หนานกงมั่วจำต้องนั่งลง เอ่ย “มีอะไรน่าเล่ากัน อีกอย่าง ข้ายังมีองครักษ์ติดตามไปด้วย”
“โกหก” เซี่ยเพ่ยหวนเอนกายลงมาเอ่ยกระซิบเสียงเบา “ข้าได้ยินท่านพ่อบอกแล้ว คุณหนูใหญ่หนานกงข้ามฝั่งไปนำศีรษะของกบฏกลับมาด้วยตัวคนเดียว” สตรีธรรมดาไปอย่าว่าแต่นำศีรษะกลับมาคนเดียวได้เลย แค่ให้พวกเขาเห็นตัวเพียงเท่านั้นก็คงเป็นลมล้มพับไปแล้ว เซี่ยเพ่ยหวนรู้สึกอิจฉาหนานกงมั่วขึ้นมา หากนางเก่งได้แบบนี้บ้างใต้หล้านี้มีแห่งหนใดที่จะไปไม่ถึง
หนานกงมั่วมองไปรอบๆ ยกมือขึ้นบีบแก้มนุ่มของเซี่ยเพ่ยหวน “ก็ได้ ไว้วันหลังเจ้าไปที่จวนของข้า ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง” เซี่ยเพ่ยหวนเองรู้ดีว่าที่นี่ไม่เหมาะจะคุยเรื่องนี้ ขยับตัวนั่งลงชิดหนานกงมั่ว เอ่ยเสียงเบา “เจ้ารู้หรือไม่ วันนี้จูชูอวี้ก็มาด้วย”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “แปลกตรงไหนหรือ” อย่างไรเสียจูชูอวี้ก็เป็นบุตรีคนโตของเกาอี้ปั๋ว แม้ตระกูลจูจะไม่มีตำแหน่งในราชสำนัก ทว่าก็อยู่ในฐานะที่เข้าร่วมงานเลี้ยงได้
เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข่าวคาวของนางในจินหลิงมีใครยังไม่รู้อีกเล่า นางยังกล้าออกมา เจ้าดูสิว่ามีใครบ้างที่สนใจนาง เพียงน่าเสียดายน้องสาวเชื้อสายรองของนาง เดิมกำลังจะเป็นชายาเอก กลับถูกส่งเข้าจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องเพราะเรื่องคาวๆ ของนาง”
หนานกงมั่วเอ่ย “บางทีนางอาจจะเต็มใจก็ได้”
เซี่ยเพ่ยหวนครุ่นคิด “ก็จริง แต่น้องสาวเชื้อสายรองของเจ้าผู้นั้นโชคร้ายใช่หรือไม่ พึ่งแต่งเข้าจวนได้ไม่ถึงเดือนเย่ว์จวิ้นอ๋องก็แต่งคนใหม่เข้าอีกแล้ว เป็นอย่างไร นางกลับบ้านไปโวยวายหรือไม่”
หนานกงมั่วส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”
นางไม่รู้จริงๆ พิธีแต่งงานใกล้ถึงวันเต็มที เวลาส่วนใหญ่ของนางคืออยู่ที่เรือนจี้ชั่งเพื่อจัดเตรียมสินเจ้าสาว
เงยหน้าขึ้นไปมองจูชูอวี้ที่นั่งอยู่ไม่ไกล หนานกงมั่วรู้สึกนับถือนางขึ้นมา นอกจากคนกลุ่มเล็กๆ จำนวนไม่กี่คน คนส่วนใหญ่ต่างพากันหลีกหนีจากนาง ต่อให้อยู่ในสภาพแวดล้อมน่าอึดอัดทว่าใบหน้าของจูชูอวี้นั้นยังคงยิ้มหวาน ท่าทางนิ่งสงบ สภาพจิตใจเช่นนี้คนทั่วไปไหนเลยจะทำได้ เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาจับจ้อง จูชูอวี้จึงหันมองมาทางนี้และพยักหน้าให้เบาๆ ทว่ามิได้เดินเข้ามาหาดังเช่นทุกครั้ง
“จูชูอวี้ผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย” เซี่ยเพ่ยหวนกระซิบเสียงเบา
หนานกงมั่วยิ้มบาง “แน่นอนว่าไม่ธรรมดา มิเช่นนั้นตอนนี้นางคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้” แผนการของเว่ยจวินมั่วนางรู้ดี สามารถเอาตัวรอดจากแผนการของเว่ยจวินมั่วได้ เกรงว่าราคาที่ต้องจ่ายกว่าจะเอาตัวรอดออกมาได้ก็คงไม่เบาเลย การพลิกแพลงและการตัดสินใจเช่นนี้ สตรีทั่วไปไหนเลยจะทำได้ น่าเสียดาย เป็นศัตรูมิใช่มิตร หนานกงมั่วถอนหายใจอย่างเสียดาย
“เอ๋ น้องสาวเชื้อสายรองของเจ้ามาได้เยี่ยงไร” ระหว่างที่กำลังครุ่นคิด เซี่ยเพ่ยหวนก็เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้นพลันเห็นหนานกงซูที่อยู่ในอาภรณ์สีชมพูกำลังเดินตามหลังพระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องเข้ามา ไม่เพียงหนานกงซู ด้านข้างพระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องยังมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยดูเรียบร้อยในอาภรณ์สีม่วงอีกคนหนึ่ง ทั้งสองแต่งตัวงดงาม บนศีรษะมีดอกไม้ที่กำลังเป็นที่นิยมประดับอยู่ ทำให้ดูตรงกันข้ามกับพระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องที่หน้าตามิได้โดดเด่นยิ่งดูธรรมดาไปในทันใด โชคดีแม้รูปลักษณ์มิได้โดดเด่นแต่พระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องที่อยู่ในอาภรณ์ของชายาจวิ้นอ๋องนั้นดูสุขุมและสง่างาม มิได้ด้อยไปกว่าผู้ติดตามทั้งสอง ทว่ากลับทำให้คนนึกถึงประโยคหนึ่งอยู่ในใจ เลือกภรรยาที่มีเกียรติ เลือกอนุภรรยาที่ความงาม
“ถวายพระพรพระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องเพคะ” บรรดาสตรีที่อยู่บริเวณรอบๆ เมื่อเห็นพระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องจึงรีบเดินเข้ามาถวายพระพร
พระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องสงบและสง่างาม มิได้ถูกความงามดั่งหยกของหญิงสาวทั้งสองตรงหน้าบดบังแต่อย่างใด ยิ้มพลางเอ่ย “ทุกคนลุกขึ้นเถิด วันนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองวันไหว้พระจันทร์ของวังหลวง เชิญทุกคนตามสบาย” ทุกคนกล่าวขอบพระทัยหยวนซื่อ และไม่เข้าไปรบกวนอย่างรู้งาน สถานการณ์ในจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องยามนี้เป็นที่รู้กันดีในจินหลิง พระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องเกิดในตระกูลชนชั้นสูงและยังดูแลจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องที่กว้างขวางได้เป็นอย่างดี สตรีเช่นนี้ควรเป็นที่เคารพ ได้ครองคู่กับเย่ว์จวิ้นอ๋องต้องเป็นที่น่าอิจฉาถึงจะถูก น่าเสียดายอย่างเดียวที่พระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องไม่มีคือรูปลักษณ์อันงดงาม ทายาทของเอ้อกั๋วกงและภรรยาของเอ้อกั๋วกงนั้นไม่ได้อัปลักษณ์ พอเรียกได้ว่าสวยสดงดงาม ส่วนเย่ว์จวิ้นอ๋องนับว่าเป็นบุรุษรูปงามอันดับต้นๆ สำหรับเชื้อพระวงศ์ แน่นอนว่าไม่นับรวมกับเยี่ยนอ๋องและผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงที่ได้รูปโฉมมาจากมารดา
มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าตั้งแต่พระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องแต่งเข้าจวน แม้ฉากหน้าจะเห็นว่าเย่ว์จวิ้นอ๋องนั้นให้เกียรติพระชายาเพียงใดแต่ทว่ายังคงรับหญิงงามเข้าจวนคนแล้วคนเล่า ก่อนหน้านี้เป็นหญิงสาวที่มีฐานะไม่สูงส่งก็ช่างเถิด ครั้งนี้กลับรับหญิงสาวฐานะไม่ธรรมดาถึงสองคน นั่นทำให้จวนฉู่กั๋วกงดูไม่ดีนัก โดยเฉพาะคุณหนูรองจวนฉู่กั๋วกง แม้มิได้เกิดจากมารดาที่เป็นเชื้อสายหลัก ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาหนานกงซูนั้นปรากฏตัวในฐานะบุตรีคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกมาโดยตลอด แสดงให้เห็นถึงความรักที่หนานกงไหวมีต่อบุตรีผู้นี้ หากมิใช่เพราะฮ่องเต้รับสั่งให้รับหนานกงซูเข้าจวนในฐานะเชื้อสายรอง เกรงว่าสถานการณ์ในจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องยิ่งจะยากเข้าไปอีก
เดิมผู้คนเคยอิจฉาพระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋อง ทว่ายามนี้กลับเหลือเพียงความเห็นใจ
“จวิ้นจู่” พระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องเดินเข้ามาหาหนานกงมั่วและเซี่ยเพ่ยหวนด้วยรอยยิ้ม เอ่ย “คุณหนูเซี่ยสาม”
เพราะแผนการของเซียวเชียนเยี่ยในครั้งนั้นทำให้เซี่ยเพ่ยหวนตีตัวออกห่างจากจวนเย่ว์จวิ้นอ๋อง รวมไปถึงหยวนซื่อที่เคยเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนที่ดี หากหยวนซื่อรับรู้ถึงแผนการก่อนหน้านี้ของเซียวเชียนเยี่ย ไม่รู้ว่าหยวนซื่อยังจะสามารถยืนพูดคุยอย่างไม่สะทกสะท้านอยู่ตรงนี้ได้หรือไม่ เซี่ยเพ่ยหวนทำได้เพียงถอนหายใจอยู่ในใจ พยักหน้าตอบรับ “พระชายาจวิ้นอ๋อง”
หยวนซื่อชะงัก สุดท้ายจึงถอนหายใจ รอยยิ้มจืดเจื่อนเล็กน้อย ความจริงตั้งแต่นางออกเรือนแล้วก็ไปมาหาสู่กับเซี่ยเพ่ยหวนน้อยลงไปมาก เดิมทีหากองค์ชายสิบเก้ายังอยู่ นางคงต้องเรียกเซี่ยเพ่ยหวนว่าอาสะใภ้ ทว่าตอนนี้เซี่ยเพ่ยหวนยังไม่ออกเรือนแต่กลับต้องมาไว้ทุกข์ แม้ตัวนางเองจะออกเรือนไปกับหวงจั่งซุนที่ใครๆ ต่างก็อิจฉาทว่าก็มิได้ราบรื่นเท่าใดนัก
หนานกงมั่วพยักหน้าตอบรับเบาๆ เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พระชายาจวิ้นอ๋อง เชิญนั่งเพคะ” ครรภ์ของหยวนซื่อใกล้จะครบห้าเดือนแล้ว แม้ว่าชุดที่สวมอยู่จะหนาจนมองเห็นไม่ชัดนักทว่าการเดินไปมาในวังกว้างใหญ่ก็ต้องใช้พลังไปไม่น้อยเลยทีเดียว หยวนซื่อเอ่ยขอบคุณ นั่งลงบนเก้าอี้หินด้านข้างของทั้งสองคน ปรายตามองหญิงสาวด้านหลังทั้งสอง “ยังไม่คารวะจวิ้นจู่กับคุณหนูเซี่ยสามอีกหรือ”
เซี่ยเพ่ยหวนลุกขึ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กล่าวหนักเกินไปแล้วเพคะ เซี่ยสามไม่อาจรับการคารวะจาก…อนุทั้งสองหรอกเพคะ” หนานกงมั่วก็ช่างเถิด อย่างไรนางก็ถูกแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่แล้ว ทั้งสองคนต่อให้เป็นอนุภรรยาแต่ก็เป็นอนุภรรยาของหวงจั่งซุน เซี่ยเพ่ยหวนเองคิดว่าตนไม่ได้คบค้าสมาคมกับพวกนางจึงไม่จำเป็นต้องรับการคารวะจากพวกนาง
หยวนซื่อเอ่ย “ได้เยี่ยงไรกัน ไม่เพียงแค่พวกนาง แม้แต่การคารวะของข้าคุณหนูเซี่ยสามก็ควรค่าพอที่จะได้รับมัน”
เซี่ยเพ่ยหวนยิ้มบางๆ “พระชายา หม่อมฉันคงรับไว้ไม่ไหวเพคะ”
“หม่อมฉันจูซื่อคารวะซิงเฉิงจวิ้นจู่ คารวะคุณหนูเซี่ยสาม” หญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงย่อตัวเคารพกิริยางดงาม เอ่ยเสียงหวาน หนานกงมั่วมองสำรวจโดยละเอียด หญิงสาวอายุสิบห้าสิบหกต้องเข้าจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องเพื่อเป็นอนุภรรยา ปอยผมถูกปล่อยหลวมๆ บนศีรษะติดเครื่องประดับดอกไม้ไว้สองดอก ท่าทางอ่อนหวานทว่าซ่อนความสวยใสไร้เดียงสาของวัยนี้เอาไว้จนหมด จึงทำให้ดูโตกว่าจริงหลายปี ส่วนหนานกงซูที่อยู่ในอาภรณ์สีชมพูยืนอยู่ด้านข้าง แม้เป็นเพราะฐานะทำให้นางไม่สามารถใช้เครื่องประดับราคาแพงได้ เพียงจัดแต่งทรงผมธรรมดาๆ บนศีรษะนั้นมีเครื่องประดับดอกไม้สีม่วงติดอยู่ บวกกับลูกปัดที่ถูกเรียงร้อย ปะแป้งเล็กน้อย มีความน่ารักสดใส อีกทั้งยังดูนุ่มนวลละมุนละไม ก่อนหน้านี้เคยได้ยินมาว่าหนานกงซูถูกขนานนามว่าหญิงงามแห่งจินหลิง ถึงจะยังไม่แน่นอนว่าหนานกงซูเป็นหญิงงามที่สุดในจินหลิง แต่อย่างน้อยนางก็เป็นหนึ่งในหญิงงาม ไม่แปลกใจที่แม้จะสร้างเรื่องมากมายเช่นนี้แต่พอเข้าไปอยู่ในจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องของเซียวเชียนเยี่ยก็ยังคงได้รับความรักเพิ่มมากขึ้น