข้างเจ้า”
หนานกงมั่วพลันเข้าใจในทันใด ต้องการให้นางเกาะเว่ยจวินมั่วเอาไว้ หากต่อไปเว่ยจวินมั่วได้ขึ้นเป็นจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องก็อย่าลืมจวนฉู่กั๋วกง รู้ดีว่า หากเว่ยจวินมั่วขึ้นรับตำแหน่งจวิ้นอ๋องได้อย่างราบรื่นก็คงมิได้เป็นเพียงจวิ้นอ๋องธรรมดาเสียแล้ว เบื้องหลังเขายังมีเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋องคอยสนับสนุน เมื่อรวมกับอำนาจของจวนฉู่กั๋วกง… หากรวมเข้าด้วยกัน เกรงว่าต่อให้เป็นฝ่าบาทก็ต้องมีความเกรงกลัวขึ้นมาบ้าง เพียงแต่…ถึงตอนนั้น ฝ่าบาทจะยังคงอยู่หรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่อง
“ขอบคุณท่านพ่อ” แม้หนานกงมั่วไม่เห็นด้วยทว่ามิได้ปฏิเสธ เพียงตอบกลับอย่างราบเรียบ
หนานกงไหวจ้องนางเนิ่นนาน ทว่ากลับมองไม่ออกเลยสักนิด จึงทำได้เพียงโบกมือไล่นางออกไปด้วยท่าทางเหนื่อยล้า มีบุตรีสองคน หนานกงซูโง่เขลาจนเขาวุ่นวาย หนานกงมั่วกลับฉลาดเกินคนจนต้องปวดหัว
รุ่งเช้าในอีกสองวันต่อมา หนานกงซูร้องไห้สะอึกสะอื้นขณะถูกส่งเข้าจวนเย่ว์จวิ้นอ๋อง คุณหนูที่ถูกประคบประหงมมาหลายสิบปีในจวนฉู่กั๋วกง ต้องมาออกเรือนไปเงียบๆ เช่นนี้ อย่าว่าแต่เจิ้งซื่อผู้เป็นมารดาที่ร้องไห้แทบขาดใจ บ่าวในเรือนเองก็เสียดายไม่น้อย
วันนั้นเซียวเชียนเยี่ยกลับมาถึงจวน สิ่งแรกที่ต้องทำคือเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ การกลับมาของเซียวเชียนเยี่ยบอกให้รู้ว่าการก่อกบฏกว่าสามเดือนได้จบลงแล้ว ฮ่องเต้พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ประทานรางวัลแก่ผู้ออกหน้า หนานกงไหว เซียวเชียนเยี่ย เว่ยจวินมั่ว แน่นอนว่าทุกคนได้รับรางวัลในครั้งนี้ทั่วกัน หนานกงไหวนั้นอยู่ในยศสูงศักดิ์มานานแล้วจึงได้รับรางวัลเป็นอัญมณี เงินทองของล้ำค่าทั้งหลาย เพราะก่อนหน้านี้เซียวเชียนเยี่ยนั้นมีความผิด ต่อมามีเอ้อกั๋วกงคอยช่วยชดเชยในภายหลังจึงได้รับรางวัลเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นหวงจั่งซุนเช่นเซียวเชียนเยี่ยจะเลื่อนขั้นไปมากกว่านี้ก็คงไม่ได้ การได้รับคำชื่นชมจากฮ่องเต้ก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีแล้ว ทว่าเว่ยจวินมั่ว นอกจากได้รับประทานรางวัลแล้ว ยังได้รับตำแหน่ง ‘ผู้บัญชาการกองกำลังคุ้มกันเมืองหลวง’ อีกด้วย
ก่อนหน้านี้เว่ยจวินมั่วได้รับคำสั่งเป็นครั้งคราว ทว่ายังไม่มีตำแหน่งที่แน่นอนมาโดยตลอด เมื่อสังกัดใดต้องการก็เรียกเขาไปที่นั่นแล้วใช้งานเพียงชั่วคราวเท่านั้น ทว่าตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เว่ยจวินมั่วนับว่ามีตำแหน่งในราชสำนักอย่างแท้จริงแล้ว แม้การเป็นผู้บัญชาการกองกำลังคุ้มกันเมืองหลวงจะอยู่ในตำแหน่งขุนนางขั้นสาม ไม่นับว่าสูงมาก ทว่าสำหรับเว่ยจวินมั่วที่อายุยี่สิบสองปีนับว่าเป็นตำแหน่งที่สูงคับฟ้าแล้ว แน่นอนจากผลงานที่เขาเคยทำมาตลอดจึงไม่มีใครกล้าโต้แย้ง ความจริงเมื่อก่อนยังมีคนมากมายที่แอบถกเถียงลับหลัง เว่ยจวินมั่วทำงาน มีผลงานมากมายกลับไม่มีแม้แต่ตำแหน่ง ฮ่องเต้นั้นยังสงสัยต่อชาติกำเนิดของเขาอยู่หรือไม่ ทว่ายามนี้ฮ่องเต้ดูเชื่อใจหลานชายผู้นี้มาก หากไม่เชื่อใจก็คงไม่มีทางมอบตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังคุ้มกันเมืองหลวงให้เป็นแน่
ผู้บัญชาการกองกำลังคุ้มกันเมืองหลวงรับผิดชอบการอารักขา ดูแลวังหลวง ปกป้องเมืองหลวง และพื้นที่ใกล้จินหลิง มีอยู่ทั้งหมดสิบเจ็ดคน แม้เขาจะอยู่ในขั้นสาม แต่นับว่าเป็นผู้มีอำนาจในกองกำลังทหารม้าอย่างแท้จริง แม้แต่หนานกงไหวที่เป็นวีรบุรุษก่อตั้งประเทศมาก็มิอาจมีอำนาจสั่งการกองกำลังได้โดยตรง เมื่อเว่ยจวินมั่วได้รับตำแหน่งนี้ไป การขึ้นรับตำแหน่งแบบก้าวกระโดดของเขาจึงเป็นที่น่าจับตามอง
และรางวัลที่น่าตกใจที่สุดคงเป็นหนานกงมั่ว หลังจากประทานรางวัลแก่เหล่าผู้บัญชาการแล้ว สุดท้ายยังชื่นชมหนานกงมั่วที่เข้าช่วยเหลือกองทัพ ช่วยชีวิตนายทหาร วิชาการแพทย์สูงส่ง ประทานรางวัลไม่น้อยแล้วยังไม่พอ สุดท้ายยังใจดีแต่งตั้งหนานกงมั่วเป็นจวิ้นจู่ นามว่า ‘ซิงเฉิง’ เรียกว่าซิงเฉิงจวิ้นจู่ เมื่อข่าวนี้ได้รับการประกาศออกไป ทั่วทั้งเมืองจินหลิงก็สั่นสะเทือน นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งประเทศมาที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งสตรีนอกตระกูล ซ้ำยังเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน ให้มีตำแหน่งจวิ้นจู่ อีกทั้งในบรรดาจวิ้นจู่เองก็มีความแตกต่าง การแต่งตั้งสตรีนั้นมีสองแบบ หนึ่งคือตั้งชื่อตามสถานที่ อีกแบบคือตั้งชื่อตามเลขมงคล ทั้งสองนี้แน่นอนว่าอย่างแรกนั้นมีเกียรติมากกว่า ฃเมื่อใช้ชื่อสถานที่มาตั้งชื่อ ความหมายคือสถานที่ตรงนั้นเป็นของจวิ้นจู่ ทว่าจวิ้นจู่ที่ถูกตั้งชื่อตามเลขมงคลนั้นย่อมจะไม่ได้รับความโชคดีในเรื่องนี้
หลังจากก่อตั้งราชวงศ์เซี่ยที่ยิ่งใหญ่ สตรีนั้นนอกจากองค์หญิงที่ต้องออกเรือนแล้วก็น้อยนักที่จะได้รับการแต่งตั้ง สิ่งที่น่าสลดใจที่สุดก็เป็นดังเช่นหย่งชังจวิ้นจู่ที่พึ่งทั้งสองฝั่ง หย่งชังจวิ้นจู่ได้รับการตั้งชื่อว่าหย่งชัง ทว่าพื้นที่หย่งชังนั้นตกเป็นของฉีอ๋องตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว บนโลกใบนี้แน่นอนว่าไม่เคยมีการแบ่งที่ดินของลุงมาให้หลาน ดังนั้นผู้คนจึงต้องยอมรับอยู่เงียบๆ ว่าชื่อหย่งชังนี้ ได้รับการตั้งชื่อเช่นนั้นเพราะฮ่องเต้ความหวังตามความหมายของชื่อคือเพื่อให้ราชวงศ์เซี่ยที่ยิ่งใหญ่เจริญรุ่งเรืองสืบไป ยังดีที่ครั้งนั้นบรรดาจวิ้นจู่ที่ถูกแต่งตั้งล้วนมีตัวอักษรหย่งขึ้นต้น หย่งผิง หย่งอัน หย่งชิ่ง เป็นต้น… ยามนี้พลันมีซิงเฉิงจวิ้นจู่ขึ้นมา มิเพียงคนรอบข้างที่ยังคงตกตะลึง แม้แต่หนานกงไหวเองยังกระอักกระอ่วนอยู่ในใจ เพียงเพราะรู้…ทุกคนย่อมรู้ดีว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนี้ หากใช้คำว่าโหดเหี้ยมไม่สำนึกบุญคุณมาอธิบายถึงพระองค์ก็ไม่นับว่าผิดจากความจริง มิเช่นนั้น วีรบุรุษผู้ก่อตั้งประเทศคงไม่เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านี้ แต่จู่ๆ พระองค์กลับใจกว้างขึ้นมา แน่นอนว่าย่อมทำให้คนรู้สึกไม่สงบอยู่ในใจ