หนานกงซูชะงักงัน เข้าใจความหมายของเจิ้งซื่อทันใด จำต้องพยักหน้าตอบรับ “ลูกรู้แล้วเจ้าค่ะ”
เจิ้งซื่อลูบผมบุตรีเบาๆ พลางเอ่ย “สตรีแต่งออกเรือนแล้ว มีบุตรชายที่ดีสำคัญกว่าสามีที่ดี เจ้าเข้าใจหรือไม่ มารดาไม่มีบุตรชาย มิเช่นนั้น…จะลำบากดังเช่นทุกวันนี้หรือ” นางไม่มีบุตรชาย ดังนั้นจึงต้องคอยระวังหนานกงชวี่และหนานกงฮุย หากรู้ว่าหนานกงฮุยจะมีใจออกห่างนางเช่นทุกวันนี้ แม้รู้ดีว่าหนานกงชวี่ไม่ธรรมดาทว่ากลับต้องแสดงออกมาให้เป็นปกติ มิเช่นนั้น หากแตกหักกับหนานกงชวี่ หรือหนานกงชวี่และหนานกงฮุยเกิดสิ่งใดขึ้นในอนาคตนางคงมิอาจจัดการได้ นี่คือข้อจำกัดของสตรีในโลกนี้ แม้จะไม่เต็มใจทว่าอย่างไรก็ต้องพึ่งพาบุรุษ
หนานกงซูพยักหน้า เอ่ยตอบ “ท่านแม่ ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่า…หนานกงมั่วทำกับข้าเช่นนี้ จะปล่อยนางไปหรือเจ้าคะ” เมื่อนึกถึงที่หนานกงมั่วตบหน้าตนเองต่อหน้าคนมากมายที่สวนอุทยานอวี้ฮวา หนานกงซูก็กัดฟันแน่น เจิ้งซื่อเลิกคิ้วพลางยกยิ้มเย็น “แน่นอนว่าไม่ ตอนนี้เจ้าเข้าไปอยู่ในจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้นางเข้าพิธีสมรสแทนแล้ว แม่จะปล่อยให้นางแต่งไปเป็นชายาซื่อจื่ออย่างสบายใจได้เช่นไร”
เมื่อได้ยินคำว่าพระชายาซื่อจื่อคำนี้ ดวงตาของหนานกงซูก็เผยความริษยาออกมา เว่ยจวินมั่วผู้นั้น หากมิใช่เพราะมีชาติกำเนิดไม่ชัดเจนเช่นนั้น เกรงว่าสตรีทั่วทั้งจินหลิงคงได้เป็นบ้าเป็นหลังเพราะเขา ฐานะสูงส่ง ใบหน้าหล่อเหลางดงาม เย็นชา อีกทั้งฮ่องเต้ยังให้ความสำคัญกับเขาอีกด้วย แม้หนานกงซูเองยังต้องยอมรับอยู่ในใจว่าเซียวเชียนเยี่ยนั้นสู้เว่ยจวินมั่วไม่ได้เลยสักด้านเดียว แต่ว่า…เซียวเชียนเยี่ยแข็งแกร่งกว่าเว่ยจวินมั่วเล็กน้อย เขาเป็นโอรสเชื้อสายหลักของรัชทายาท เพียงแค่นี้ก็ทำให้ทุกคนมองข้ามจุดด้อยของเขาแล้ว
“ท่านแม่คิดจะทำเช่นไรเจ้าคะ” หนานกงซูถามด้วยความสงสัย ดวงตาเปล่งประกายยินดีที่จะได้เห็นคนอื่นเป็นทุกข์
เจิ้งซื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ เดี๋ยวแม่จะจัดการเอง หนานกงมั่วคิดว่านางมีความสามารถเพียงเท่านั้นแล้วจะทำอันใดก็ได้อย่างนั้นหรือ อย่าลืมสิ จวนฉู่กั๋วกงยังมีฮูหยินเช่นข้าคอยออกคำสั่งอยู่”
หนานกงซูทำได้เพียงเก็บความสงสัยเอาไว้ ขยับเข้าไปซบอกเจิ้งซื่อ เอ่ยออดอ้อน “ซูเอ๋อร์รู้อยู่แล้วว่าท่านแม่รักข้าที่สุด”
เจิ้งซื่อลูบผมนางเบาๆ พลางเอ่ยปลอบโยน “เป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว มารดามีเจ้าเป็นบุตรีเพียงผู้เดียว ไม่รักเจ้าจะให้ไปรักใครกัน”
เช้าวันนั้น ข่าวฮ่องเต้มีรับสั่งให้หวงจั่งซุนเข้าเฝ้าแพร่กระจายไปทั่วทั้งจินหลิง ผู้คนพลางถอดถอนหายใจ หวงจั่งซุนผู้นี้มีครอบครัวศักดิสิทธ์และเข้มแข็ง พลางมองไปยังใบหน้าทะมึนของบุตรชายคนอื่นๆ ของรัชทายาทที่พึ่งถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นจวิ้นอ๋อง เวลานี้…รัชทายาทยังไม่ขึ้นครองราชย์ บรรดาลูกหลานฮ่องเต้ก็พากันเริ่มทำสงครามชิงตำแหน่งอยู่เงียบๆ แล้ว หากรัชทายาทขึ้นครองราชย์แล้วแบ่งเขตการปกครองให้จวิ้นอ๋องเลยก็คงจะดี หากไม่ทำเช่นนั้น เกรงว่าเมื่อรัชทายาทขึ้นครองราชย์คงจะเกิดศึกแย่งชิงการสืบทอดอำนาจเป็นแน่ แน่นอนว่ายามนี้เรื่องพวกนี้อาจเป็นเพียงการคาดเดา อย่างไรเสียตอนนี้รัชทายาทก็ยังเป็นรัชทายาทอยู่ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเมื่อครั้งขึ้นครองราชย์พระองค์ได้แต่งตั้งรัชทายาทและแบ่งการปกครองให้โอรสที่เติบใหญ่คนอื่นๆ ทันที และองค์ชายที่เติบโตมาทีหลังก็ล้วนแต่งงานและย้ายออกจากวังกันไป พูดได้ว่า…แม้จะมีความไม่ลงรอยกันบ้างระหว่างองค์ชาย แต่ก็นับว่าปกติสุข อย่างไรก็อยู่ห่างกันนับพันลี้ มิได้มีส่วนร่วมในราชสำนัก ไม่ว่าอยากทำการแย่งชิงอย่างไรก็คงทำไม่ได้
ในจวนเยี่ยนอ๋อง เว่ยจวินมั่วและเยี่ยนอ๋องกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ตรงหน้าของทั้งคู่มีกระดานหมากที่เดินไปแล้วกว่าครึ่ง เยี่ยนอ๋องโบกมือบอกใบ้ให้ข้ารับใช้ที่เข้ามารายงานออกไปก่อน จากนั้นเอ่ยถามเสียงเรียบ “เจ้าว่า เสด็จพ่อทำเช่นนี้หมายความเช่นไร” เว่ยจวินมั่วกำลังคีบหมากหนึ่งตัวอยู่ในมือ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “จะมีอันใดได้พ่ะย่ะค่ะ แน่นอนว่าฝ่าบาทกำลังบ่มเพาะหวงจั่งซุนอยู่”
เยี่ยนอ๋องถอนหายใจ “นิสัยของเชียนเยี่ย…ไม่ใช่ว่าข้ากำลังต่อว่าเขา หากพูดว่าภายนอกสวยดุจทองดั่งหยก ภายในราวกับฝ้ายที่เปื่อยเน่าคงจะรุนแรงเกินไป แต่นิสัยเช่นเขาคิดจะกดขี่คนในราชวงศ์…เกรงว่าคงยาก”
“เสด็จลุงรัชทายาท…” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้วแปลกใจ
เยี่ยนอ๋องเอ่ย “รัชทายาทกับเชียนเยี่ยไม่เหมือนกัน แม้รัชทายาทจะดูสง่างาม ทว่าอย่างไรพระองค์ก็เคยผ่านสนามรบมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราที่เป็นพี่น้องอย่างไรก็ต้องให้เกียรติองค์รัชทายาท น่าเสียดาย…ร่างกายของพระองค์ไม่ดีนัก” ร่างกายขององค์รัชทายาทไม่แข็งแรงจริงๆ ร่างกายของรัชทายาทตั้งแต่ยังเด็กเรียกไม่ได้ว่าโดดเด่นในหมู่องค์ชาย เมื่อผ่านวัยกลางคนก็สูญเสียการควบคุมเรื่องสตรียิ่งหนักขึ้นไปอีก รัชทายาทกับฮ่องเต้ใครจะอยู่ได้นานกว่า ยังคงบอกไม่ได้
เว่ยจวินมั่ววางหมากลง เอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ “เสด็จปู่…ไม่วางใจผู้ครองแคว้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนอ๋องยกยิ้มเอ่ย “ยามนี้ผู้ปกครองเมืองต่างมีอำนาจ เป็นใครก็คงไม่วางใจ เพียงแต่…ผู้ปกครองเมืองต่างๆ ในยามนี้ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ชายในฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน คงไม่มีใครอยากแบกรับความอัปยศหรือโดนประณามว่าเนรคุณหรอก ที่ฝ่าบาทไม่วางใจคงเป็นคนที่ยังอยู่ในราชสำนัก เจ้าลองสังเกตดูสิ หลายปีมานี้เสด็จพ่อสังหารผู้คนมากขึ้นใช่หรือไม่”
เว่ยจวินมั่วนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด ฮ่องเต้อายุมากขึ้นความหวาดระแวงยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น ผู้ที่ติดตามรบเคียงบ่าเคียงไหล่ของฮ่องเต้ตั้งแต่สมัยก่อตั้งประเทศคงเหลือเพียงจวนฉู่กั๋วกงและจวนเอ้อกั๋วกงเท่านั้นแล้ว หลายปีก่อนพระองค์ทรงมีรับสั่งตัดหัวเหลียงกั๋วกงฉินอวี้ผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นคู่หูของฉู่กั๋วกง ฉินอวี้ถูกตัดหัวเป็นเรื่องโด่งดังไปทั่ว สังหารล้างตระกูลขุนนางชั้นสูงขั้นหนึ่ง ขั้นโหวสิบสาม ขั้นปั๋วอีกสอง ทั้งหมดรวมแล้วกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันคน และกรณีของอัครมหาเสนาบดีเจ้ากรมคลังกัวเหิงเมื่อสองปีก่อน สังหารรวมแล้วมากกว่าสามหรือสี่หมื่นคน จริงอยู่ที่ฉินอวี้และกัวเหิงมีความผิด แต่ผู้คนต่างดูออกถึงพระประสงค์ของฮ่องเต้ ดังนั้นสองปีมานี้ไม่ว่าจะเป็นฉู่กั๋วกงหนานกงไหวหรือเอ้อกั๋วกงหยวนชุนที่ร่วมก่อตั้งประเทศมาด้วยกัน ส่วนใหญ่ได้แต่ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบไม่กล้าก่อเรื่องวุ่นวายในราชสำนักมากนัก
“เหลียงกั๋วกงเป็นคนเย่อหยิ่ง มีความภาคภูมิใจในตนเองสูง แต่หากบอกว่าเขาเป็นกบฏ ข้าย่อมไม่เชื่อ” เยี่ยนอ๋องเอ่ยเสียงเรียบ “มิได้มีเพียงข้าที่ไม่เชื่อ ผู้ปกครองเมืองอีกหลายคนก็ไม่เชื่อ แต่เจ้าเห็นมีใครยื่นฎีกาช่วยเขาหรือไม่”
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ฝ่าบาทกำลังปูทางให้กับรัชทายาทและเซียวเชียนเยี่ย”
เยี่ยนอ๋องมองหลานชายของตนอย่างชื่นชม เอ่ยตอบ “ใช่ ยามนั้นหากมีผู้ปกครองเมืองคนใดยื่นฎีกาช่วยเหลียงกั๋วกง…เกรงว่าอย่างน้อยก็คงถูกจองจำ และไม่มีใครกล้าลองว่าเสด็จพ่อจะกล้าสังหารโอรสหรือไม่” เว่ยจวินมั่วกวาดตามองหมากในกระดาน เอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องพวกนี้ ไม่เกี่ยวกับกระหม่อมเท่าใดนัก”
เยี่ยนอ๋องพยักหน้า “เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว เสด็จพ่ออยากปูทางให้รัชทายาทและเซียวเชียนเยี่ย นั่นเป็นเรื่องของพระองค์ ลุงไม่ต้องการให้เจ้าไปเป็นหินขวางทางเชียนเยี่ย เรื่องในราชสำนักหากเลี่ยงได้ก็ยื่นมือไปยุ่งให้น้อยลง ทางที่ดีรีบปล่อยวางแล้วกลับโยวโจวไปกับลุง”
เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว “แม้จะไม่เกี่ยวกับกระหม่อมมากนัก แต่เสด็จลุงทุกคน…ฝ่าบาทสามารถทำให้ทั่วหล้าสั่นสะเทือนได้ แน่นอนว่าสามารถทำให้ผู้ปกครองเมืองและขุนนางต้องหวาดกลัว เพียงเสด็จลุงรัชทายาทหรือเซียวเชียนเยี่ยขึ้นครองราชย์….”
นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างจนปัญญา “หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงต้องคอยดูกันไปอีกทีเมื่อถึงตอนนั้น”