แสงเย็นพาดผ่านดวงตาของเว่ยจวินมั่ว หันกลับไปหาเว่ยจวินเจ๋อ เอ่ยถาม “น้องสาม ไยเจ้าจึงเรียกชื่อของคุณหนูจู”
เว่ยจวินเจ๋อชะงัก ไม่เข้าใจทำไมเว่ยจวินมั่วจึงเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมา แต่สายตาเย็นยะเยือกของเว่ยจวินมั่วที่จ้องมาที่เขานั้นทำให้เขารู้สึกว่าหากตนไม่ตอบคำถามนี้ดีๆ คงไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่จะตามมา จูชูอวี้ที่อยู่ด้านข้างชะงัก ลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้นในใจ เว่ยจวินมั่วจ้องมองเว่ยจวินเจ๋อเขม็ง เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง “น้องสาม ไยเจ้าจึงเรียกชื่อคุณหนูจูออกมาในตอนนั้น”
เว่ยจวินเจ๋อใช้ไหวพริบพรั่งพรูคำตอบออกมา “ข้า…ข้ามีใจต่อคุณหนูจู พวกเรามีใจต่อกัน ข้า…ข้าคิดว่าหลานเอ๋อร์เป็นคุณหนูจูดังนั้นจึง…”
ดวงตาเว่ยจวินมั่ววาววับ พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ในเมื่อเรื่องราวชัดเจนแล้ว น้องสามกลับไปเถิด”
เว่ยจวินเจ๋อพ่นลมหายใจ แอบชื่นชมในสติปัญญาของตนเอง เฝิงซื่อรีบเข้าไปประคองเขาขึ้นมา เป็นห่วงจนน้ำตาตก จูชูอวี้รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ แต่เว่ยจวินมั่วราวกับไม่อยากสนใจนาง ออกคำสั่ง “ตระกูลจูสั่งสอนสตรีไม่ถูกวิธี สร้างเรื่องวุ่นวายในงานเลี้ยงวันคล้ายวันประสูติของพระชายารัชทายาท ไล่ออกไป”
“ขอรับ ซื่อจื่อ”
“ซื่อจื่อ ข้า…” จูชูอวี้ยังอยากเอ่ยบางอย่าง น่าเสียดายทหารองครักษ์ไม่ให้โอกาสนางได้พูด จับนางเอาไว้และลากออกไป
จูชูอวี้ถูกลากออกไปทั้งตัวนายและบ่าว จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องและพระชายารองเฝิงก็พาเว่ยจวินเจ๋อกลับออกไปแล้ว ลี่สุ่ยเซวียนพลันกลับคืนสู่ความเงียบสงบ หนานกงมั่วเห็นใบหน้าเรียบตึงของเขา อดยิ้มไม่ได้ เอ่ยถาม “ท่านเป็นอันใดกัน ข้ามิได้โกรธด้วยซ้ำ ท่านโกรธอันใดเล่า” เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว “คนที่วางยาเจ้าเป็นใครกัน บ่าวของจูชูอวี้ไม่มีความสามารถด้านนี้”
หนานกงมั่วตอบด้วยท่าทางเกียจคร้าน “ฝีมือไม่เลว น่าเสียดาย…พิษนั้นไม่ได้เรื่อง ข้าเดินขึ้นมาก็ได้กลิ่นแล้ว จะติดกับได้อย่างไรกัน แต่ข้าได้ยินหลานเอ๋อร์คนนั้นเรียกนางว่าเซียน บางทีอาจเป็นคนในยุทธภพก็ได้” คนทั่วไปคงไม่มีฉายาเป็นเซียนหรอก
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “เซียนซิ่วสุ่ย ข้ารู้แล้ว”
หนานกงมั่วยิ้มจนตาหยี “จูชูอวี้ผู้นี้นับว่ารักท่านมาก จนวางแผนการเช่นนี้ได้ แต่ว่า…ไยนางจึงต้องทำกับข้าเล่า หรือว่านางคิดว่าหากท่านไม่แต่งกับข้าแล้วจะไปแต่งกับนางเช่นนั้นหรือ” หนานกงมั่วรู้สึกว่าตนเองโดนทำร้าย ไม่ใช่มีคำกล่าวว่ามีแต่สตรีโง่เขลาเพียงเท่านั้นที่คิดจัดการกับสตรี สตรีฉลาดล้วนจัดการกับบุรุษหรอกหรือ จูชูอวี้ผู้นี้ดูไปแล้วก็ไม่โง่นะ
“ฮ่าๆ หากนางจัดการเจ้าได้ นางยังมีโอกาสแต่งงานกับเว่ยจวินมั่ว หากไม่จัดการเจ้า แม้แต่โอกาสก็ไม่มี” น้ำเสียงเบิกบานดังขึ้นจากด้านนอก ทั้งสองมองเห็นลิ่นฉังเฟิงกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง
“ลิ่นฉังเฟิง ท่านมาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร”
ลิ่นฉังเฟิงไม่พอใจ “ข้ายังเป็นคุณชายตระกูลลิ่น มาร่วมงานเลี้ยงวันคล้ายวันประสูติพระชายารัชทายาทนับว่าแปลกด้วยหรือ แต่หนานกงมั่ว เจ้า…แม้แต่มาร่วมงานเลี้ยงยังเจอเรื่องเช่นนี้ อือฮึ…ประโยคนั้นเอ่ยเยี่ยงไรนะ ความงามเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะใช่หรือไม่”
สายตาตักเตือนของเว่ยจวินมั่วกวาดมองลิ่นฉังเฟิง กล่าว “ในเมื่อเจ้าว่างถึงเพียงนี้ ก็ไปตามหาเซียนซิ่วสุ่ยมา อย่างช้าพรุ่งนี้ข้าต้องได้เห็นนาง”
“เซียนซิ่วสุ่ยหรือ เจ้าตามหานางทำไม เจ้าชอบนางหรือ” ลิ่นฉังเฟิงตกตะลึง
“ลิ่นฉังเฟิง” เว่ยจวินมั่วจ้องเขาอย่างตักเตือนอีกครั้ง
ลิ่นฉังเฟิงรีบหุบปากฉับ ดวงตาน่าสงสารมองไปยังหนานกงมั่ว หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “คาดว่าเซียนซิ่วสุ่ยน่าจะมาที่จินหลิงน่ะ ข้าก็อยากเรียนรู้จากนางสักนิด”
“เรียนรู้หรือ เรียนรู้เยี่ยงไร” คนหนึ่งใช้พิษ คนหนึ่งเรียนการแพทย์ ก็ได้…เรียนรู้กันได้จริงๆ
เว่ยจวินมั่วจับมือหนานกงมั่วเอาไว้ เอ่ยเสียงเรียบ “ตัดสองมือนางมา”
“…” บอกว่าอยากเรียนรู้นางมิใช่หรือ ให้ตัดมา งั้นไม่เรียนรู้แล้วหรือ
สบมองกับดวงตาไม่พอใจของเว่ยจวินมั่ว ลิ่นฉังเฟิงพยักหน้ารู้กัน “รู้แล้วรู้แล้ว ขอเพียงเซียนซิ่วสุ่ยอยู่จินหลิง รับรองหานางเจอแน่” พวกจอมยุทธ์พวกนี้นับวันยิ่งบ้าเลือด จินหลิงเมืองใต้เท้าโอรสสวรรค์ยังกล้าก่อเรื่องเหลวไหล สมควรถูกตัดแล้ว
งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันประสูติของพระชายารัชทายาทนับว่าสำเร็จลุล่วงด้วยดี นอกจากมีคุณหนูคนหนึ่งถูกไล่ออกจากจวนรัชทายาทก่อนงานเลี้ยงจะเริ่มขึ้น อีกทั้งยังมีคุณชายเว่ยสามถูกหามกลับจวน คนเมืองหลวงชอบนินทาเป็นที่สุด แม้ไม่กล้านินทาไปถึงการปกครอง แต่เรื่องส่วนตัวของผู้มีอำนาจทั้งหลายนั้นนับว่าเป็นหัวข้อที่ดีในวงน้ำชาของคนเมืองหลวง ยังไม่มีใครปล่อยข่าวออกมา ผู้คนก็ผูกเรื่องด้วยตนเองจนออกมากว่าเจ็ดแปดฉบับเสียแล้ว
เพียะ! ฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าจูชูอวี้โดยไร้ความปรานี กงอวี้เฉินจ้องมองสตรีตรงหน้า เอ่ยด่า “โง่เง่า! ใครใช้ให้เจ้าแตะต้องหนานกงมั่ว”
จูชูอวี้ยกมือขึ้นกุมใบหน้าที่เจ็บจนชา เงยหน้าหัวเราะเสียงเย็น “หากข้าทำลายหนานกงมั่ว ท่านจะไม่สมปรารถนาหรืออย่างไร หากหนานกงมั่วกลายเป็นหญิงชั้นต่ำ หนานกงไหวก็คงไม่อาจรังเกียจว่าเจ้ามีฐานะอย่างไรแล้ว ขอเพียงมีคนสู่ขอหนานกงมั่ว เขาก็ควรจะยิ้มได้แล้ว”
เพียะ! ฟาดลงมาอีกครั้ง “ดูเหมือนเจ้าจะเลี้ยงไม่เชื่อง ข้าขอเตือนเจ้า ห้ามแตะต้องหนานกงมั่วอีก นางเป็นคนของข้า เข้าใจหรือไม่ นอกจากนี้…เจ้าทำสำเร็จแล้วหรือ ก็เพราะเจ้าตัดสินใจเอง เสียโอกาสที่ข้าวางเอาไว้อย่างไร้ประโยชน์ หากเจ้าทำสำเร็จ ไม่แน่ข้าอาจจะชื่นชมฝีมือของเจ้า น่าเสียดาย…ละครฉากเล็กๆ นี้ เจ้ายังกล้าสร้างมันขึ้นมา ข้าไม่เคยบอกเจ้าถึงความสัมพันธ์ของหนานกงมั่วและเสียนเกอหรือ ฝีมืออย่างเซียนซิ่วสุ่ยนั่นจะไปทำอะไรนางได้”
จูชูอวี้กัดฟันไม่เอ่ยสิ่งใด นางไม่รู้จริงๆ ว่าแม้แต่จอมยุทธ์ผู้มีชื่อเสียงเรื่องพิษดังก้องไปทั่วยุทธภพก็ยังทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ แม้รู้ว่าเสียนเกอโด่งดังเป็นหมออันดับหนึ่ง แต่จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่เคยเจอเสียนเกอ แน่นอนว่าย่อมมิรู้ว่าหมอเทวดาผู้นี้เก่งกาจเพียงใด กงอวี้เฉินยิ้มเย็นตบแก้มนางไปเบาๆ เอ่ย “หากไม่เห็นว่าเจ้ายังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง ข้าคงบีบเจ้าให้ตายเสียตอนนี้”
เงียบไปชั่วครู่ จูชูอวี้หลุบตาลง เอ่ย “เพราะข้าประมาทศัตรูเกินไป ต่อไปจะไม่พลาดเช่นนี้อีก ส่วนเว่ยจวินมั่ว…เรื่องเว่ยจวินมั่วนั้นข้าขอยอมแพ้แล้ว” เดิมทีนางก็มิได้รักเว่ยจวินมั่วอย่างแท้จริง เพียงให้ความสำคัญกับอำนาจเบื้องหลังของเว่ยจวินมั่วเพียงเท่านั้น ในเมื่อไม่เป็นตามที่ใจต้องการเช่นนั้นจึงละทิ้งมันไปเสีย ก่อนหน้านี้นางถูกกระตุ้นโดยหนานกงมั่ว หากจะบอกว่าหมกมุ่นอยู่กับเว่ยจวินมั่วคงต้องบอกว่าหมกมุ่นอยู่กับการเอาชนะหนานกงมั่วเสียมากกว่า ตอนนี้…นางยังไม่มีคุณสมบัติพอจะไปสู้กับหนานกงมั่วได้ ถอยสักก้าวก่อนจะเป็นไร
กงอวี้เฉินยิ้มเย็น “ตอนนี้มิใช่ปัญหาว่าเจ้าอยากแต่งหรือไม่แต่งกับเว่ยจวินมั่ว ตอนนี้…ต่อให้เจ้าไม่ต้องการ อย่างไรก็ต้องแต่งเข้าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องแล้ว”
จูชูอวี้เงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ กงอวี้เฉินยิ้ม เอ่ยตอบ “เห็นได้ชัดว่าเว่ยจวินมั่วรู้สึกว่าเจ้าเหมาะสมกับน้องสามของเขา กำลังชักใยพวกเจ้าอย่างแข็งขัน ยินดีด้วยอวี้เอ๋อร์น้อย ต่อจากหนานกงซู เจ้ากำลังจะกลายเป็นคุณหนูสูงส่งคนที่สองที่ต้องแต่งเข้าไปเป็นอนุภรรยา ยังดีที่หนานกงซูยังได้แต่งกับหวงจั่งซุนเย่ว์จวิ้นอ๋อง เจ้าแย่สักหน่อย คุณหนูตระกูลจูเลือกแต่งกับบุตรชายเชื้อสายรองจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องเสียแล้ว”