เมื่อลืมตาขึ้นฟ้าก็สว่างแล้ว หนานกงมั่วเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน โชคดีที่ไม่ได้ตกหน้าผาทว่าเป็นการกลิ้งจากเนินเขาลงมา มิเช่นนั้นการตกลงมาจากที่สูงเพียงนี้ต่อให้ไม่ตายก็คงต้องมีแขนหักขาหักบ้าง ความจริงตอนนี้นางเองรู้สึกปวดไปทั้งตัว เห็นได้ชัดว่าได้รับการกระแทกตอนที่กลิ้งตกลงมา ความจริง…นางกลิ้งตกลงจากยอดเขามาไกลจนถึงที่นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องน่าทึ่งแล้วหรือไม่
“แค่กๆ…” ด้านบนศีรษะมีเสียงไออ่อนโรยราถูกส่งมา หนานกงมั่วเงยหน้ามองไปยังเนินเขาที่ไกลออกไปไม่มากนัก เห็นพระภิกษุในชุดสีขาวถูกต้นไม้ขวางเอาไว้ทำให้เขาไม่ได้หล่นลงมาด้วย เพียงแต่ชุดสีขาวที่ไม่เคยต้องแปดเปื้อนยามนี้กลับเต็มไปด้วยเศษดิน หญ้า และยังมีรอยเลือดเปรอะเปื้อน หายากนักที่จะได้เห็นหนานกงมั่วรู้สึกละอายใจขึ้นมาทันใด จะว่าไป…ผู้ที่โชคร้ายก็คือไต้ซือเนี่ยนหย่วนผู้นี้นี่เองที่ต้องมาเจอเรื่องร้ายโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย
พักผ่อนอยู่ชั่วครู่หนานกงมั่วจึงลุกขึ้นเดินโซเซเข้าไปหาและเอ่ยถามเนี่ยนหย่วนที่อยู่ตรงหน้า “ไต้ซือเนี่ยนหย่วน ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
ไม่นาน ในตอนที่หนานกงมั่วเข้าใจว่าเขาอาจจะเป็นลมสลบไปนั้นเนี่ยนหย่วนก็เงยหน้าขึ้นมา เอ่ยตอบ “ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง ยัง…ยังไหว…”
“ท่านดูแล้วเหมือนจะไม่ไหวนะเจ้าคะ” หนานกงมั่วนั่งลงและตรวจดูชีพจรที่ข้อมือของเขาพลางเอ่ย “เหมือนจะได้รับบาดเจ็บในจุดสำคัญภายใน ไต้ซือ…ท่านไม่ได้กระอักเลือดใช่หรือไม่ อีกทั้ง ดูเหมือนว่าร่างกายของท่านไม่ค่อยดีหรือ” ไม่ใช่แค่ไม่ค่อยดี ปกติแล้วเนี่ยนหย่วนดูเหมือนไม่มีปัญหาอันใด แต่เมื่อตรวจชีพจรกลับรู้ว่ามันแย่กว่าคนทั่วไปมากทีเดียว หากไม่ออกบวชก็คงเป็นเพียงคุณชายอ่อนแอคนหนึ่ง แต่ชื่อเสียงของเนี่ยนหย่วนนั้นโด่งดัง คนที่รู้จักเขาจะรู้เพียงว่าเขาเป็นพระผู้ใหญ่มีความสามารถที่อายุน้อยที่สุด แต่มีเพียงไม่กี่คนที่สังเกตเห็นว่าร่างกายของเขานั้นเป็นอย่างไร
เนี่ยนหย่วนยิ้มเจื่อน เอ่ยอย่างจนปัญญา “ทำให้ท่านต้องลำบากแล้ว”
“เป็นข้าต่างหากเล่าที่ทำให้ท่านต้องมาลำบากด้วยถึงจะถูก” หนานกงมั่วถอนหายใจ คิดไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่จึงพยุงเนี่ยนหย่วนลุกขึ้นและเดินลงไปนั่งยังพื้นที่ราบด้านล่าง สภาพร่างกายของเนี่ยนหย่วนตอนนี้ไม่เหมาะจะเคลื่อนไหวมากนัก แต่จะให้ค้างเติ่งอยู่กับต้นไม้ก็คงไม่เหมาะนัก ไม่รู้ว่าจะหล่นลงมาตอนไหน
“ที่นี่คือที่ใดกัน” หนานกงมั่วนั่งลงสักพัก มองดูสภาพร่างกายของเนี่ยนหย่วน จากนั้นจึงเอ่ยถาม
เนี่ยนหย่วนเงยหน้ามองไปรอบทิศ เอ่ยอย่างไม่มั่นใจ “เขาจื่ออวิ๋นมีพื้นที่ไม่น้อย เมื่อคืน…ไม่รู้เหมือนกันว่าเรามาถึงที่ไหน ที่นี่คงจะอยู่ห่างจากวัดต้ากวงหมิงถึงจะถูก อาตมาไม่เคยมาที่นี่” มองหนานกงมั่ว เนี่ยนหย่วนเอ่ย “วรยุทธ์ของคุณหนูหนานกงไม่ธรรมดาเลยใช่หรือไม่ ไม่สู้ท่านกลับไปตามคนมา อาตมาเกรงว่าอีกสักหน่อยคงจะเคลื่อนไหวได้ยากแล้ว”
หนานกงมั่วลังเล ยามนี้ป่าไม้นี้ไม่ได้อยู่ในสมัยของนาง ไม่แน่ว่าในป่าอาจมีสัตว์ร้ายอยู่ เนี่ยนหย่วนที่ร่างกายอ่อนแอ หากเกิดอันใดขึ้น…
“ไม่ต้องเป็นกังวล ท่านรีบไปรีบกลับเถิด มิเช่นนั้นมีเพียงท่านกับอาตมา ต่อให้มีวรยุทธ์สูงส่งเพียงใดเกรงว่าก็คงไม่มีทางพาอาตมาออกไปได้ใช่หรือไม่” เนี่ยนหย่วนเอ่ย หนานกงมั่วพยักหน้า เป็นความจริงดังที่เนี่ยนหย่วนกล่าว ต่อให้เนี่ยนหย่วนดูอ่อนแอบอบบางทว่าอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษ ยิ่งไปกว่านั้นส่วนสูงของเนี่ยนหย่วนก็ไม่ได้ต่างจากเว่ยจวินมั่วนัก อาศัยนางประคองเขาออกจากป่ามิสู้รักษาเนี่ยนหย่วนให้หายและปล่อยให้เขาเดินเองจะดีกว่า
หนานกงมั่วพยักหน้าพลางเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไต้ซือระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ”
เมื่อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หนานกงมั่วจึงเทเหล้ายาล้อมเขาเอาไว้ ทิ้งมีดสั้นเอาไว้ให้เขาป้องกันตัว น่าเสียดายที่นางมาอยู่ที่วัดจึงไม่ได้เตรียมยาดีๆ มาด้วย เพียงแต่…เงยหน้าขึ้นไปมองเมฆหมอกที่ยอดเขา นางรีบไปรีบกลับคงจะไม่เป็นอันใด
หนานกงมั่วไม่สนใจบาดแผลบนร่างกาย ใช้วิชาตัวเบาดีดตัวขึ้นไปด้านบน เมื่อขึ้นไปได้สักพักจึงรู้ว่าพวกเขาตกลงมาไกลทีเดียว หาจุดที่ตกลงมาเมื่อคืนไม่เจอเลยด้วยซ้ำ มุ่งหน้าตรงขึ้นสู่ยอดเขา สุดท้ายมาถึงหน้าผาที่ราบเรียบ เงยหน้าขึ้นไปมองหน้าผาตรงหน้า หนานกงมั่วคิดสงสัยอยู่ในใจ พวกเขาตกลงมาจริงๆ หรือ หากตกลงมาจากด้านบนนั่น ร่างทั้งสองคงเละ แล้วจะกลิ้งตกลงไปอีกได้อย่างไร แต่จะว่าตกจากที่อื่นก็เป็นไปไม่ได้ ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครตกจากเขาฝั่งนี้ไปจนถึงฝั่งโน้นได้
หนานกงมั่วไม่สนใจเรื่องพวกนี้ต่อ เดินอ้อมไปอีกด้านของหน้าผา สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือหาทางกลับให้เจอโดยเร็วที่สุด
หนานกงมั่วเดินได้สักพักก็มองไปรอบๆ พลันชะงัก นางเดินมาถึงหน้าผาราบเรียบอีกแล้ว แต่นี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาจื่ออวิ๋นมีพื้นที่กว้างใหญ่นางเองก็รู้ แต่อย่างน้อยก็คงเป็นไปไม่ได้ที่นางเดินมากว่าครึ่งชั่วยามแล้วยังวนอยู่ที่เดิม บวกกับเมฆหมอกที่ปกคลุมไม่จางหาย เมื่อครั้งอยู่ด้านล่างนั่นยังไม่รู้สึกอะไร เมื่อเดินขึ้นเขามาก็ใกล้ถึงเวลาเที่ยง แดดร้อนจัดทว่าเมฆหมอกกลับไม่จางหาย น่าแปลก
ค่ายกลหรือ คุณหนูหนานกงยังไม่เคยเจอค่ายกลในโลกโบราณแห่งนี้
ครุ่นคิดอยู่นาน หนานกงมั่วไม่มองเส้นทางและทิวทัศน์โดยรอบ ทว่าเงยหน้าขึ้นไปมองพระอาทิตย์บนศีรษะ เลือกทิศทางและก้าวเดินออกไปอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมทำสัญลักษณ์เอาไว้ด้วย ไม่สนใจเส้นทางที่เท้าย่างเหยียบ หนานกงมั่วทำเพียงเดินมุ่งหน้าเป็นเส้นตรง ทันใดนั้นจึงรู้สึกได้ว่าทิวทัศน์โดยรอบนั้นต่างไปจากเดิม เลิกคิ้วขึ้นและเดินตรงไป เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากด้านหลัง “ฮ่าๆ เสี่ยวมั่วเอ๋อร์ ไม่ทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ”
หนานกงมั่วหันกลับไป เห็นเพียงเงาสีดำที่เดินเชื่องช้าออกมาจากเมฆหมอกนั่น เมื่อมองเห็นคนในชุดสีดำผู้นั้นหนานกงมั่วก็รู้สึกรำคาญขึ้นมา เอ่ยเสียงเย็น “เจอกันอีกแล้วนะเจ้าสำนักกง”
กงอวี้เฉินมองหนานกงมั่วด้วยความประหลาดใจ “เห็นข้าแล้วมั่วเอ๋อร์ไม่รู้สึกแปลกใจเลยหรือ”
หนานกงมั่วเอ่ยหน้านิ่ง “ข้าเพียงอยากรู้…ข้ากับเจ้าสำนักกงมีความแค้นอันใดกันหรือ”
“เอ๋ มั่วเอ๋อร์ลืมไปแล้วหรือ…เมื่อก่อนเจ้าทำลายแผนการของข้าไปมากมายเพียงใด” กงอวี้เฉินเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเสียดาย หนานกงมั่วเอ่ยตอบเสียงเรียบ “หากจำไม่ผิด ก่อนหน้านั้นท่านมาวุ่นวายกับข้าก่อน” เห็นได้ชัดว่ากงอวี้เฉินไม่สนใจลำดับก่อนหลัง ทำเพียงยิ้มตาหยี “เสี่ยวมั่วเอ๋อร์ ครั้งนี้โทษข้าไม่ได้ เพราะพวกเจ้าข้าถึงได้สูญเงินไปไม่น้อย ข้าจะเอาคืนหน่อยไม่ได้หรือ มีคนเอาเงินมาจ้างข้า ข้าเองก็ไม่รังเกียจเงิน”
“ไยข้าจึงจำไม่ได้ว่าข้าไปทำให้ผู้ใดขุ่นเคืองบ้าง” หนานกงมั่วหลุบตา เอ่ยตอบเสียงเรียบ
กงอวี้เฉินยิ้ม “ข้ารู้ว่ามั่วเอ๋อร์อยากรู้ว่าคนที่จ่ายเงินจ้างมือสังหารเป็นใคร ฮ่าๆ…เจ้าลองทายสิ โชคดีที่คนผู้นั้นมาหาข้าไม่ใช่วังจื่อเซียว มิเช่นนั้น…คงสนุกน่าดู”
“ผู้ที่มีเงินจ้างมือสังหารมาฆ่าข้าได้ ใกล้ตัวก็มีไม่กี่คน รักที่จะพูดแต่ไม่พูด เจ้าสำนักกงจะลงมือหรือจะคุยต่อเล่า” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว แสดงท่าทางไม่พอใจออกมา กงอวี้เฉินยิ้มจนตาหยี “มั่วเอ๋อร์อยากรอคนของเว่ยจวินมั่วมาช่วยเจ้าหรือไม่ ข้าขอเตือนว่าเจ้าอย่าได้คาดหวังมาก ครั้งนี้นับว่าสวรรค์เข้าข้างข้า เขาจื่ออวิ๋นแห่งนี้เป็นถิ่นของข้า ฮ่าๆ…มีค่ายกลกระจายไปทั่ว ไม่มีคนนำทาง ต่อให้เว่ยจวินมั่วขนคนมาหมดวังจื่อเซียวใช้เวลาอีกหลายวันก็ไม่แน่ว่าจะเจอ อ้อ เสี่ยวมั่วคนเดียวใช้เวลาวันสองวันอาจจะออกไปได้ เพียงแต่เจ้าไม่เป็นห่วงพระผู้นั้นหรือ”