“กระหม่อมทูลลา” เว่ยจวินมั่วกล่าวลาตามไปด้วย
ฮ่องเต้นั่งอยู่บนพระที่นั่งเพียงผู้เดียว นั่งมองท้องพระโรงที่ว่างเปล่าเนิ่นนาน เสียงถอนหายใจเนิบนาบดังขึ้นภายในท้องพระโรงใหญ่
ด้านนอก หนานกงไหวกำลังป่าวประกาศต่อผู้คน ทุกคนต่างเข้ามาแสดงความยินดีต่อฉู่กั๋วกงเนื่องจากบุตรีอันเป็นที่รักได้รับการแต่งตั้งเป็นถึงจวิ้นจู่ แม้ว่าเดิมทีแทบไม่เคยเจอหน้าบุตรีคนโตผู้นี้ในจินหลิงบ่อยนัก แต่ช่วยไม่ได้ที่นางมีความสามารถ ยังไม่ทันได้เคยเห็นหน้า ก็มีชื่อเสียงให้ฮ่องเต้ได้จดจำ ยามนี้วาสนาดีได้รับการแต่งตั้งเป็นถึงจวิ้นจู่ และยังเป็นสตรียังไม่ออกเรือนเพียงผู้เดียวในจินหลิงที่ได้รับการแต่งตั้งเสียด้วย
ความจริงใครๆ ต่างรู้ดี ฮ่องเต้แต่งตั้งหนานกงมั่วในครั้งนี้มิเพียงเพราะหนานกงมั่วสร้างความดีความชอบในกองทัพเพียงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นคือการปลอบใจหนานกงไหว หนานกงไหวมีตำแหน่งยิ่งใหญ่ไม่สามารถเลื่อนขั้นได้แล้ว ศึกครั้งนี้มีผลงาน เพื่อช่วยเหลือหวงจั่งซุนแล้วเกือบต้องสิ้นชีวิต อีกทั้งยังเพราะเรื่องของบุตรีคนรองทำให้จวนฉู่กั๋วกงและจวนเอ้อกั๋วกงต้องตบหน้ากันไปฉาดใหญ่ หากยังไม่ปลอบประโลมคงไม่เป็นธรรม บังเอิญตระกูลหนานกงมีบุตรีเชื้อสายหลักที่โดดเด่น กำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับโอรสขององค์หญิงฉังผิง แต่งตั้งให้เป็นจวิ้นจู่ก็คงจะไม่เป็นไร อย่างไรเสียสุดท้ายก็เป็นน้ำปุ๋ยอุดมสมบูรณ์ไม่ไหลเข้านาคนอื่น
ดังนั้น นับว่าฮ่องเต้ดีดลูกคิดรางแก้วมาเป็นอย่างดีแล้ว
หนานกงไหวเองก็รู้สึกว่าใบหน้าตนนั้นมีแสงเปล่งประกาย จากใบหน้าซีดเซียวเพราะอาการป่วยยามนี้กลับมีสีสันขึ้นมา ยิ้มร่าให้กับเหล่าขุนนางคนอื่นๆ จนกระทั่งมองเห็นเซียวเชียนเยี่ยและเว่ยจวินมั่วเดินออกมา คนอื่นๆ จึงเริ่มบอกลาถอยห่างออกไป
เซียวเชียนเยี่ยพึ่งถูกตำหนิต่อหน้าเว่ยจวินมั่ว สีหน้าจึงไม่ค่อยดีนัก ยามนี้มองเห็นหนานกงไหวที่กำลังพูดคุยด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มจึงไม่พอใจมากยิ่งขึ้นไปอีก ทว่าคำพูดของฮ่องเต้นั้นมีผลต่อเขาอยู่มาก และตลอดหลายเดือนมานี้เขาสูญเสียการควบคุมไปเพราะเรื่องของบรรดาเชื้อสายรองพวกนั้น ยามนี้จึงรีบเดินเข้าไปทักทายหนานกงไหว “ฉู่กั๋วกง เพราะข้าไม่รอบคอบ ขอท่านกั๋วกงโปรดอภัยด้วย ขอบคุณท่านกั๋วกงที่ช่วยชีวิตข้า”
มิอาจหักหน้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนตรงหน้าเป็นถึงหลานฮ่องเต้ แน่นอนย่อมไม่สามารถหักหน้าได้ง่ายๆ หนานกงไหวจึงพยักหน้าตอบรับ เอ่ยด้วยท่าทีห่างเหิน “ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว”
เซียวเชียนเยี่ยเองก็รู้ว่ายามนี้หนานกงไหวคงไม่นึกอยากพูดคุยกับตนมากนัก เขาพยักหน้ารับเล็กน้อย “ข้ายังมีธุระที่จวน ต้องขอตัวลาแล้ว ไว้มีโอกาสจะไปเยี่ยมท่านที่จวน น้องชาย ข้าไปล่ะ”
เว่ยจวินมั่วและหนานกงไหวพยักหน้ารับ เซียวเชียนเยี่ยเดินห่างออกไป หนานกงไหวจึงเอ่ยขึ้น “ยังมิทันได้ยินดีกับซื่อจื่อเลย” แน่นอนว่าย่อมต้องแสดงความยินดีกับการได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการเว่ย เว่ยจวินมั่วพยักหน้าให้เล็กน้อย เอ่ย “ขอบคุณฉู่กั๋วกง เรื่องอู๋สยา ขอท่านกั๋วกงช่วยดูแลด้วย”
หนานกงไหวพยักหน้า มองเว่ยจวินมั่วขอตัวลาและเดินออกไป เกิดความไม่พอใจขึ้นมาในใจ เห็นอยู่ว่านั่นเป็นบุตรีของเขา ไยต้องให้คนอื่นมาบอกให้เขาดูแล นี่มันอะไรกัน อีกฝ่ายนั่น…ยังเป็นเพียงว่าที่บุตรเขยของเขาเท่านั้น ได้แต่ปลอบตัวเองอยู่ในใจว่าก็ไม่นับว่าเป็นคนอื่นคนไกล จากนั้นก็ส่ายศีรษะเบาๆ หนานกงไหวจึงหันกลับไปขึ้นรถม้าด้านข้างมุ่งหน้ากลับจวน
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ”
ในเรือนจี้ชั่ง เสียงร้องของหุยเสวี่ยดังเข้ามา หนานกงมั่วชะงักมือ เงยหน้ามองออกไปนอกประตู จือซูที่ยืนปรนนิบัติอยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว “เด็กคนนี้ ไยจึงกระโตกกระตากเช่นนี้ คุณหนู เดี๋ยวบ่าวออกไปดูให้เจ้าค่ะ” สาวใช้ในเรือนจี้ชั่งล้วนได้รับการอบรมจากแม่นมหลานรวมทั้งจือซูและหมิงฉินจึงมีกิริยาสุขุมมาตลอด น้อยครั้งนักที่จะมีการร้องโหวกเหวกโวยวาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหุยเสวี่ยที่เป็นสาวใช้เคียงกายของหนานกงมั่ว
หุยเสวี่ยวิ่งมาถึงหน้าห้องหนังสือ ยังมีท่าทีเหนื่อยหอบจากการวิ่งเข้ามาจากด้านนอก “คุณหนู…คุณหนูเจ้าคะ…”
“ทำไมหรือ ค่อยๆ พูด” หนานกงมั่ววางพู่กันลง เอ่ยเสียงเบา
หุยเสวี่ยเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ยินดีกับคุณหนูด้วยเจ้าค่ะ ในวังมีราชโองการออกมา แต่งตั้งคุณหนูเป็นซิงเฉิงจวิ้นจู่เจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วชะงัก ก่อนหน้านี้นางเองคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าฮ่องเต้คงประทานรางวัลแก่นางเพื่อเป็นการเอาใจตระกูลหนานกง แต่เดิมคิดว่าฮ่องเต้คงจะเอ่ยปากตกรางวัลด้วยตนเอง อาจมอบของกำนัลหรือเพิ่มสินเจ้าสาวให้กับนางบ้าง การประทานสินเจ้าสาวนับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว ทว่าไม่คิดว่าฮ่องเต้จะแต่งตั้งนางให้เป็นถึงซิงเฉิงจวิ้นจู่ จวิ้นจู่… สูดหายใจเข้าลึก ความจริงนั่นเป็นตำแหน่งธิดาของชินอ๋องเท่านั้นจึงจะมีโอกาสได้รับตำแหน่งนี้ บางครั้งการประทานรางวัลที่ยิ่งใหญ่เกินไปก็มิอาจเรียกว่าเรื่องที่ดีได้
ก้มหน้าไตร่ตรองให้รอบคอบอยู่ชั่วครู่ พบว่าตนเองนั้นยังไม่มีประโยชน์มากพอให้ฮ่องเต้ใช้งานได้ หรือเพราะว่าฝ่าบาทต้องการปลอบใจหนานกงไหวจึงได้มอบตำแหน่งนี้ให้นางจริงๆ คิดได้เช่นนี้ ใบหน้าของหนานกงมั่วจึงผ่อนคลายลง
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านไม่ดีใจหรือเจ้าคะ” เห็นนางนิ่งเงียบ หุยเสวี่ยจึงทำตัวไม่ถูกขึ้นมา คุณหนูได้รับตำแหน่งเป็นจวิ้นจู่ มิใช่เรื่องน่ายินดีหรอกหรือ จือซูถลึงตามองหุยเสวี่ยพลางเอ่ย “เหลวไหลอันใดกัน ฝ่าบาททรงประทานรางวัลจะไม่ดีใจได้เช่นไร เพียงไม่ทันได้ตั้งตัวก็เท่านั้น” หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้นยิ้มบางๆ “จือซูกล่าวถูกต้องแล้ว ออกไปรับราชโองการก่อนเถิด”
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
…
“บุตรีฉู่กั๋วกงหนานกงอู๋สยาฉลาดปราดเปรื่อง จิตใจเมตตา มีผลงานต่อชาติบ้านเมือง แต่งตั้งเป็นซิงเฉิงจวิ้นจู่ รับราชโองการ”
ในห้องโถงใหญ่ ผู้ถ่ายทอดราชโองการยืนอยู่ตรงนั้นกำลังอ่านราชโองการด้วยน้ำเสียงอันดังก้อง ด้านล่างมีคนตระกูลหนานกงกำลังคุกเข่า แม้กระทั่งด้านนอกยังเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้ตระกูลหนานกงที่กำลังคุกเข่าอยู่เช่นเดียวกัน ฟังน้ำเสียงที่ดังกึกก้อง กระแสความตื่นเต้นเกิดอยู่ในใจ ผู้ที่ตื่นเต้นดีใจด้วยใจบริสุทธิ์คงจะมีเพียงบ่าวรับใช้ฐานะต่ำต้อยเพียงเท่านั้น เพราะฐานะของพวกเขาต่ำต้อย เบื้องบนแก่งแย่งชิงดีก็สะเทือนมาไม่ถึงพวกเขา พวกเขารู้เพียงว่าคุณหนูใหญ่ถูกแต่งตั้งให้เป็นจวิ้นจู่นั้นเป็นเรื่องน่ายินดี พวกนางได้รับเงินเป็นรางวัลเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว รวมทั้งแม่นมหลานและพวกจือซูด้วย คุณหนูได้รับการแต่งตั้ง พวกนางเองก็พลอยมีหน้ามีตาไปด้วย คนที่กระวนกระวายที่สุดคงเป็นเจิ้งซื่อที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างหนานกงมั่ว
บุตรีของนางพึ่งถูกคนยกขึ้นเกี้ยวไปเป็นอนุภรรยา หนานกงมั่วกลับได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้เป็นถึงจวิ้นจู่ แตกต่างถึงเพียงนี้ได้อย่างไร เหลือบมองหนานกงมั่วที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าของตน เจิ้งซื่อก็แทบพ่นพิษอยู่ในใจ
“จวิ้นจู่ลุกขึ้นเถิด ยินดีกับจวิ้นจู่” ผู้ที่สามารถถ่ายทอดราชโองการเช่นนี้ได้แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ปรนนิบัติข้างกายฮ่องเต้ หนานกงมั่วย่อมมิกล้าชักช้า ลุกขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ลำบากกงกงแล้ว ท่านพ่อและพี่ใหญ่ยังไม่กลับมา กงกงจะดื่มชานั่งพักก่อนหรือไม่เจ้าคะ”
ขันทีผู้ถ่ายทอดราชโองการปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังต้องกลับวังไปรายงานต่อฝ่าบาท คงอยู่นานมิได้ คงไม่รบกวนจวิ้นจู่แล้ว” ขันทีผู้ถ่ายทอดราชโองการเองก็มิกล้าทำให้หนานกงมั่วขุ่นเคืองใจ แม้จะเป็นเพียงจวิ้นจู่ แต่ผู้อยู่เบื้องหลังจวิ้นจู่ผู้นี้คือฉู่กั๋วกง ซื่อจื่อ กระทั่งองค์หญิงฉังผิง และเยี่ยนอ๋องอีกด้วย
หนานกงมั่วเองไม่รั้งเขาเอาไว้ เอ่ยบอก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็มิกล้าทำให้กงกงต้องเสียเวลา เพียงแต่นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ และกงกงได้โปรดอนุญาตให้คนอื่นๆ ได้ดื่มชาด้วยเถิด ลำบากพวกท่านมาถึงที่นี่” หนานกงมั่วยกมือส่งสัญญาณ แม่นมหลานยื่นห่อผ้าสวยส่งให้ เมื่อได้รับของขวัญแล้ว ใบหน้าที่เดิมมีรอยยิ้มอยู่แล้วยิ่งเบิกบานขึ้นไปอีก เมื่อสัมผัสเบาๆ ก็รู้แล้วว่าด้านในนั้นเป็นตั๋วเงินแผ่นบาง รวมทั้งอัญมณีหลากหลายชนิด สมแล้วที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังให้ความสำคัญคุณหนูใหญ่หนานกงผู้นี้ ช่างมีจิตใจกว้างขวางนัก