เว่ยจวินมั่วพยักหน้า “มีอะไร”
องครักษ์เอ่ยตอบ “รายงานซื่อจื่อ องค์หญิงเชิญซื่อจื่อกลับเมืองหลวงด่วนขอรับ”
“เกิดเรื่องอันใด” เว่ยจวินมั่วเอ่ยถาม หากไม่เกิดเรื่องมารดาไม่เคยยุ่งว่าเขาจะไปที่ใด เพราะใกล้ถึงพิธีแต่งงานแล้วช่วงนี้เขาจึงไม่ต้องเข้าเวร
องครักษ์เอ่ยตอบ “ในเมืองหลวงมีข่าวลือ บอกว่า…คุณหนูใหญ่หนานกงหนีตามคนอื่นไปแล้วขอรับ”
“แค่กๆๆ” ลิ่นฉังเฟิงสำลักน้ำลายตนเอง หลังจากการไออย่างหนัก ใบหน้าหล่อเหลาของคุณชายฉังเฟิงพลันแดงก่ำ เนิ่นนานจึงเอ่ยออกมาได้ “เหลว ไหล”
“ซื่อจื่อ” องครักษ์มองเว่ยจวินมั่วอย่างลำบากใจ ชั่วขณะพลันไม่กล้าถามว่าเขาจะกลับหรือไม่
เว่ยจวินมั่วเงียบอยู่ชั่วครู่ เอ่ยเสียงเรียบ “กลับไปรายงานเสด็จแม่ ข้ามีธุระ ต้องอยู่ที่วัดต้ากวงหมิง เรื่องในจินหลิงคงต้องลำบากเสด็จแม่แล้ว”
สายตาขององครักษ์แปลกประหลาดไป แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนตรงหน้าเป็นใครแล้วจึงรีบก้มหน้าลง รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ในใจ เดิมคิดว่าเป็นเพียงข่าวลือ คงไม่ใช่…ว่าที่พระชายาซื่อจื่อ…เอ่อ คิดถึงความเป็นไปได้นี้ องครักษ์เหงื่อแตกพลั่กอย่างห้ามไม่ได้
“ยังไม่ไปอีก” เว่ยจวินมั่วเหลือบมองเขา เอ่ยเสียงเข้ม
“ขอ ขอรับ ข้าน้อยลาแล้วขอรับ” องครักษ์ก้าวถอยออกไปสองก้าว จากนั้นรีบหมุนตัวมุ่งตรงลงเขาทันที ซื่อจื่อช่างน่ากลัว ต้องรีบไปรายงานข่าวร้ายนี้แก่องค์หญิง
“แค่กๆ จวินมั่ว เขาเข้าใจอะไรผิดแล้วหรือไม่” ลิ่นฉังเฟิงถามด้วยสายตาแปลกประหลาด
เว่ยจวินมั่วหมุนตัวเดินลงเขาไป เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องสนใจ เสด็จแม่ไม่ได้โง่เหมือนเขา”
ในเรือนพักของวัดต้ากวงหมิง จือซูและหมิงฉินยืนขวางอยู่หน้าประตู จ้องมองหนานกงซูด้วยความโกรธ หนานกงซูขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “สาวใช้พวกนี้ช่างไม่รู้ความ เย่ว์จวิ้นอ๋องมาหาพี่สาวด้วยตนเอง พวกเจ้ามายืนขวางอยู่ที่นี่หมายความเช่นไร” จือซูจับหมิงฉินที่กำลังกรุ่นโกรธเอาไว้ เดินก้าวขึ้นไปด้านหน้าจากนั้นย่อตัวเคารพ “บ่าวเองก็อยากถามว่าคุณหนูรองและเย่ว์จวิ้นอ๋องหมายความเช่นไร คุณหนูกำลังสวดมนต์ขอพรอยู่ในวัด คุณหนูรองกลับพาเย่ว์จวิ้นอ๋องมาเยี่ยมเยียน ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเย่ว์จวิ้นอ๋องไม่ใช่น้องเขยของคุณหนูใหญ่ ต่อให้เป็นน้องเขยคุณหนูใหญ่จริงๆ ก็มิมีเหตุผลที่น้องเขยจะมาเยี่ยมเยียนพี่สาวภรรยาก่อนออกเรือน”
เซียวเชียนเยี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างเริ่มไม่พอใจ แต่เขายังพอมีสติ แม้จะมีความแค้นต่อหนานกงมั่ว เวลานี้หากมีโอกาสเพิ่มความวุ่นวายให้นางบ้างแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่เขายังไม่อยากทำให้เยี่ยนอ๋อง ฉีอ๋อง และองค์หญิงฉังผิงต้องขุ่นเคือง ขมวดคิ้ว หันไปเอ่ยกับหนานกงซู “ซูเอ๋อร์ สาวใช้ผู้นี้พูดไม่ผิด เจ้าเข้าไปเยี่ยมซิงเฉิงจวิ้นจู่ก็พอแล้ว ข้ารอเจ้าอยู่ด้านนอก”
จือซูเอ่ยเสียงเรียบ “คุณหนูใหญ่กำลังคัดพระคัมภีร์ ยังรับแขกไม่ได้ ขอคุณหนูรองได้โปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”
หนานกงซูยิ้มเย็น เอ่ย “คัดคัมภีร์รับแขกไม่ได้อันใดกัน คงไม่ใช่เป็นดังข่าวลือด้านนอกนั่นหรอกหรือ หนานกงมั่วหนีตามคนอื่นไปแล้วใช่หรือไม่ ข้าว่าแล้ว หนานกงมั่วจะยอมแต่งงานกับเว่ยจวินมั่วนั่นง่ายๆ ได้เยี่ยงไร…”
“ซูเอ๋อร์” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยขัดวาจาของนาง หนานกงซูชะงักรู้ตัวว่าตนพลั้งปาก รีบส่งเสียงหยัน เอ่ยต่อ “สาวใช้อย่างพวกเจ้าช่างกล้านัก พี่สาวหนีตามคนอื่นไปแล้วยังไม่รีบรายงานท่านพ่อซ้ำยังมาเล่นอะไรเหลวใหลอยู่ที่นี่อีก” จือซูใบหน้าเย็นยะเยือก เอ่ยเสียงเข้ม “คุณหนูรอง คุณหนูใหญ่มีความแค้นเคืองอันใดกับท่าน ท่านจึงต้องทำลายชื่อเสียงคุณหนูใหญ่ถึงเพียงนี้ หรือว่าตนเองมีชื่อเสียงไม่ดีแล้วจึงต้องการให้สตรีทั้งโลกเสียชื่อเสียงตามไปด้วยอย่างนั้นหรือ”
“บังอาจ” หนานกงซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “บ่าวสามหาว ตบปากเจ้าเสีย”
หมิงฉินรีบดึงจือซูมาหลบอยู่ด้านหลัง หุยเสวี่ยและเฟิงเหอก็รีบขยับเข้าขนาบข้างทั้งสองคน หมิงฉินยิ้มเย็น “คุณหนูรองคิดไตร่ตรองให้ดีนะเจ้าคะ คุณหนูของเราเป็นถึงซิงเฉิงจวิ้นจู่ที่ฮ่องเต้แต่งตั้ง คิดจะตบปากจือซูก็ควรจะดูด้วยว่าตัวเองนั้นมีสิทธ์หรือไม่”
หนานกงซูโกรธบรรดาสาวใช้ไม่น้อย หันกลับไปมองเซียวเชียนเยี่ยดวงตานองไปด้วยน้ำตา “เซียวหลาง ท่านดูพวกนางสิเจ้าคะ…” เซียวเชียนเยี่ยนวดหัวคิ้วอย่างปวดหัว “เอาล่ะซูเอ๋อร์ ในเมื่อจวิ้นจู่มีธุระเราก็กลับกันก่อนเถิด อีกสองวันก็ถึงวันพิธีแต่งงานแล้วมีเรื่องใดค่อยว่ากันก็ได้” แม้อยากหาเรื่องหนานกงมั่ว แต่เซียวเชียนเยี่ยยังจำถึงคำสั่งสอนของเสด็จปู่ได้ ช่วงนี้อยู่เงียบๆ จะดีกว่า
หนานกงซูจ้องเขม็งไปยังสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างไม่ยอมแพ้ นางมีความมั่นใจเต็มร้อยว่าหนานกงมั่วมิได้อยู่ด้านใน แต่สาวใช้พวกนี้…
“ไปกันเถิด”
หนานกงซูยังไม่ยอม กัดฟันเอ่ย “ท่านอ๋อง ซูเอ๋อร์เพียงอยากเจอพี่สาวสักนิด ไม่ไปรบกวนนางแน่นอน อย่างไรเมื่อคืนก็เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ยามนี้มีข่าวลือไปทั่วเมือง เกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมา…ท่านพ่อจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด…” เซียวเชียนเยี่ยครุ่นคิด สุดท้ายจึงพยักหน้าตอบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็เข้าไปดูเถิด อย่าไปรบกวนการคัดอักษรของซิงเฉิงจวิ้นจู่” ขอเพียงได้เห็นสักนิด มันเป็นเรื่องธรรมดาของพี่น้อง หากหนานกงมั่วอยู่ด้านในแน่นอนว่าไม่เป็นไร หากหนานกงมั่วไม่อยู่ก็ไม่เกี่ยวกับเขาอยู่ดี
เมื่อได้รับคำอนุญาตจากเซียวเชียนเยี่ย หนานกงซูจึงหันไปชายตามองพวกจือซูเล็กน้อย เอ่ย “ยังไม่หลบอีก วาจาของหวงจั่งซุนพวกเจ้ากล้าขัดหรือ”
สาวใช้มองสบตากัน สุดท้ายจึงหลีกทางให้ด้วยใบหน้าไม่พอใจ
หนานกงซูผลักประตูเปิดเข้าไป เดิมคิดว่าจะเห็นเพียงห้องว่างเปล่า ทว่าไม่คิดว่าเมื่อเปิดประตูเข้ามาแล้วจะมองเห็นหญิงสาวที่อยู่ในชุดสีขาวนวลคุ้นตานั่งอยู่ริมหน้าต่าง เส้นผมถูกม้วนลวกๆ ครึ่งหนึ่งถูกปล่อยลงมาคลอเคลียบนไหล่ กำลังนั่งจับพู่กันคัดพระคัมภีร์ ได้ยินเสียงประตูเปิดออก หญิงสาวก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เพียงเอ่ยถามเสียงเรียบ “มีอะไร” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถาม หนานกงซูฟังออกว่าเป็นเสียงของหนานกงมั่วจริงๆ จือซูที่เดินตามเข้ามา ก้าวขึ้นมาด้านหน้ารายงานด้วยท่าทางนอบน้อม “คุณหนู คุณหนูรองมาเยี่ยมเจ้าค่ะ”
“ให้นางกลับไป” หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบ
หนานกงซูเดินเข้าไปด้านหน้า อยากขยับเข้าไปใกล้อีกสักนิด ทว่าถูกจือซูและหมิงฉินเข้ามาขวางเอาไว้ “คุณหนูรอง ท่านก็เห็นแล้ว อย่ารบกวนเวลาคุณหนูคัดอักษรเลยเจ้าค่ะ เชิญคุณหนูรองกลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
หนานกงซูไหนเลยจะยอม เห็นอยู่…เห็นอยู่ว่า…หนานกงมั่วไยจึงยังอยู่ที่นี่ได้ ผลักจือซูออก หนานกงซูพุ่งเข้าไปด้านใน แสงสีเงินสว่างวาบ ดาบยาวจ่อเข้าที่ลำคอของหนานกงซู หากหนานกงซูขยับเข้ามาเร็วกว่านี้อีกสักนิดเกรงว่าคงจะได้เห็นเลือดเป็นแน่ หนานกงซูตกใจเกือบกรีดร้องออกมา แต่เพราะดาบเย็นที่ลำคอทำให้จำต้องกลืนเสียงกรีดร้องนั้นลงไป ทำเพียงเบิกตากกว้างมองชายหนุ่มในชุดสีครามด้วยความหวาดกลัว
เว่ยจวินมั่วก้มหน้าชายตามองใบหน้างดงามไร้สีเลือดตรงหน้า เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าคิดจะทำสิ่งใด”
“ข้า…ข้า…” หนานกงซูแทบล้มทั้งยืน กลืนน้ำลายมองดาบที่จ่ออยู่ที่ลำคอ เอ่ยเสียงสั่น “ข้า ข้ามาดูพี่สาว”
“ตอนนี้เจ้าเห็นแล้ว ออกไป” เว่ยจวินมั่วเอ่ย