หนานกงซูจ้องมองหนานกงมั่วนิ่ง ในใจสับสน หนานกงมั่วที่อยู่ตรงนั้นอยู่ในอาภรณ์สีขาวเรียบๆ ไม่มีการตกแต่งหวือหวา ชายเสื้อและแขนเสื้อมีลายปักดอกไม้ซับซ้อนด้วยเส้นไหมสีทองวิจิตร เรียบง่ายทว่าไม่ธรรมดา เคร่งขรึมทว่าไม่โอ่อ่า นั่งอยู่ท่ามกลางคุณหนูสูงศักดิ์ทั้งหลายทว่ากลับไม่มีความเขินอายเลยสักนิด ดูไม่ออกเลยว่าเมื่อไม่กี่เดือนที่แล้วนางยังเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้าน เมื่อเทียบกับตัวเองในตอนนี้แล้วความรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งชัดเจนมากขึ้น
“หนานกงซื่อ” หยวนซื่อขมวดคิ้ว มองหนานกงซูอย่างไม่พอใจ
สัมผัสได้ถึงแววตาเย้ยหยันที่ส่งมาจากผู้คนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล หนานกงซูทนไม่ไหวกัดริมฝีปาก ตั้งแต่นางกลายเป็นอนุภรรยา บรรดาคุณหนูทั้งหลายที่เคยสนิทสนมก็ไม่เป็นดังที่ผ่านมา แม้จะได้พบปะบ้างเมื่อต้องติดตามหยวนซื่อ แต่ทุกคนก็ทำราวกับนางไม่มีตัวตน จนถึงเหตุการณ์ดังเช่นตอนนี้ ทุกคนยังมาคอยซ้ำเติม…
“พี่สะใภ้รอง คนของจวนท่านเหล่านี้จะต้องสั่งสอนให้ดีนะเพคะ ช่างไร้มารยาท” หย่งชังจวิ้นจู่เดินนำคนเข้ามา กวาดตามองหนานกงซูที่ใบหน้าแดงก่ำ ส่งเสียงหยันอย่างไม่พอใจ หยวนซื่อจับมือของหย่งชังจวิ้นจู่เอาไว้ เอ่ย “เพราะพี่สะใภ้ไม่ดีเอง หย่งชังอย่าได้โกรธพวกนางเลย”
หย่งชังจวิ้นจู่เหลือบตามองหนานกงมั่ว กล่าว “พวกนางเป็นใครกัน จวิ้นจู่เช่นข้าไหนเลยจะมีเวลาว่างไปโกรธพวกนางได้ เพียงเห็นอะไรที่มันน่าขายหน้าจึงทนไม่ไหวก็เท่านั้น หนานกงซู ไหนๆ พี่สาวของเจ้าก็ถูกแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่แล้ว แม้แต่ตำแหน่งอนุภรรยาเจ้ายังทำหน้าที่ได้ไม่ดีอีกหรือ”
หนานกงซูหน้าซีด หนานกงมั่วมองไปยังสายตาอยากรู้อยากเห็นที่สอดส่องมองมา นึกขบขันอยู่ในใจ หย่งชังจวิ้นจู่ผู้นี้มิได้เป็นคนเฉลียวฉลาด เพียงประโยคเดียวก็ทำให้คนขุ่นเคืองได้ถึงสองคน แน่นอน ย่อมไม่ได้อยู่นอกเหนือความต้องการของนางที่จะทำให้ตนรู้สึกขายหน้าไปด้วย ช้อนตาขึ้นเหลือบมองไปยังหนานกงซู หนานกงมั่วเอ่ยน้ำเสียงเนิบนาบ “มารดาจากไปตั้งแต่ยังเด็ก น้องสาวเชื้อสายรองห่างไกลจากการอบรมสั่งสอน ขอหย่งชังจวิ้นจู่โปรดอภัยด้วยเพคะ”
ด้านข้างมีคนพยักหน้า เอ่ย “จริงสิ ฮูหยินกั๋วกงจากไปกว่าเจ็ดแปดปีแล้ว ซิงเฉิงจวิ้นจู่ยังไปพักฟื้นที่ตานหยาง ไหนเลยจะมีคนคอยอบรมสั่งสอนเชื้อสายรองของจวนฉู่กั๋วกงได้เล่า ทว่าน่าสงสาร…ฮูหยินกั๋วกงและจวิ้นจู่กลับต้องมาถูกหาว่าไม่รู้จักสั่งสอน” บนโลกนี้ไม่เคยขาดคนที่คอยคิดซ้ำเติมคนอื่นเมื่อล้ม และไม่เคยขาดแคลนคำเยินยอ เมื่อวาจานั้นสิ้นสุดลง ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย ใครบ้างไม่รู้ว่าตั้งแต่ฮูหยินฉู่กั๋วกงจากไป ฉู่กั๋วกงก็ไม่เคยคิดแต่งฮูหยินคนใหม่อีกเลย แม้แต่สตรีที่ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ก็ไม่มี กระทั่งงานเลี้ยงฉลองในวันนี้ก็มิอาจมาร่วมด้วยได้
ยิ่งไปกว่านั้น มีคนไม่น้อยที่เคยได้ยินหนานกงมั่วเรียกเจิ้งซื่อว่าหว่านฮูหยิน นี่หมายถึงอันใด หมายความว่าจวิ้นจู่นั้นมิได้ยอมรับเจิ้งซื่อในฐานะฮูหยินคนใหม่ของจวนฉู่กั๋วกง เชื้อพระวงศ์ไม่ยอมรับ บุตรีคนโตที่เกิดจากเชื้อสายหลักก็ไม่ยอมรับ เจิ้งซื่อฮูหยินฉู่กั๋วกงผู้นี้…หลายคนเริ่มคิดในใจว่าหลังจากกลับไปแล้วต้องบอกกับผู้ใหญ่ที่บ้านว่าอย่าได้ไปมาหาสู่มากนัก
“ยิ่งไปกว่านั้น…บุตรีแต่งออกไปต้องเชื่อฟังสามี ต่อไปต้องรบกวนพระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องจึงจะถูก” หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ยกับพระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋อง
พระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องยิ้มเจื่อนอย่างทำอันใดมิได้ “เป็นข้าที่สั่งสอนไม่ดีเอง ขอจวิ้นจู่โปรดอภัยด้วย”
หย่งชังจวิ้นจู่โกรธ เอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “สั่งสอนไม่ดีอะไรกัน พี่สะใภ้รอง สุนัขจิ้งจอกตัวนี้รู้…”
“หย่งชัง” หยวนซื่อเสียงดัง หย่งชังจวิ้นจู่ชะงัก จากนั้นหุบปากฉับลง แต่ผู้คนที่อยู่ในสถานการณ์ต่างคิดกันไปต่างๆ นานา เดิมไม่ใช่พระชายาไม่คิดสั่งสอนแต่มีเย่ว์จวิ้นอ๋องคอยปกป้องอย่างไรเล่า ก็จริง ไม่พูดถึงใบหน้างดงาม อ่อนโยนดุจน้ำของหนานกงซู เพราะเบื้องหลังของนางยังมีฉู่กั๋วกง เย่ว์จวิ้นอ๋องจำเป็นต้องไตร่ตรองสักหน่อย สมแล้วที่เกิดจากอนุภรรยา ผู้เป็นมารดาสามารถทำให้ฮูหยินฉู่กั๋วกต้องทุกข์ใจจนตายได้ ผู้เป็นบุตรียังบีบบังคับผู้ที่เป็นบุตรีกั๋วกงเหมือนกันอย่างพระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องให้ทำอะไรกับนางไม่ได้ สายตาที่หันไปมองหนานกงซูต่างเต็มไปด้วยความรังเกียจในชั่วพริบตา ที่อยู่ตรงนี้ไม่ว่าจะมีชาติตระกูลเช่นไร ตราบใดที่มิได้สมองพิการหรือแต่งเข้าเป็นราชนิกุล โดยทั่วไปล้วนเป็นชายาเอก แน่นอนจึงมีความรู้สึกรังเกียจต่ออนุภรรยาเป็นธรรมดา
จูซื่อที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่กล้าเอ่ยปากอยู่นาน ยามนี้พลันค้อมตัว เอ่ยขัด “พระชายา…หม่อมฉัน หม่อมฉันไปคุยกับพี่สาวได้หรือไม่เพคะ”
หยวนซื่อมองจูซื่อด้วยสายตาอ่อนโยนลง เอ่ย “ช่างเถิด เจ้าพึ่งเข้าจวนมาอาจจะยังไม่คุ้นชิน ใช้โอกาสนี้ไปคุยกับครอบครัวของเจ้าเถิด”
“ขอบพระทัยพระชายาเพคะ” จูซื่อเอ่ยขอบคุณ หมุนตัวเดินตรงไปยังทิศทางที่จูชูอวี้ยืนอยู่
หย่งชังจวิ้นจู่จ้องมองหนานกงซู เอ่ย “ทั้งที่เป็นอนุภรรยาเหมือนกัน ดูนางแล้วหันมาดูเจ้าสิ”
หนานกงซูเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย กัดฟันทั้งน้ำตา “หม่อมฉันถามตัวเองแล้วว่าไม่เคยทำให้จวิ้นจู่ต้องขุ่นเคืองใจ ไยจวิ้นจู่จึงคอยแต่จะหาเรื่องข้า” หย่งชังจวิ้นจู่เอ่ย “เพราะเจ้าขัดตาข้า เหตุผลเพียงพอหรือไม่ เป็นอนุภรรยาแล้วมาทำท่าทางน่าสงสารให้ใครดูกัน” หนานกงซูกัดฟัน “จวิ้นจู่หากท่านไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ อย่างไรพระองค์ก็คงจะเป็นอนุภรรยาเช่นกันเพคะ”
“บังอาจ” สิ่งที่หย่งชังจวิ้นจู่เกลียดที่สุดคือมีคนมาเอ่ยถึงสถานะเชื้อสายรองของตน นางคอยประจบเอาใจพระชายารัชทายาทมาตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อโตแล้วก็คอยวนอยู่กับพี่สะใภ้โดยมีความสนิทสนมกับพระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องที่สุด พระชายารัชทายาทเลี้ยงดูนางราวกับธิดาของตนเอง ยามนี้ถูกหนานกงซูป่าวประกาศต่อหน้าผู้คน มีหรือหย่งชังจวิ้นจู่จะไม่โกรธ
“สารเลว” หย่งชังจวิ้นจู่ยกมือขึ้นฟาดลงไป
“จวิ้นจู่” มือหนึ่งยื่นมาจับมือหย่งชังจวิ้นจู่เอาไว้ หย่งชังจวิ้นจู่หันกลับมาจ้องหนานกงมั่วเขม็ง เอ่ย “เจ้าก็คิดจะปกป้องนังสารเลวคนนี้หรือ” คิ้วเรียวของหนานกงมั่วขมวดมุ่น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จวิ้นจู่สูงส่งไยต้องทำตัวเช่นนางกันเล่า” ระหว่างที่เอ่ย หนานกงมั่วก็ปล่อยมือจากมือของหย่งชังจวิ้นจู่ ระหว่างที่หย่งชังจวิ้นจู่กำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา ฝ่ามือก็ตวัดลงบนใบหน้าของหนานกงซูแล้ว มองหนานกงซูที่กำลังยกมือกุมใบหน้าและจ้องมองตนเองอย่างไม่อยากเชื่อ หนานกงมั่วจึงเอ่ย “หย่งชังจวิ้นจู่เป็นเชื้อพระวงศ์ เชื้อสายของฝ่าบาท จะเหมือนเจ้าได้เช่นไร หากเจ้าคิดจะเอ่ย เช่นนั้นก็ต้องโทษโชคชะตาของเจ้าที่มันไม่ดี ไม่สามารถเกิดเป็นเชื้อพระวงศ์ได้”
เอ่ยจบ หนานกงมั่วจึงหันมาย่อตัวคำนับแก่พระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋อง เอ่ยต่อ “หนานกงมั่วล่วงเกินแล้ว ขอพระชายาโปรดอภัยด้วยเพคะ”
พระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องยังคงตกตะลึงกับฝ่ามือเมื่อครู่ของหนานกงมั่ว พลันดึงสติกลับมา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่สาวอบรมสั่งสอนน้องสาวมีอันใดล่วงเกินเล่า ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณจวิ้นจู่” จ้องหนานกงซูเขม็งแล้วจึงเอ่ยเสียงเข้ม “ดูเจ้าสิ ยังไม่ถอยไปอีก” หนานกงซูไหนเลยจะเคยเจอกับเรื่องน่าอึดอัดใจเช่นนี้ จ้องหนานกงมั่วด้วยสายตามาดร้ายอยู่สักพัก กัดฟันเอ่ย “พวกเจ้า…เจ้า…” ดวงตากลอกขึ้น ร่างกายพลันอ่อนยวบเป็นลมล้มพับไปทันใด
งานเลี้ยงฉลองยังไม่ทันเริ่มก็มีคนสลบไปย่อมไม่ใช่เรื่องดี ทุกคนต่างพากันตื่นตระหนก หนานกงมั่วขมวดคิ้ว เดินเข้าไปยกมือขึ้นตรวจจุดเลือดลมบริเวณหน้าอก ไม่นานเปลือกตาหนานกงซูก็ขยับเคลื่อนไหว เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ หยวนซื่อเองพ่นลมหายใจออกมา มองหนานกงมั่วด้วยสายตาขอบคุณพลางเรียกคนมาพาตัวหนานกงซูออกไป ลืมไปแล้วว่าถ้าไม่ใช่เพราะฝ่ามือและคำพูดประโยคนั้นของหนานกงมั่ว หนานกงซูก็คงไม่โกรธจนเป็นลมล้มพับไป