“ข้าน้อยลาแล้วเจ้าค่ะ”
หญิงสาวก้าวถอยออกไป ซ้ำยังใจดีช่วยปิดประตูให้ สุดท้ายไม่ลืมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จริงสิ คุณชาย บนโต๊ะมีตัวช่วยเสริมกำลังที่ยอดฝีมือผู้นั้นฝากเอาไว้ให้ คุณชายจะลองดูหรือไม่”
เว่ยจวินเจ๋อเหลือบตามองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเสื่อนุ่ม ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มร้าย “คุณหนูใหญ่ตระกูลหนานกงหรือ ซิงเฉิงจวิ้นจู่…หึๆ…เจ้าก็เหมือนน้องสาวของเจ้า มีวาสนาเป็นได้แค่อนุเท่านั้น” มองใบหน้างดงามของหญิงสาว ความโลภและความปรารถนาเกิดขึ้นในดวงตาคู่นั้น น้ำเสียงน่าเกลียดและเหยียดหยันดังขึ้นอีก “ข้าอยากรู้นัก หากว่าที่ภรรยาของเว่ยจวินมั่วกลายเป็นหญิงแพศยาหน้าไม่อายขึ้นเตียงกับชายอื่น เขาจะมีสีหน้าเช่นไรกันนะ อีกทั้งคุณหนูใหญ่หนานกงผู้เย่อหยิ่ง…รอวันที่เจ้าถูกส่งเข้าเรือนข้ามาเป็นอนุ มองเห็นเว่ยจวินมั่วอยู่ทุกวัน จะรู้สึกเช่นไรกันเล่า”
เพียงนึกถึงความอัปยศเมื่อครั้งอยู่ตานหยางที่หญิงผู้นี้มอบให้เขา เว่ยจวินเจ๋อก็อดไม่ได้บีบใบหน้างดงามนั้นจนบิดเบี้ยว ความอับอายที่สตรีผู้นี้มอบให้เขา เอาคืนได้จากร่างของสตรีผู้นี้เพียงเท่านั้น
หันกลับไปมองกระถางเครื่องหอมบนโต๊ะและของบางอย่างข้างกระถางเครื่องหอม ใบหน้าของเว่ยจวินเจ๋อมีรอยยิ้มประหลาดปรากฏขึ้น เดินเข้าไปจุดเครื่องหอมช้าๆ
กลิ่นหอมประหลาดลอยคละคลุ้งกระตุ้นความอยากให้มีมากขึ้น เว่ยจวินเจ๋อสูดหายใจเข้าลึกเฮือกใหญ่ก่อนจะหันกลับมา สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือรอยยิ้มขำขันในดวงตาคู่นั้น…
เซี่ยเพ่ยหวนเดินไปมาในสวนอย่างเบื่อหน่าย เดิมทีเป็นเพราะสถานะของนางทำให้นางไม่ค่อยเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้บ่อยนัก ทว่าเมื่อได้รู้จักกับหนานกงมั่วทำให้นางคิดได้ในหลายๆ เรื่อง อีกทั้งมีหนานกงมั่วเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยจึงรู้สึกว่าไม่น่าเบื่อเท่าใดนัก แต่ไม่คิดว่าหนานกงมั่วกลับถูกองค์หญิงทั้งสองดึงตัวเอาไว้ ซุนเหยียนเอ๋อร์ที่พึ่งรู้จักที่เรือนจี้ชั่งก็ไม่สบายจึงไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงด้วย เหลือนางอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังด้วยความเบื่อหน่าย
“คุณหนูเซี่ย”
เซี่ยเพ่ยหวนหันกลับไป คิ้วเรียวขมวดมุ่น ผู้ที่เดินนำหน้ามาคือหย่งชังจวิ้นจู่ คนอื่นๆ ก็ล้วนเป็นคนที่รู้จักกันดี จะเรียกว่าเป็นคนคุ้นเคยก็ยังได้ เพียงแต่ตั้งแต่ที่นางถูกยกให้แต่งงานกับองค์ชายสิบเก้า หลังจากองค์ชายสิบเก้าจากไปก็ไปมาหาสู่กับคนเหล่านี้น้อยลง บางครั้งเมื่อได้เจอกันโดยบังเอิญตามงานเลี้ยงก็แสร้งทำเป็นไม่รู้จักนาง และยังใช้น้ำเสียง ‘ปลอบโยน’ พูดถึงเรื่องโชคร้ายของนางอีกด้วย นั่นจึงเป็นเหตุให้เซี่ยเพ่ยหวนไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงอีก เพียงไม่รู้ว่าเวลานี้ไยพวกนางจึงเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนเช่นนี้
“มีเรื่องอันใด”
“คุณหนูเซี่ยกำลังตามหาซิงเฉิงจวิ้นจู่หรือ” หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
เซี่ยเพ่ยหวนมิได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ทำเพียงพยักหน้าเบาๆ
“เมื่อครู่พวกเราเห็นซิงเฉิงจวิ้นจู่เหมือนจะเดินไปทางนั้น” หญิงสาวอีกคนชี้ไปยังถนนเส้นเล็กฝั่งทิศตะวันออกของสวน “เพียงแต่ไม่รู้ว่าทางนั้นคือที่ใด”
หย่งชังจวิ้นจู่ขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจขึ้นมา “ทางนั้นเป็นลี่สุ่ยเซวียน ลี่สุ่ยเซวียนด้านข้างคือเรือนซง เดิมเป็นที่อยู่ของพี่รอง ตั้งแต่พี่รองแยกจวนออกไปก็ไม่มีใครไปที่นั่นแล้ว หนานกงมั่ววิ่งไปที่นั่นทำไมกัน”
“ได้ยินมาว่าลี่สุ่ยเซวียนเป็นสถานที่ชมดอกบัวของจวนรัชทายาทไม่ใช่หรือ บางทีซิงเฉิงจวิ้นจู่อาจไปชมดอกบัวก็เป็นได้ พวกเราก็ไปชมกันเถิด”
หย่งชั่งจวิ้นจู่ส่งเสียงไม่พอใจ “ยามนี้มีดอกบัวที่ไหนเล่า แต่ก็ดีเหมือนกัน ข้าก็อยากรู้ หนานกงมั่วไปทำอันใดที่ลี่สุ่ยเซวียน”
เซี่ยเพ่ยหวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สตรีที่ด้านข้างเริ่มเกลี้ยกล่อมกันเองเนื่องจากอยากไปลี่สุ่ยเซวียน บางส่วนในนั้นใช่จะไม่รู้ว่าหย่งชังจวิ้นจู่ไม่พอใจอยากหาเรื่องหนานกงมั่ว เซี่ยเพ่ยหวนกวาดตามองผู้คนรอบข้าง ก่อนที่สายตาจะพุ่งตรงไปยังหญิงสาวในอาภรณ์สีเหลืองอ่อนดูอ่อนหวานที่กำลังยืนยิ้มอยู่ด้านหลังสุด ขมวดคิ้วเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ทุกท่านสนิทกับมั่วเอ๋อร์มากเลยหรือ”
ทุกคนชะงัก ยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เสียงอ่อนหวานจึงเอ่ยขึ้น “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ได้รับการแต่งตั้งโดยฝ่าบาท เป็นแบบอย่างของสตรีในห้องหอ ตัวข้าเองย่อมอยากผูกมิตรเอาไว้บ้าง”
“คุณหนูจูหรือ” เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยเสียงเรียบ จูชูอวี้ชะงัก ไม่คิดว่าเซี่ยเพ่ยหวนจะรู้จักตนเอง จูชูอวี้นับว่ามีชื่อเสียงในหมู่สตรีในจินหลิงอยู่บ้าง ทว่า หนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจูและตระกูลเซี่ยไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว สอง คือหลายปีมานี้น้อยครั้งที่เซี่ยเพ่ยหวนจะปรากฏตัวเข้าร่วมงานเลี้ยง ดังนั้นทั้งสองจึงไม่เคยพบกันมาก่อน
จูชูอวี้ยิ้มบางๆ เอ่ย “ได้ยินชื่อเสียงคุณหนูเซี่ยสามมานาน”
หย่งชังจวิ้นจู่เริ่มหงุดหงิด “สรุปว่าพวกเราจะไปหาหนานกงมั่วหรือฟังพวกเจ้าคุยกันอยู่ที่นี่”
จูชูอวี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าต้องฟังจวิ้นจู่”
หย่งชังจวิ้นจู่จึงส่งเสียงพึงพอใจขึ้นมา กล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไปกันเถิด ช่างไร้กฎเกณฑ์เสียจริง มาเป็นแขกที่บ้านคนอื่นยังวิ่งวุ่นไปทั่ว”
เซี่ยเพ่ยหวนเดินตามหลัง เอ่ยเสียงเรียบ “คล้ายกับไม่เคยมีใครบอกว่าลี่สุ่ยเซวียนเป็นสถานที่ต้องห้ามในจวนรัชทายาทนะ”
เดิมหย่งชังจวิ้นจู่ก็ไม่ถูกชะตาเซี่ยเพ่ยหวนอยู่แล้ว เห็นว่าฐานะแตกต่างกันจึงทำเพียงส่งเสียงหยันแล้วไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
เดินไปพร้อมกับคนอื่นๆ เซี่ยเพ่ยหวนรู้สึกสังหรณ์ใจว่ามันไม่ถูกต้อง เพียงแต่คนอื่นๆ เริ่มสนใจ อีกทั้งมีหย่งชังจวิ้นจู่นำไปนางจึงมิอาจห้ามได้ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เซี่ยเพ่ยหวนเรียกสาวใช้มาใกล้ กระซิบออกคำสั่งไปเบาๆ สาวใช้พยักหน้ารีบแยกตัวออกไป จูชูอวี้ที่เดินตามหลังแน่นอนว่าเห็นภาพนั้นอยู่ในสายตา ดวงตาฉายแววเย้ยหยัน ตามคนไปเถิด… ตามมายิ่งมากยิ่งดี ถึงตอนนั้นยิ่งน่าดู…
กลุ่มหญิงสาวมุ่งหน้าพูดคุยหยอกล้อตรงไปยังลี่สุ่ยเซวียน ระหว่างทางมีคนมองมาด้วยความสนอกสนใจและตามมาในที่สุด จวนรัชทายาทนับว่ากว้างใหญ่ไม่น้อย แต่ผู้ที่เคยมายังจวนรัชทายาทหลายครั้งย่อมรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดน่าสนใจแล้ว ดังนั้น สตรีที่อายุมากหน่อยแน่นอนว่าต้องอยากไปชมละครแก้เบื่อ ส่วนสตรีที่อายุน้อยหน่อยเมื่อเห็นว่าที่ใดครึกครื้นก็มุ่งไปที่นั่น ทำให้มีกลุ่มคนมากมายพากันเดินไปที่ลี่สุ่ยเซวียน หากยังไม่ทันได้เดินเข้าไปพลันได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังออกมา หย่งชังจวิ้นจู่ผู้เดินนำอยู่ด้านหน้าชะงักกึก ดวงตาฉายแววสงสัย ขมวดคิ้วถาม “นี่กำลังทำอันใดกันรึ”
ไม่นานเสียงนั้นก็ดังออกมาอีกครั้ง
ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนเป็นสตรีในห้องหอยังมิออกเรือน ยังไม่เข้าใจเท่าใดนักว่าเสียงแบบนั้นหมายถึงอันใด ทว่ากลับรู้สึกแปลกและทำตัวไม่ถูกขึ้นมา เท้าที่คิดก้าวเดินเข้าไปหยุดชะงักลง ใครที่ไม่ได้โง่ย่อมรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ปกติ หย่งชังจวิ้นจู่เริ่มหงุดหงิด พวกนางหลายคนอยู่ด้านล่าง หนานกงมั่วได้ยินก็ควรรีบลงมา ทำอันใดอยู่ด้านบนนั้นกันแน่
“ขึ้นไปดู” หย่งชังจวิ้นจู่เดินนำขึ้นไป
เซี่ยเพ่ยหวนขมวดคิ้ว แม้จะกังวลทว่ายังคงเดินตามไป คนอื่นๆ นอกจากจูชูอวี้แล้วยังมีคนที่มีความกล้ามากหน่อยเดินตามขึ้นไปด้วย เมื่อเดินขึ้นมาแล้ว เสียงนั้นยิ่งชัดเจนมากขึ้น เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงร้องของสตรี ทุกคนแยกไม่ออกว่าเสียงนั้นมีความสุขหรือกำลังเจ็บปวด ทว่าใบหน้ากลับเห่อร้อนขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ