หนานกงมั่วมีตำแหน่งเป็นถึงจวิ้นจู่ อีกทั้งยังเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ขององค์หญิงฉังผิง แน่นอนว่าไม่เป็นไรหากนั่งอยู่ด้านหน้า ขณะที่เจิ้งซื่อและหลินซื่อทำได้เพียงถวายพระพรพระชายารัชทายาทจากนั้นต้องออกไปอยู่ด้านนอก ความจริงเจิ้งซื่อเป็นถึงฮูหยินจวนฉู่กั๋วกง ด้านในย่อมมีที่นั่งสำหรับนางอยู่แล้ว ทว่าน่าเสียดายเป็นเพราะไร้ซึ่งยศตำแหน่งใดๆ ผู้ที่จะนั่งอยู่ด้านในได้นั้นอย่างน้อยก็ต้องมีตำแหน่งชั้นรอง และส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้มียศชั้นสูงกันทั้งนั้น แน่นอนว่าไม่มีใครยอมสละที่นั่งให้ฮูหยินกั๋วกงผู้ไร้ชื่อเสียงผู้นี้เป็นแน่ เจิ้งซื่อหงุดหงิดอยู่ในใจ ทว่าทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงพาหลินซื่อออกมานั่งด้านนอกเท่านั้น
“ได้ข่าวว่าจวิ้นจู่เข้าไปในกองทัพด้วยตนเอง อีกทั้งยังช่วยรักษาทหารในกองทัพ จวิ้นจู่มีความสามารถทางวิชาการแพทย์ที่โดดเด่นใช่หรือไม่” หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านข้างองค์หญิงฉังผิงเอ่ยถามเสียงเบา องค์หญิงฉังผิงจับมือหนานกงมั่วเอาไว้พลางเอ่ย “นี่คือองค์หญิงหลิงอี๋” หนานกงมั่วรับรู้ องค์หญิงหลิงอี๋คือน้องเจ็ดขององค์หญิงฉังผิง และเป็นหนึ่งในสี่องค์หญิงของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เดิมมีองค์หญิงทั้งหมดสิบองค์ องค์หญิงใหญ่ องค์หญิงสาม องค์หญิงหกจากไปก่อนวัยอันควร องค์หญิงสี่ องค์หญิงแปด องค์หญิงสิบค่อยๆ ตามกันไป ยามนี้ที่ยังอยู่มีองค์หญิงรององค์หญิงอี้หยาง องค์หญิงห้าองค์หญิงฉังผิง องค์หญิงเจ็ดองค์หญิงหลิงอี๋ และองค์หญิงเก้าองค์หญิงหยางเซี่ยน สององค์หญิงนั้นอยู่กับสามี ดังนั้นในเมืองหลวงจึงเหลือเพียงองค์หญิงฉังผิงและองค์หญิงหลิงอี๋
หนานกงมั่วส่งยิ้มบาง เอ่ยตอบ “หม่อมฉันไม่เก่งเรื่องวิชาการแพทย์ถึงเพียงนั้นหรอกเพคะ เพียงพอเข้าใจอยู่บ้างเท่านั้น”
“ช่างถ่อมตนเช่นนี้ พี่ห้าโชคดียิ่งแล้ว” องค์หญิงหลิงอี๋ยิ้ม “เจ้าเด็กคนนี้…ไม่เพียงเก่งวิชาการแพทย์ ความกล้าก็ไม่ด้อย กล้าวิ่งไปถึงสนามรบ ในบรรดาคุณหนูในเมืองจินหลิง คงหาผู้ที่จะมีความกล้าเช่นนี้ไม่ได้แล้ว” เมื่อครั้งองค์หญิงฉังผิงและองค์หญิงหลิงอี๋เกิดขึ้นมาสงครามยังไม่ทันสงบ แม้ว่าองค์หญิงทั้งสองนั้นไม่เคยอยู่ในสนามรบ ทว่าเคยได้ยินคนเล่าถึงฮองเฮาองค์ก่อนที่รบเคียงข้างฮ่องเต้มา ดังนั้นจึงรู้สึกชื่นชมวีรสตรีที่กล้าหาญ ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางที่เป็นธิดาของฮ่องเต้ย่อมต้องรู้มากกว่าคนอื่น อย่างเช่นแม่นางผู้นี้แทรกซึมเข้าไปในฝ่ายศัตรู อีกทั้งยังนำศีรษะของกบฏกลับมาได้ด้วยท่าทีเงียบสงบ แม้จะบอกว่าบังเอิญไปเจอกับผู้ที่สังหารคนผู้นั้น แต่ความกล้านี้ก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนต้องตกใจแล้ว
หนานกงมั่วเองก็สัมผัสได้ว่าองค์หญิงหลิงอี๋มิได้มีพิษมีภัยอันใด รอยยิ้มบนใบหน้าจึงอ่อนโยนขึ้นมา เอ่ย “องค์หญิงชื่นชมเกินไป มั่วเอ๋อร์มิรู้ความ ขายหน้าต่อองค์หญิงแล้วเพคะ”
องค์หญิงหลิงอี๋ตบเบาๆ ลงบนหลังมือของนาง “มิน่าพี่ห้าถึงชอบเด็กคนนี้มาก หากข้ามีบุตรีเช่นนี้ไม่รู้จะรักอย่างไรเลย”
องค์หญิงฉังผิงหันไปมองนางเรียบๆ เอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เห็นเจ้าเตรียมของขวัญพบหน้าไว้ให้นางเลย”
องค์หญิงหลิงอี๋ชะงัก อดไม่ได้หัวเราะออกมา เอ่ยตอบ “พี่ห้า หลายปีนี้ท่านไม่ออกมา ยามนี้ออกมาแล้วก็กดดันข้าเพื่อผลประโยชน์ของลูกสะใภ้เลยหรือ ช่างเถิด ช่างเถิด ข้าที่เป็นน้าจะให้คนมาว่าข้าตระหนี่ได้เยี่ยงไร” ระหว่างที่เอ่ยก็ดึงเครื่องประดับที่เป็นลวดลายดอกไม้มีอัญมณีเม็ดงามประดับล้อมรอบจากศีรษะของตนออกมา หันไปติดให้กับหนานกงมั่วบนศีรษะ ยิ้มพลางเอ่ย “ข้าแก่แล้ว หรือว่าเด็กสาวอย่างเจ้าใส่แล้วดูสวยกันนะ นี่เป็นของขวัญจากเสด็จแม่ตอนข้าออกเรือน เจ้ารับไปเถิด”
หนานกงมั่วรีบปฏิเสธ องค์หญิงหลิงอี๋จ้องนางเขม็ง “รับไปเถิด เดี๋ยวแม่สามีเจ้าจะหาว่าข้าตระหนี่”
หนานกงมั่วมิอาจขัดพระประสงค์ได้จึงเอ่ยขอบคุณองค์หญิงหลิงอี๋แทน ในขณะที่ทุกคนกำลังถอนหายใจกับความโชคดีของคุณหนูหนานกงผู้นี้ ห้องโถงใหญ่พลันมีเสียงดังขึ้น “เป็นถึงคุณหนูสูงส่ง หนีออกจากบ้าน ไปอยู่ท่ามกลางหมู่บุรุษในกองทัพ ไม่รู้ว่าฉู่กั๋วกงสั่งสอนบุตรีเช่นไร”
ชั่วครู่ ทั่วทั้งห้องโถงพลันเข้าสู่ความเงียบ สายตาของทุกคนมองตรงไปยังต้นเสียง มองเห็นร่างผอมบางของหญิงวัยกลางคนกำลังมองมายังหนานกงมั่วด้วยสายตาไม่พอใจ เมื่อเทียบกับบรรดาสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่ในห้องนี้ สตรีนางนี้มีรูปร่างซูบผอมแทบรองรับอาภรณ์สีแดงและผ้าโพกศีรษะที่บ่งบอกความสูงศักดิ์ไม่ได้
หนานกงมั่วขมวดคิ้ว นางคล้ายกับไม่เคยรู้จักกับสตรีตรงหน้ามาก่อน ต้องบอกว่าไม่เคยไปทำให้นางต้องขุ่นข้องหมองใจถึงจะถูก
ใบหน้าองค์หญิงฉังผิงทะมึนขึ้น สายตาเยือกเย็นจ้องตรงไปยังฮูหยินผู้นั้น องค์หญิงหลิงอี๋ขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเบา “พี่ห้า นั่นคือภรรยาใหม่ของกวงลู่ต้าฟู ไต้เท้าเว่ยฉง”
กวงลู่ต้าฟูงั้นหรือ นั่นคือตำแหน่งอะไรกัน หาได้ยากนักที่คุณหนูหนานกงจะงุนงง ทว่านางกลับมิได้เอ่ยถามออกมา สามารถนั่งอยู่ในห้องด้านในเช่นนี้ได้คิดว่าคงไม่ธรรมดา อาภรณ์ที่สตรีผู้นั้นสวมอยู่ก็ดูสูงศักดิ์ องค์หญิงฉังผิงขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเข้ม “พวกโบราณคร่ำครึอีกแล้วหรือ ไม่เห็นหรือว่าเป็นวันดีของคนอื่นเขา” ที่องค์หญิงฉังผิงมีความรู้สึกต่อต้านพวกหัวโบราณคร่ำครึเหล่านั้นใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เดิมฮ่องเต้ก็มิได้คิดจัดการเรื่องของเว่ยจวินมั่วแต่อย่างใด อย่างไรเสียก็ไม่เคยเห็นปีศาจที่ว่าตัวเป็นๆ สักครั้ง ต่อให้เว่ยจวินมั่วจะมิใช่บุตรชายของเว่ยหงเฟย แต่ฮ่องเต้ก็สามารถทำให้เรื่องสงบได้ ถึงเว่ยหงเฟยจะเป็นญาติ แต่จะสู้ธิดาเช่นนางได้หรือ ใครบอกว่าฮ่องเต้ไม่ปกป้อง ฮ่องเต้นั้นเป็นคนที่ปกป้องธิดาที่สุดแล้ว ใครจะคิดว่าพวกหัวโบราณคร่ำครึพวกนี้จะมารุมต่อว่าทำให้เรื่องราวใหญ่โตจนผู้คนทั่วจินหลิงรับรู้กันทั่ว เข้าราชสำนักครั้งใดก็ต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาถกเถียงไปทุกครั้ง ขาดแต่ยังไม่กล่าวว่าองค์หญิงประพฤติตัวนอกรีต ต้องถูกลงโทษประหารเป็นตัวอย่างก็เท่านั้น ไม่ได้สนใจเลยว่าเรื่องราวที่แท้จริงจะเป็นเช่นไร ทำให้อย่างน้อยองค์หญิงฉังผิงไม่มีภาพจำที่ดีต่อพวกหัวโบราณคร่ำครึที่คิดจะเอาชีวิตของนางและบุตรชาย
ทั่วทั้งห้องโถงเกิดบรรยากาศกระอักกระอ่วนขึ้น ต่อให้รู้สึกขัดแย้งต่อคุณหนูใหญ่หนานกงก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางผู้คนเช่นนี้ อย่างไรเสียนี่คืองานเลี้ยงวันคล้ายวันประสูติของพระชายารัชทายาท สร้างเรื่องวุ่นวายเช่นนี้มิใช่การปัดกวาดความสุขของพระชายารัชทายาทออกไปหรอกหรือ ทว่าเว่ยฮูหยินผู้นี้กลับไม่รู้ตัวว่าตนเองผิด เชิดปลายคางและจ้องมองหนานกงมั่วที่นั่งอยู่ตรงหน้า ยังคงเอ่ย “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ไม่เอ่ยอันใดหน่อยหรือ”
สายตาของทุกคนหันมายังหนานกงมั่วโดยพร้อมเพรียง อยากรู้ว่าจวิ้นจู่ผู้นี้จะมีปฏิกิริยาเช่นไร หนานกงมั่วคว้ามือองค์หญิงฉังผิงที่กำลังจะเอ่ยปาก ยืดตัวขึ้น เอ่ยถามกลับไปเสียงเรียบ “มิรู้ว่าเว่ยฮูหยินต้องการให้หนานกงมั่วเอ่ยสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
เว่ยฮูหยินแสยะยิ้มหยัน “เกิดเป็นสตรีไม่เคารพการอบรมสั่งสอน ไม่อยู่นิ่งในบ้านในเรือน หรือว่าเจ้าไม่รู้สึกละอายเลยหรือ”
หนานกงมั่วหัวเราะออกมา “ฝ่าบาทแต่งตั้งข้าขึ้นเป็นซิงเฉิงจวิ้นจู่นั้นเป็นหลักฐานให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่ข้าทำนั้นถูกหรือผิด หรือว่า…เว่ยฮูหยินคิดว่าฝ่าบาทผิดงั้นหรือ” สีหน้าของเว่ยฮูหยินพลันเปลี่ยนแปลง เย้ยหยันเสียงเย็น “เหลวไหลไปเรื่อย เป็นถึงสตรี ไม่ปฏิบัติตามหลักของสตรีนั่นเป็นความผิด” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยตอบ “เว่ยฮูหยินกำลังหมายถึงหลักสามคล้อยตาม สี่คุณธรรมหรือ เรื่องนี้…ข้าเองก็เคยอ่านมาแล้วสองวันกว่าจะจบ ที่บอกว่าอยู่บ้านให้เชื่อฟังบิดา บิดาของข้าเป็นถึงฉู่กั๋วกงแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ เป็นวีรบุรุษร่วมก่อตั้งประเทศ หนานกงมั่วเป็นลูกหลานจวนแม่ทัพ การไปสนามรบด้วยตนเอง นี่มิใช่ปฏิบัติตามบิดาหรอกหรือ บิดาภักดีต่อฝ่าบาท ปกป้องคุ้มกันประเทศ หรือว่าข้าเป็นบุตรีแล้วไม่ควรปฏิบัติตามคำสอนของบิดาเช่นนั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่บิดาของข้ายังไม่คิดตำหนิข้า ไม่รู้ว่าฮูหยินท่านมีสิทธิ์อันใดหรือเจ้าคะ”