หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1 – ตอนที่ 197 เจตนาร้ายจากพวกหัวโบราณ (2)

ตอนที่ 197 เจตนาร้ายจากพวกหัวโบราณ (2)

มองใบหน้าซูบผอมของเว่ยฮูหยินที่ตึงขึ้น หนานกงมั่วจึงเอ่ยต่อ “หากเอ่ยถึงสี่คุณธรรมล่ะก็ ขอเว่ยฮูหยินได้โปรดชี้แนะด้วย วาจาของสตรี[1]หมายถึงเช่นไรหรือเจ้าคะ”

เว่ยฮูหยินเองมาจากครอบครัวนักปราชญ์ แน่นอนสิ่งนี้ย่อมไม่เป็นปัญหา เอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ “ไม่พูดคำหยาบ รู้กาละเทศะ ไม่ชังผู้อื่น นั่นคือวาจาของสตรี”

“โอ้” หนานกงมั่วช้อนตาขึ้น คล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้น…เมื่อครู่ที่เว่ยฮูหยินเอ่ยต่อหน้าทุกคน ให้ร้ายจวิ้นจู่เช่นข้าในงานเลี้ยงวันคล้ายวันประสูติของพระชายารัชทายาท หมายความเช่นไรหรือ นี่คือฮูหยินของกวงลู่ต้าฟูผู้เป็นแบบอย่างที่ดีของสตรีหรอกหรือเจ้าคะ หนานกงมั่วเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”

“เจ้า!” เว่ยฮูหยินเป็นใบ้ขึ้นมากะทันหัน มองบรรยากาศแปลกๆ และสายตาทุกคนที่มองมาที่ตนเอง รู้สึกอายจนแทบไม่อยากเงยหน้า เกลียดหนานกงมั่วที่คารมคมคายจนตนนั้นตอบโต้มิได้ เนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธแค้น “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ชั่งคารมคมคายยิ่งนัก” หนานกงมั่วตอบเสียงเรียบ “ไม่ลิ้นยาวเท่าฮูหยินหรอกเจ้าค่ะ”

พรืด! ภายในห้องโถงไม่รู้ใครหลุดขำออกมา หนานกงมั่วหลอกด่าเว่ยฮูหยินว่าเป็นสตรีขี้นินทาชาวบ้านชัดๆ สีหน้าเว่ยฮูหยินพลันเปลี่ยน ขณะกำลังจะเอ่ยปาก พระชายารัชทายาทที่นั่งอยู่ด้านหน้าสีหน้าพลันเข้มขึ้น เอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจ “พอแล้ว เว่ยฮูหยิน…ซิงเฉิงจวิ้นจู่เป็นแขกที่ข้าเชิญมา เจ้ามีอันใดไม่พอใจหรือไม่” พระชายารัชทายาทเองก็มิใช่คนโง่ อย่าพึ่งเอ่ยถึงว่านางมีความรู้สึกเช่นไรต่อหนานกงมั่ว แม้แต่ฮ่องเต้ยังพึ่งแต่งตั้งหนานกงมั่วเป็นจวิ้นจู่ นางที่เป็นพระชายารัชทายาทจะสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้แก่หนานกงมั่วได้อย่างไร เช่นนั้นคงเป็นการไม่เคารพต่อฮ่องเต้ อีกทั้งยังเป็นการไม่กตัญญูในฐานะลูกสะใภ้อีกด้วย นอกจากนี้สำหรับเว่ยฮูหยินผู้ก่อความวุ่นวายในงานเลี้ยงของนาง นางย่อมต้องไม่พึงพอใจอยู่แล้ว

เมื่อเห็นว่าพระชายารัชทายาทเกิดโทสะ แม้เว่ยฮูหยินจะไม่พอใจเพียงใดทว่าจำต้องหุบปากลง มิเช่นนั้นหากพระชายารัชทายาทไล่นางออกจากงานเลี้ยง เช่นนั้นคงได้ขายหน้าจนถึงตระกูลเป็นแน่

เมื่อตักเตือนเว่ยฮูหยินแล้ว พระชายารัชทายาทจึงหันกลับไปยิ้มให้ทุกคน “งานเลี้ยงยังต้องรออีกชั่วครู่ ทุกคนออกไปเล่นที่สวนดีหรือไม่ เด็กสาวๆ จะได้อยู่ด้วยกัน อยู่กับพวกเราแบบนี้จะเบื่อเอาได้”

ทุกคนขานตอบรับพร้อมเพรียง ลูกสะใภ้ของพระชายารัชทายาทเชิญแขกออกไปยังสวนด้านนอก ขณะที่หยวนซื่อกลับห้องไปกับพระชายารัชทายาทเพื่อเปลี่ยนชุด

องค์หญิงฉังผิงจูงมือหนานกงมั่วเดินตามหลังคนอื่นๆ ไป สตรีคนอื่นๆ ย่อมรู้ว่าองค์หญิงฉังผิงคงมีเรื่องต้องการคุยกับหนานกงมั่วจึงแยกตัวออกไปไม่รบกวนทั้งสอง มีเพียงองค์หญิงหลิงอี๋ที่เดินมาด้วยเท่านั้น

“จวนรัชทายาทนี่ก็ไม่มีอะไรให้ชมมากนัก พี่สาว เราไปนั่งด้านหน้ากันเถิด” องค์หญิงหลิงอี๋เอ่ยด้วยรอยยิ้ม ที่ด้านหน้าไม่ไกลนั้นเป็นสวนดอกไม้เล็กๆ ที่ข้างกันมีโต๊ะและเก้าอี้หินตั้งอยู่ องค์หญิงฉังผิงพยักหน้า “ก็ดีเหมือนกัน” ทั้งสามเดินไปนั่งที่โต๊ะ สาวใช้ที่เดินตามหลังมารีบยกชาและขนมมาวาง เพื่องานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันประสูติของพระชายารัชทายาทจึงมีการเตรียมคนไว้จำนวนมาก แม้แต่สถานที่ไม่สะดุดตาตรงนี้ยังมีคนคอยปรนนิบัติ หากต้องการสิ่งใดไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเลย

องค์หญิงหลิงอี๋ดื่มชาแล้วพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะหันไปมองสำรวจหนานกงมั่ว จากนั้นหันไปยิ้มกับองค์หญิงฉังผิง “แม้สตรีแซ่เว่ยผู้นั้นจะน่าโมโห ทว่ามีบางคำที่นางกล่าวถูกแล้ว พี่ห้า สะใภ้ผู้นี้ของท่านช่างคารมคมคายหาได้ยากยิ่ง ก่อนหน้านี้มองดูนึกว่าเป็นเด็กเงียบๆ ข้ายังคิดอยู่เลยว่า จวินมั่วก็ไม่ชอบพูด เด็กสองคนที่ไม่ชอบพูดเมื่อมาอยู่ด้วยกัน…”

องค์หญิงฉังผิงตีนางเบาๆ อย่างไม่พอใจ เอ่ย “ต่อหน้าเด็กมาเอ่ยอันใดเช่นนี้เล่า หากมั่วเอ๋อร์เหมือนคุณหนูเหล่านั้นคงจะโดนรังแกไปแล้ว ส่วนเว่ยฉงนั่น…ตระกูลเว่ยมีปัญหากับจวนฉู่กั๋วกงหรือจวินเอ๋อร์หรืออย่างไร” มิเช่นนั้นไยจึงเลือกก่อกวนในเวลาเช่นนี้ องค์หญิงหลิงอี๋โบกมือ “พี่ห้าท่านไม่ออกจากเรือนมานานเกินไปจึงไม่รู้ คนผู้นี้แหละ เว่ยฉงที่ว่านั่นใครๆ ต่างก็เกลียดทั้งนั้น”

“อย่างไรหรือ” ไม่เพียงองค์หญิงฉังผิงเท่านั้นที่สงสัย หนานกงมั่วเองยังรู้สึกสนใจขึ้นมา

องค์หญิงหลิงอี๋ส่งเสียงหึเบาๆ เอ่ย “พี่ห้ายังจำตาแก่เว่ยฉงผู้นั้นได้หรือไม่”

องค์หญิงฉังผิงพยักหน้า สีหน้าไม่ดี ในตอนนั้นคนผู้นี้เป็นหัวโจกกล่าวหานาง หนึ่งในคนที่แทบบีบนางให้ตายนั้นมีตาแก่ผู้นี้ด้วย หรือว่า…เว่ยฮูหยินผู้นี้มิได้พุ่งเป้ามาที่มั่วเอ๋อร์ ทว่าเป็นนางเองอย่างนั้นหรือ

องค์หญิงหลิงอี๋เอ่ย “ตาแก่นั่นถือตัวคิดว่าตนมีคุณธรรมสูงส่ง ปากพาหาเรื่องไปเรื่อย ไม่กล่าวหาคนนี้ก็กล่าวหาคนนั้น เสด็จพ่อเบื่อเขาไม่ไหวแล้ว เขายังเป็นผู้นำวงการวรรณกรรมนั่นด้วย ราวกับตนเองเก่งนักหนา เสด็จพ่อจึงจำต้องให้ตำแหน่งกวงลู่ต้าฟูจอมปลอมนี่กับเขา เพื่อมิให้เขามาวุ่นวาย ตาเฒ่านั่นทำให้เสด็จพ่อเบื่อหน่ายแล้วยังไม่รู้ตัวอีก ทำตัวเป็นคนตรงไปตรงมา ทำอย่างกับตนเองนั้นเก่งที่สุดอยู่ได้ เหล่านักปราชญ์คร่ำครึนั่นก็บูชาเขาไม่ลืมหูลืมตา ตาเฒ่านี่…แก่จนอายุเจ็ดแปดสิบปีแล้ว ยังกล้าแต่งภรรยาอายุสิบเจ็ดสิบแปดอีก ช่างเป็นคนแก่ที่ไม่น่านับถือเสียจริง หลายปีมานี้เว่ยฮูหยินก็เริ่มทำตัวหาเรื่องคนเขาไปเรื่อยเหมือนตาแก่นั่นแล้ว”

เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงหลิงอี๋ก็ไม่ชอบเว่ยฉงผู้นี้ ขณะที่เอ่ยก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตาไปมาด้วย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูก องค์หญิงฉังผิงพยักหน้า ตอบ “ข้าก็จำได้…เว่ยฉงคงจะอายุไม่น้อยแล้ว”

“มิใช่ไม่น้อย แก่เกินไปที่จะเป็นปู่ของเว่ยฮูหยินผู้นั้นเสียด้วยซ้ำไป เห็นว่าเว่ยฮูหยินเป็นเช่นนั้น ความจริงปีนี้นางอายุพึ่งจะยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีเพียงเท่านั้น ได้ยินมาว่าเมื่อครั้งยังเป็นสตรีในห้องหอยังไม่ออกเรือนนางอ่อนโยนอ่อนหวานเป็นคุณหนูอยู่ในกรอบ นี่พึ่งออกเรือนมาไม่ถึงสิบปีก็กลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว”

องค์หญิงฉังผิงส่งเสียงหยัน “ต่อให้นางไม่พอใจก็ไม่ควรมาทำลายชื่อเสียงผู้อื่นเช่นนี้ มั่วเอ๋อร์ยังไม่เคยหาเรื่องนางเลยด้วยซ้ำ”

องค์หญิงหลิงอี๋ยิ้มขำ “แล้วอย่างไรเล่า ก็แค่ริษยาเท่านั้น เด็กมั่ว อย่าไปเหมือนคนมีความรู้พวกนั้น พวกเขาเพียงอาศัยว่าอ่านหนังสือมากกว่าเราเพียงสองเล่ม ดวงตาก็สูงคับฟ้าเสียแล้ว คิดว่าโลกใบนี้มีพวกเขาเป็นต้นแบบ แม้แต่นักปราชญ์คร่ำครึเหล่านั้นยังวิจารณ์ว่าเชื้อพระวงศ์ของเราเกิดจากรากหญ้า เสด็จพ่อก็มิอาจทำอันใดพวกเขาได้ จะสังหารทิ้งทั้งหมดคงไม่ได้กระมัง ขอเพียงเจ้าดีกว่าพวกเขา พวกเขาพูดสิ่งใดมาย่อมไร้ค่า ช่างน่ารังเกียจเป็นที่สุด องค์หญิงเช่นข้ามิสนใจพวกปากมากขี้นินทาพวกนั้นหรอก”

หนานกงมั่วยิ้มออกมา “ขอบพระทัยองค์หญิงที่ช่วยชี้แนะ มั่วเอ๋อร์จะจำเอาไว้เพคะ” สำหรับนิสัยขององค์หญิงหลิงอี๋ผู้นี้ หนานกงมั่วชื่นชอบเป็นที่สุด เชื้อพระวงศ์เหล่านี้ไม่เคยขาดคนฉลาด แต่ผู้ที่เปิดเผยเช่นองค์หญิงหลิงอี๋ผู้นี้นั้นมีน้อยทีเดียว จุดนี้องค์หญิงฉังผิงยังสู้น้องสาวมิได้ด้วยซ้ำ เพียงแต่ประสบการณ์ขององค์หญิงฉังผิงและองค์หญิงหลิงอี๋นั้นคงนำมาเปรียบกันมิได้

“น้องเจ็ดกล่าวไม่ผิดเลย” องค์หญิงฉังผิงกล่าว “คนพวกนั้น…ยอมทะเลาะด้วยก็นับว่าไว้หน้าพวกเขาแล้ว”

หนานกงมั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเรื่องอื่น องค์หญิงฉังผิงและองค์หญิงหลิงอี๋ก็เปลี่ยนตามไปด้วยและไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก

“พี่สาว” รอจนกระทั่งองค์หญิงฉังผิงและองค์หญิงหลิงอี๋ไปพักผ่อน หนานกงมั่วจึงมีเวลาไปหาคนที่ตนเองสนิทสนม ก่อนหน้านี้มองเห็นเซี่ยเพ่ยหวนแล้ว เพียงแต่ต้องพูดคุยเป็นเพื่อนองค์หญิงทั้งสองจึงทำได้เพียงพยักหน้ายิ้มทักทาย ขณะที่ยังไม่ทันหาเซี่ยเพ่ยหวนเจอ กลับถูกหนานกงซูขวางเอาไว้ก่อน ด้านข้างหนานกงซูนั้นยังคงเป็นเจิ้งซื่อและหลินซื่อ มองเห็นดวงตาแดงก่ำของหนานกงซูและเจิ้งซื่อ เห็นได้ชัดว่าพึ่งร้องไห้มา

———————–

[1] วาจาของสตรี หนึ่งในเนื้อหาของสี่คุณธรรม หมายถึงการพูดจาสุภาพไพเราะ นุ่มนวล และรู้จักกาลเทศะ

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

Status: Ongoing

นิยายรักย้อนยุค ว่าด้วยการแก้แค้นของหมอหญิงมือสังหาร และแต่งงานกับบุรุษสุดประหลาด!

เมื่อมารดาสิ้นใจและตนถูกไล่ให้มาอยู่หมู่บ้านบรรพบุรุษ เพราะความลำบากและคับแค้นใจจึงทำให้ หนานกงชิง คุณหนูคนโตแห่งตระกูลหนานกงจากโลกนี้ไป

ร่างของนางกลับถูกแทนที่ด้วยวิญญาณของ หนานกงมั่ว นักฆ่าสาวมือฉกาจแห่งเอเชีย เมื่อได้รับชีวิตใหม่หนานกงมั่วก็ได้กราบอาจารย์ เรียนวิชาแพทย์ ใช้ชีวิตอิสระเสรีตามที่ตนหวัง พร้อมรับใบสั่งสังหารคนบ้างเป็นครั้งคราว… จนเมื่อราชโองการพระราชทานสมรสมาถึงชีวิตของนางก็ถึงคราวพลิกผัน!

เล่าลือกันว่าจวิ้นอ๋องว่าที่สามีของนาง เว่ยจวินมั่ว แม้จะมียศสูงศักดิ์แต่เพราะดวงตาแปลกประหลาดสีม่วงและการคลอดก่อนกำหนดทำให้ชาติกำเนิดของเขาตกเป็นขี้ปากคนไปทั่ว อาจเพราะแบบนี้การสมรสนี้จึงตกมาถึงตัวนาง แม้คนทั่วไปไม่ยินดีแต่นางดูๆ แล้วกลับคิดว่าชายหนุ่มคนนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท