เซี่ยเพ่ยหวนใจกระตุก มือภายใต้แขนเสื้อกำแน่น กวาดตามองจูชูอวี้ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าอย่างรวดเร็ว คว้าหย่งชังจวิ้นจู่ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าเอาไว้ทันใด เอ่ยเสียงเข้ม “จวิ้นจู่ ข้าว่าพวกเราลงไปก่อนเถิด มั่วเอ๋อร์คงมิได้อยู่ที่นี่หรอก”
หย่งชังจวิ้นจู่สะบัดมือออกด้วยความหงุดหงิด “มาก็มาแล้ว ดูหน่อยจะเป็นไรไป ข้าเองก็อยากดูว่าใครมันมาทำอะไรแปลกประหลาดอยู่ที่ลี่สุ่ยเซวียน” พูดพลางยกเท้าขึ้นถีบประตูที่ปิดสนิทให้เปิดออก ใบหน้าหย่งชังจวิ้นจู่นิ่งค้าง จากนั้นอดไม่ได้กรีดร้องเสียงดังออกมา “กรี๊ดดด”
บนเตียงที่อยู่ในห้อง ร่างเปลือยเปล่าสองร่างกำลังพัวพันกันอยู่บนนั้น ทว่าเห็นได้ชัดว่าทั้งสองกำลังจดจ่ออยู่กับความร้อนแรง อย่าว่าแต่เสียงดังจอแจจากผู้คนด้านล่าง แม้แต่ตอนนี้หย่งชังจวิ้นจู่ถีบประตูเปิดออกก็มิได้ทำให้ทั้งสองตกใจเลยด้วยซ้ำ หญิงสาวกอดไหล่ของฝ่ายชายเอาไว้แน่น ใบหน้ามีเสน่ห์คล้ายกำลังเจ็บปวดคล้ายกำลังล่องลอย ริมฝีปากส่งเสียงครวญครางที่ทำให้คนใจเต้น
บุรุษผู้นั้นยิ่งออกแรงมากขึ้น หอบหายใจแรงส่งเสียงคำรามเรียกชื่อหญิงสาวอย่างหลงใหล “อ๊ะ…อวี้เอ๋อร์…อวี้เอ๋อร์…อวี้เอ๋อร์เด็กดี…”
“ต่ำช้า” ในที่สุดหย่งชังจวิ้นจู่ก็ทนไม่ไหว คว้าแจกันที่วางอยู่หน้าประตูขว้างไปยังสองร่างที่กำลังมัวเมา
เสียง เพล้ง! ดังขึ้น แจกันดอกไม้กระแทกเข้ากับกำแพงด้านข้างใกล้ๆ ร่างของทั้งคู่ ชิ้นส่วนกระจัดกระจาย สองคนที่กำลังมัวเมาอยู่นั้นพลันได้สติขึ้นมาบ้าง เมื่อหันกลับมาเห็นบรรดาคุณหนูที่ยืนอยู่หน้าประตูจึงร้องเสียงดังขึ้นมา
เซี่ยเพ่ยหวนหลับตาลงพลางลอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อหันกลับไปมองจูชูอวี้ก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนิ่งค้าง มุมปากจึงพอยกยิ้มขึ้นได้บ้าง “จวิ้นจู่ ให้คนพาแม่นางอวี้เอ๋อร์ผู้นี้ออกไปก่อนเถิด เรื่องนี้คงต้องให้พระชายารัชทายาทช่วยจัดการแล้ว”
หย่งชังจวิ้นจู่ตกใจจนนิ่งอึ้งไปแล้ว หันกลับไปถ่มน้ำลายใส่สองหญิงชายที่ซุกตัวอยู่ด้วยกัน “ต่ำช้าทั้งคู่ อุจาดตาจวิ้นจู่อย่างข้าเสียจริง พวกเราไปกันเถอะ เด็กๆ เฝ้าคนต่ำช้าสองคนนี้ไว้ รอเสด็จแม่มาจัดการ”
ทุกคนเดินลงไปด้านล่าง บรรดาสตรีในห้องหอที่รออยู่ด้านล่างรีบรุมล้อมเข้ามา แน่นอนว่าพวกนางเอกก็ได้ยินเสียงด่าทอของหย่งชังจวิ้นจู่จึงรีบเข้ามาไต่ถาม หย่งชังจวิ้นจู่ใบหน้าเข้มขึ้น ไม่พูดไม่จา ทุกคนมองสบตากัน เพียงสบตาก็รู้ใจ เกรงว่าคงเกิดเรื่องขึ้นแล้วจึงไม่เอ่ยถามสิ่งใดอีก เนิ่นนานจากนั้นจึงมีคนเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ทุกคนมาหาซิงเฉิงจวิ้นจู่มิใช่หรือ จวิ้นจู่เล่า”
เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยเสียงเรียบ “คิดว่าทุกคนคงดูผิดแล้ว ซิงเฉิงจวิ้นจู่ไม่ได้อยู่ด้านบน”
“แต่ว่า…เมื่อครู่พวกเราเห็นจวิ้นจู่เดินมาทางนี้จริงๆ นะ” หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน เพราะพวกนางบอกว่าจวิ้นจู่มาทางนี้ ทุกคนจึงได้ตามมา ตอนนี้เกิดเรื่องแล้ว ไม่แน่ว่าสุดท้ายเรื่องทุกอย่างอาจมาตกอยู่ที่พวกนาง พลันก่นด่าตนเองอยู่ในใจไยจึงปากไวเช่นนี้ ต่อให้อยากรู้จักกับซิงเฉิงจวิ้นจู่ ต่อไปก็ยังมีโอกาสอีกมากมาย
เซี่ยเพ่ยหวนยิ้ม “ที่นี่ใหญ่โตกว้างขวาง ลี่สุ่ยเซวียนเองก็ไร้ดอกบัวให้ชม ไม่แน่ว่ามั่วเอ๋อร์อาจไปที่อื่นแล้วก็ได้ แค่ส่งคนไปตามหาก็พอแล้ว ใครบอกว่ามาทางนี้แล้วต้องเป็นที่ลี่สุ่ยเซวียนเท่านั้นเล่า” หย่งชังจวิ้นจู่ขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “ไม่อยู่ลี่สุ่ยเซวียน หรือว่าหนานกงมั่วไปเรือนซงแล้วงั้นหรือ ส่งคนไปดูหน่อย”
ไม่นาน พระชายารัชทายาท องค์หญิงฉังผิง และองค์หญิงหลิงอี๋ก็เสด็จมาถึงที่นี่ เมื่อมองเห็นคนมากมายมายืนรวมตัวกันอยู่ด้านล่างพระชายารัชทายาทจึงขมวดคิ้ว เอ่ยถาม “ไยจึงมารวมตัวกันอยู่ที่นี่เล่า”
หย่งชังจวิ้นจู่มองพระชายารัชทายาท พลันไม่รู้จะเอ่ยอย่างไร เป็นสาวใช้ข้างกายหย่งชังจวิ้นจู่ที่มีไหวพริบ เดินเข้าไปใกล้พระชายารัชทายาทจากนั้นกระซิบเสียงเบาไม่กี่ประโยค ได้ยินเช่นนั้นแล้ว สีหน้าของพระชายารัชทายาทจึงไม่น่ามองทันใด เงียบไปเนิ่นนาน พระชายารัชทายาทจึงเอ่ยสั่งเสียงเรียบ “ทุกคนกลับไปก่อนเถิด แม่นางที่ขึ้นไปด้านบนเมื่อครู่ตามข้า น้องห้า และน้องเจ็ดไปนั่งด้วยกันสักหน่อย”
“เพคะ พวกหม่อมฉันทูลลาเพคะ” ทุกคนถอนหายใจอยู่ในใจ ค่อยๆ ทยอยกลับไป
ในห้องโถงชั้นสอง หน้าต่างทุกบ้านถูกเปิดออก ลมพัดเย็นทว่ากลับพัดเอาความตึงเครียดให้ผ่านออกไปด้วยไม่ได้ คู่ชายหนุ่มหญิงสาวถูกลากตัวออกมา มองดูเสื้อผ้ายับย่นและใบหน้าแดงก่ำ พวกพระชายารัชทายาทพลันต้องขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ สายตาองค์หญิงฉังผิงมองไปยังฝ่ายชายด้วยใบหน้าเย็นชา ก่อนที่ถ้วยชาในมือจะถูกเขวี้ยงไปยังร่างของชายผู้นั้น “เว่ยจวินเจ๋อ! เจ้าบังอาจนัก!”
เดิมเว่ยจวินเจ๋อยังคงมึนงง ยามนี้พลันตกใจจนได้สติกลับคืนมา มองเห็นใบหน้าเย็นยะเยือกขององค์หญิงฉังผิงเข้าก็ตกใจ จากนั้นหันไปมองหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างพลันร้องออกมาโดยไม่ตั้งใจ “เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้เช่นไร” หญิงสาวใบหน้าซีดขาว พูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะ
สีหน้าของพระชายารัชทายาทไม่ดีนัก คุณชายสามจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องทำเรื่องเช่นนี้ในจวนรัชทายาท อีกทั้งยังเป็นงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันประสูติของนางด้วย ราวกับกำลังเหยียบหน้าของนางด้วยปลายเท้า ใบหน้าเย็นยะเยือกขึ้น พระชายารัชทายาทมองไปยังองค์หญิงฉังผิง เอ่ยขึ้น “น้องห้า เรื่องนี้เจ้าคงต้องอธิบายกับข้าและรัชทายาทแล้ว” องค์หญิงฉังผิงหลุบตาลง ยกผ้าเช็ดหน้าในมือขึ้นเช็ดมุมปาก เอ่ยราบเรียบ “พี่สะใภ้อย่าพึ่งโกรธ ท่านเองก็รู้ว่าหลายปีมานี้ข้าไม่ยุ่งเรื่องพวกนี้ คนชั่วนี่ทำเรื่องเช่นนี้ จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องต้องมีคำอธิบายให้ท่านกับพี่ใหญ่แน่ เด็กๆ ไปเชิญท่านอ๋องและพระชายารองมา”
“เจ้าค่ะ องค์หญิง” สาวใช้เคียงกายองค์หญิงฉังผิงย่อตัวถวายความเคารพเสร็จจึงเดินออกไป
พระชายารัชทายาทจ้องมองชายหญิงตรงหน้า กัดฟันพลางเอ่ย “ช่างกล้ายิ่งหนัก พวกเจ้าคิดว่าจวนรัชทายาทของข้าเป็นอันใดกัน เด็กสาวผู้นี้เป็นคนจากจวนใด ไยจึงไม่คุ้นตาเช่นนี้”
จูชูอวี้หน้าซีด ก้มหน้าไม่ยอมเอ่ยวาจา เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดหัวเราะ “ตอบพระชายารัชทายาท หม่อมฉันมีความรู้ไม่มากไม่เคยเห็นหญิงสาวผู้นี้ในจินหลิงมาก่อน เพียงแต่ว่า… คุณชายสามจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องเรียกนางว่าอวี้เอ๋อร์ ไม่รู้ว่าคุณหนูท่านอื่นเคยเห็นนางมาก่อนหรือไม่” หญิงสาวที่ตามมาด้วยก็ตกใจไม่น้อย รีบหันไปมองหน้าสตรีตรงหน้า หันกลับมามองจูชูอวี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความแปลกใจ หนึ่งในหญิงสาวเอ่ยขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “รายงานองค์หญิง…สตรีผู้นี้คล้ายมิใช่คุณหนูตระกูลใด แต่ว่า…เป็นสาวใช้เคียงกายของคุณหนูจูเพคะ”
“ใช่เพคะ ก่อนหน้านี้ตอนเข้ามาหม่อมฉันก็เคยเห็น เพราะเด็กสาวผู้นี้มีหน้าตาโดดเด่น จึงพอจดจำได้บ้างเพคะ”
“คุณหนูจูหรือ” พระชายารัชทายาทมองจูชูอวี้ด้วยท่าทางไม่พอใจ จูชูอวี้รีบคุกเข่าลง เอ่ยตอบทันใด “หม่อมฉันดูแลไม่ดี ขอพระชายารัชทายาทลงโทษด้วยเพคะ”
องค์หญิงหลิงอี๋พลันเอ่ยถามขึ้น “เด็กคนนี้ชื่ออะไรหรือ”
“อวี้เอ๋อร์เพคะ”
“หลานเอ๋อร์เพคะ”
เสียงดังขึ้นพร้อมกัน ใบหน้าของจูชูอวี้แข็งทื่อ เงยหน้าไปมองหญิงสาวที่เอ่ยตอบ หญิงสาวคนนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดในใจอยู่เล็กน้อย แต่ในเมื่อเอ่ยตอบออกไปแล้วจึงถอยกลับไม่ได้ จึงต้องเอ่ยต่อ “ก่อนหน้านี้หม่อมฉันได้ยินจูชูอวี้เรียกเด็กคนนี้ว่าหลานเอ๋อร์ บางที…หม่อมฉันอาจฟังผิดไปเพคะ…”
คิ้วงามขององค์หญิงหลิงอี๋เลิกขึ้นเล็กน้อย ยิ้มพลางเอ่ยถาม “หลานเอ๋อร์เช่นนั้นหรือ แล้วไยจึงชื่ออวี้เอ๋อร์อีกเล่า แม่นางเซี่ย เจ้าได้ยินเช่นไร”