“แต่ว่า…”
เว่ยจวินมั่วกระตุกยิ้มเย็น “ในเมื่อไม่อยากออกไป งั้นก็อยู่ที่นี่เสียเถิด” ดาบในมือยื่นมาด้านหน้า หนานกงซูก้าวถอยหลัง มองเว่ยจวินมั่วด้วยความหวาดกลัว “ข้า…ข้าจะออกไป เดี๋ยวข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้” นางไม่กล้าเดิมพันว่าหากนางยืนหยัดที่จะอยู่ เว่ยจวินมั่วจะแทงมาจริงหรือไม่ เพียงมองสายตาเย็นชาของเว่ยจวินมั่ว นางก็รู้สึกว่านางอาจถูกสังหารได้ทุกเมื่อ
เซียวเชียนเยี่ยที่มองเห็นหนานกงซูเดินโซซัดโซเซออกมาจากด้านในก็ขมวดคิ้ว ยื่นมือไปประคองนางพลางเอ่ยถาม “เกิดสิ่งใดขึ้น” หนานกงซูมองเว่ยจวินมั่วที่อยู่ด้านหลัง ส่ายหน้าด้วยความหวาดกลัว เซียวเชียนเยี่ยเลิกคิ้ว “น้องชาย เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร ไม่ใช่ว่า…ก่อนพิธีแต่งงานห้ามเจ้าบ่าวเจ้าสาวพบหน้ากันมิใช่หรือ”
เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่รู้ว่าใครคิดชั่วหวังทำลายชื่อเสียงของอู๋สยา ข้าจึงต้องมาดูให้มั่นใจว่าอู๋สยานั้นไม่เป็นไรจริงๆ”
ดวงตาของเซียวเชียนเยี่ยวาววับ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เห็นน้องชายยังสบายอกสบายใจเช่นนี้ คงจะเป็นข่าวลือจริงๆ สินะ คนที่ปล่อยข่าวลือพวกนี้ช่างน่ารังเกียจเสียจริง หากน้องชายมีเรื่องใดต้องการความช่วยเหลือจงรีบเอ่ย” เห็นเว่ยจวินมั่วอยู่ที่นี่ เซียวเชียนเยี่ยจึงต้องพับเก็บความคิดที่อยากยื่นมือเข้ามายุ่ง ในเมื่อเว่ยจวินมั่วมายืนอยู่ตรงนี้แล้ว แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดถึงความคิดของเขาและองค์หญิงฉังผิงที่มีต่อเรื่องนี้ อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเขา ไยต้องเข้ามาแทรกแซงทำให้ตนเองนั้นเสียหายไปด้วย เสด็จปู่กล่าวได้ถูกต้อง เขาที่เป็นหวงจั่งซุนจะเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ในความขัดแย้งของครอบครัวเล็กๆ นี้ไม่ได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น รอยยิ้มของเซียวเชียนเยี่ยยิ่งจริงใจมากขึ้น “เช่นนี้ คงไม่รบกวนน้องชายแล้ว อีกสองวันข้าจะมาดื่มแสดงความยินดีกับเจ้าสักจอก”
“แน่นอน เย่ว์จวิ้นอ๋องกลับดีๆ พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ
หลังจากส่งเซียวเชียนเยี่ยและหนานกงซู เว่ยจวินมั่วจึงหมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง หญิงสาวที่เดิมนั่งคัดอักษรอยู่รีบลุกขึ้น หันกลับมา เอ่ย “ข้าน้อยคารวะคุณชาย”
บรรดาจือซูเองก็ตื่นตระหนก พึ่งเห็นชัดๆ ว่าหญิงสาวในชุดสีขาวผู้นั้นมีรูปร่างคล้ายคลึงกับคุณหนูกว่าเจ็ดแปดส่วน เมื่อกดเสียงต่ำก็ยิ่งสมเหตุสมผล แม้หน้าตาไม่เหมือนทว่าโครงหน้านั้นมีมิได้แตกต่างกันมาก เมื่อแต่งหน้าเข้าไป และเปิดเผยใบหน้าให้เห็นเพียงบางส่วนก็ยากจะแยกได้ หากไม่คุ้นเคยใกล้ชิดกับคุณหนู บรรดาสาวใช้ก็เกือบหลงเชื่อว่าคุณหนูกลับมาแล้วจริงๆ
“ซื่อจื่อ…คุณหนู เมื่อคืนคุณหนูตามคนที่มาลอบสังหารออกไป ซื่อจื่อได้โปรดเชื่อใจคุณหนูนะเจ้าคะ…” หุยเสวี่ยเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนใจ พวกนางพักอยู่ในห้องจึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เพียงเป็นห่วงคุณหนูที่ยังไม่กลับมาตลอดทั้งคืน เมื่อเห็นหนานกงซูมาโหวกเหวกโวยวายจึงได้รู้ว่าด้านนอกนั่นมีข่าวลือออกไปเช่นนั้นแล้ว หากซื่อจื่อเชื่อว่าเป็นความจริง…
เมื่อเห็นความจงรักภักดีของสาวใช้ที่มีต่อหนานกงมั่ว ความเย็นชาในดวงตาของเว่ยจวินมั่วจึงลดลงไปกว่าสองส่วน เอ่ยเสียงเข้ม “ข้ารู้ ไม่นานอู๋สยาก็จะกลับมา พวกเจ้าเฝ้าที่นี่เอาไว้ ไม่มีคำอนุญาตจากข้าห้ามใครเข้ามาเด็ดขาด”
“เจ้าค่ะ ซื่อจื่อ”
“คุณชาย เมื่อครู่…หนานกงซูจะเชื่อหรือไม่เจ้าคะ” หญิงสาวผู้ปลอมตัวเป็นหนานกงมั่วขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยถามด้วยความกังวล หนานกงซูกำลังจะเดินเข้ามาก็ถูกดาบของคุณชายหยุดเอาไว้ เมื่อหนานกงซูหายตกใจแล้วมาคิดตามทีหลัง ไม่แน่อาจรู้ว่าพวกเขามีบางอย่างปิดบังอยู่ เว่ยจวินมั่วแสยะยิ้มเย็น “ไม่เชื่อ แล้วอย่างไร”
“…” หญิงสาวเงียบ ในเมื่อคุณชายเองยังไม่กังวล พวกนางก็คงไม่ต้องกังวลแล้ว
ในจวนฉู่กั๋วกง บรรยากาศในห้องหนานกงชวี่นั้นอึมครึม หนานกงฮุยที่พึ่งกลับมาจากหูก่วงโกรธจนดวงตาแดงก่ำ ผ่านการฝึกฝนจากสนามรบมาแล้ว ดวงตาที่เคยไร้เดียงสามีความมั่นคงมากขึ้น หลินซื่อยืนอยู่ด้านข้าง มองทั้งสองคนอย่างระมัดระวัง ซ่อนความดีใจของตนอยู่ในใจ เอ่ยถาม “ท่านพี่…ข่าวนี้กระจายไปทั่วจินหลิงแล้ว ยามนี้…พวกเราควรทำเช่นไรเจ้าคะ”
หนานกงชวี่เงยหน้าขึ้น จ้องหลินซื่อเขม็ง หลินซื่อตัวสั่นเทานึกว่าหนานกงชวี่มองเห็นความคิดที่อยู่ในใจของนาง อดไม่ได้จึงก้าวถอยหลัง มองหนานกงชวี่อย่างขลาดกลัว หนานกงชวี่เอ่ยเสียงขรึม “เจ้าออกไปก่อน”
แม้หลินซื่อจะไม่ยอม ทว่าทำอันใดไม่ได้ ทำได้เพียงย่อตัวและเดินออกไป เมื่อก้าวเดินออกไปได้กว่าสิบก้าวจึงหันมองกลับมาที่ห้องหนังสืออีกครั้ง ใบหน้ามีรอยยิ้มเหยียดหยันปรากฏขึ้น หนานกงมั่ว เจ้านึกว่าตนเองเก่งจนไม่รู้ไปทำให้ใครเขาขุ่นเคืองเข้าจึงถูกเก็บเงียบๆ ดูสิว่าครั้งนี้เจ้าจะเอาตัวรอดได้เช่นไร
“ต้องเป็นเจิ้งซื่อคนนั้นแน่ ต้องเป็นนางแน่ๆ” ในห้องหนังสือ หนานกงฮุยตบโต๊ะเสียงดัง กัดฟันเอ่ยขึ้น
หนานกงชวี่เหลือบตาขึ้นมามองเขา เอ่ยเสียงเรียบ “ฮุยเอ๋อร์ ใจเย็นก่อน”
หนานกงฮุยเดินไปมาในห้องหนังสือด้วยท่าทางร้อนรน เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด “ยังใจเย็นได้หรือ ข้าจะเย็นได้เยี่ยงไรเล่า พี่ใหญ่ มั่วเอ๋อร์เป็นน้องสาวของพวกเรานะ” หนานกงชวี่ยกมือขึ้นนวดหัวคิ้ว เอ่ยตอบ “ข้าไม่ได้โง่ ตอนนี้เจ้าร้อนใจแล้วจะมีประโยชน์อันใด เจ้ามีหลักฐานหรือเจ้าสามารถหยุดข่าวลือพวกนี้ได้หรือ” หนานกงฮุยกัดริมฝีปากแน่นไม่เอ่ยสิ่งใด เขาทำอันใดไม่ได้จริงๆ แม้เขาพึ่งจะกลับจากการทำสงคราม แต่ความดีความชอบเพียงครั้งเดียวนั้นมิได้มีอำนาจมากพอให้เขาใช้อำนาจได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการหยุดข่าวลือพวกนั้น
“เช่นนั้นแล้วจะทำเยี่ยงไร”
หนานกงชวี่ยืนขึ้น “ไปพบท่านพ่อกับข้า”
“รายงานคุณชายใหญ่ คุณชายรอง นายท่านให้มาตามทั้งสองท่านไปพบตอนนี้ขอรับ” ทั้งสองมองสบตากัน เข้าใจกันทันที ท่านพ่อรู้แล้ว
หนานกงไหวรู้แล้วจริงๆ เมื่อได้ยินข่าวนี้หนานกงไหวแทบกระอักเลือด เขาเพียงต้องการให้บุตรีแต่งออกไปอย่างปลอดภัยและมั่นคง ไยจึงเป็นเรื่องยากเช่นนี้ เมื่อก่อนหนานกงซูเป็นเช่นนี้ ยามนี้หนานกงมั่วยังมาเป็นเช่นนี้อีก นึกถึงท่าทีต่อต้านการแต่งงานครั้งนี้ของหนานกงมั่วเมื่อครั้งอยู่ตานหยาง และปฏิกิริยาที่ต่างออกไปอย่างชัดเจนเมื่อกลับมายังจินหลิง เปลือกตาหนานกงไหวกระตุกไม่หยุด คงไม่ใช่แสดงละครตบตาเพื่อหลอกให้พวกเขาหลงเชื่อ เด็กนั่นไม่อยากแต่งกับเว่ยจวินมั่วจริงๆ จึงได้หนีการแต่งงานไปอย่างนั้นหรือ
“ท่านพี่อย่าพึ่งโกรธเลยเจ้าค่ะ” มองท่าทีโกรธเกรี้ยวจนใบหน้าของหนานกงไหวดำทะมึนแล้ว เจิ้งซื่อรู้สึกระริกระรี้อยู่ในใจ สถานการณ์เช่นนี้รู้สึกดีกว่าการฆ่าหนานกงมั่วให้ตายด้วยซ้ำ ชื่อเสียงเสียหายไปแล้ว อยากจะรู้เหมือนกันว่านางจะเอาอันใดมาเป็นจวิ้นจู่มาเป็นชายาซื่อจื่อ
หนานกงไหวผลักเจิ้งซื่อออก เอ่ยเสียงเย็น “ลูกไม่รักดี ช่างกล้านัก”
เจิ้งซื่อเอ่ยเสียงเบา “ท่านพี่อย่าได้โกรธ อย่างไรก็เป็นเพียงข่าวลือเรายังไม่เห็นกับตา เราไปดูก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เกิดว่า…คุณหนูใหญ่ถูกให้ร้ายเล่า หากเกิดเรื่องจริงๆ สาวใช้พวกนั้นก็คงต้องรีบมารายงานแล้ว ไยต้องยื้อเวลามาจนถึงตอนนี้” หนานกงไหวส่งเสียงหยัน “ช่างเถิด ข้าจะไปดูด้วยตนเองว่าลูกไม่รักดีคนนั้นกำลังทำอันใดอยู่กันแน่”
“ท่านพี่ใจเย็นนะเจ้าคะ” ที่ด้านนอก หนานกงชวี่และหนานกงฮุยสาวเท้าก้าวเข้ามา หนานกงไหวกวาดตามองพวกเขา เอ่ยเสียงเข้ม “เรื่องของมั่วเอ๋อร์ เจ้าได้ยินแล้วหรือไม่”