หนานกงฮุยหลุบตาลง เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านพ่อ เรื่องสำคัญในตอนนี้ไม่ใช่มั่วเอ๋อร์อยู่หรือไม่อยู่วัดต้ากวงหมิง แต่เป็นข่าวที่ลือไปทั่วเมืองหลวงต่างหาก”
หนานกงไหวชะงัก มองหนานกงชวี่พลางเอ่ย “กว่าพวกเราจะรู้ข่าวลือก็ถูกกระจายไปทั่วแล้ว ยังจะปิดปากทุกคนได้อยู่หรือ ขอเพียงเอาตัวมั่วเอ๋อร์กลับมา ข่าวลือทั้งหมดก็จะหายไป ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าควรทำเช่นไร”
หนานกงชวี่เอ่ย “ตอนนี้สถานที่ที่ท่านพ่อต้องไปมิใช่วัดต้ากวงหมิง แต่ต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท หาทางจัดการกับคนที่คิดทำลายชื่อเสียงของซิงเฉิงจวิ้นจู่และผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียง ส่วนมั่วเอ๋อร์ แน่นอนเวลานี้ต้องอยู่ที่วัดต้ากวงหมิง อีกสองวันก็ถึงวันพิธีแต่งงานแล้ว ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่ต้องเรียกตัวมั่วเอ๋อร์กลับมา การไหว้พระขอพรคงสูญเปล่า เช่นนั้นคงไม่เป็นการดีต่อการแต่งงาน”
หนานกงไหวมองหนานกงชวี่นิ่ง เอ่ยถาม “เจ้าพูดก็ถูก แต่ว่า…หากน้องสาวของเจ้า…”
หนานกงชวี่หลุบตาลง “ลูกเชื่อว่ามั่วเอ๋อร์ไม่ใช่คนไม่รู้หนักเบาไม่สนคนอื่น แม้จะเป็นเช่นนั้นจริง เรายังพอมีเวลาหารือกับผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงนะขอรับ อย่างไรเสีย…จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องและองค์หญิงฉังผิงคงไม่อยากเสียหน้าหรอกขอรับ”
หนานกงไหวนิ่งเงียบ เจิ้งซื่อลอบกำผ้าในมือแน่นด้วยความโกรธแค้น ทว่าพูดมากไม่ได้ ไม่นานหนานกงไหวก็ลุกขึ้น เอ่ยตอบ “ได้ ทำตามที่เจ้าบอก ข้าจะเข้าวังตอนนี้“
“ขอบคุณท่านพ่อ” หนานกงชวี่กล่าวเสียงเรียบ
หนานกงไหวลุกขึ้นรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวเข้าวัง เจิ้งซื่อยืนอยู่อีกฝั่งมองสองพี่น้องที่ยืนเคียงข้างกัน ในใจนั้นคับแค้นทว่าใบหน้ากลับแสดงความห่วงใยออกมา “ชวี่เอ๋อร์ คุณหนูใหญ่…ส่งคนไปดูเถิด หากคุณหนูใหญ่ไม่เป็นไรพวกเราจะได้วางใจ” หนานกงชวี่ช้อนสายตาขึ้นมา เอ่ย “มารดา ซูเอ๋อร์ก็อยู่ที่วัดต้ากวงหมิงมิใช่หรือ นางไม่ได้ไปดูมั่วเอ๋อร์และส่งข่าวกลับมาหรือ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเจิ้งซื่อค้างเติ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ซูเอ๋อร์…ฐานะของซูเอ๋อร์ไหนเลยจะทำเช่นนี้ได้” แน่นอนว่านางไม่กล้าบอกว่าหนานกงซูดึงดันเข้าไปดูแล้วทว่าไม่อาจยืนยันได้ว่าคนด้านในนั้นใช่หนานกงมั่วหรือไม่
หนานกงชวี่เอ่ย “มารดาวางใจก็พอแล้ว ชื่อเสียงของจวนฉู่กั๋วกงต้องมาก่อน”
เจิ้งซื่อจะวางใจได้เช่นไร การปกป้องชื่อเสียงของจวนฉู่กั๋วกงก็คือการปกป้องชื่อเสียงของหนานกงมั่วมิใช่หรือ บุตรีเพียงคนเดียวของนางแต่งเข้าจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องแล้ว ตอนนี้เจิ้งซื่อมิได้เห็นว่าชื่อเสียงของจวนฉู่กั๋วกงสำคัญถึงเพียงนั้น
“แต่อย่างไรก็ยังเป็นห่วงคุณหนูใหญ่…”
“ทุกอย่างรอท่านพ่อกลับมาแล้วค่อยว่ากันอีกทีขอรับ” หนานกงชวี่เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีนอบน้อม เจิ้งซื่อทำได้เพียงหุบปากไปเงียบๆ
“รายงานคุณชายใหญ่ คุณชายรอง มีแขกมาขอพบขอรับ” ที่ด้านนอก มีเสียงพ่อบ้านรายงานขึ้น
หนานกงชวี่ขมวดคิ้ว “ตอนนี้จะมีใครมาหาได้เล่า ท่านพ่อออกไปข้างนอกแล้ว”
พ่อบ้านเอ่ยตอบ “เป็นคุณชายอายุยังน้อย บอกว่าชื่อเสียนเกอ มาหาคุณหนูใหญ่ขอรับ”
“เสียนเกอหรือ”
“เสียนเกอ” น้ำเสียงประหลาดใจของทั้งคู่ดังขึ้นพร้อมกัน หนานกงชวี่มองไปยังหนานกงฮุย หนานกงฮุยหัวเราะขึ้นมา “พี่ใหญ่ เป็นหมออันดับหนึ่งในยุทธภพ เขาเป็นศิษย์พี่ของมั่วเอ๋อร์ พวกเราไปพบเขากัน”
หนานกงชวี่ไม่คุ้นหูกับชื่อนี้ แต่เมื่อหนานกงฮุยเอ่ยเช่นนี้จึงพยักหน้ารับ “ก็ดี”
เสียนเกอนั่งอยู่ที่ห้องโถงบุปผา หมุนขลุ่ยหยกในมือเล่น สายตากำลังมองสำรวจเครื่องเรือนตกแต่งตรงหน้าพลางเคาะขลุ่ยหยกลงในมือเบาๆ หากเป็นคนที่คุ้นเคยกับคุณชายเสียนเกอจะรู้ว่าตอนนี้คุณชายเสียนเกอกำลังอารมณ์ไม่ดีนัก เดิมมาเหยียบจินหลิงเพราะตั้งใจมาแสดงความยินดีกับศิษย์น้อง ใครจะรู้ว่าเพียงย่างเท้าเข้ามาเหยียบจินหลิงพลันได้รับรู้ข่าวที่ทำให้เสียนเกอต้องสำลักเกือบตาย จินหลิงที่แห่งนี้ช่างไม่เหมาะกับเขา เสียนเกอประเมินอยู่ในใจ
หนานกงชวี่และหนานกงฮุยเดินเข้ามา มองเห็นชายรูปงามนั่งอยู่กลางห้องโถงหมุนขลุ่ยในมือเล่นด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวกับเทพเซียนพลัดตกลงมาจากสวรรค์ บุรุษเช่นนี้ต่อให้เป็นตระกูลชั้นสูงในจินหลิงยังมีไม่ถึงสองคนด้วยซ้ำ สำหรับหนานกงฮุยนั้นไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอกัน หนานกงชวี่กลับตกตะลึงไม่เบา
คุณชายเสียนเกอหันมามองชายหนุ่มทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าประตู เลิกคิ้วเล็กน้อย “คุณชายใหญ่หนานกง คุณชายรองหนานกงอย่างนั้นหรือ”
หนานกงฮุยยิ้ม เอ่ยถาม “คุณชายเสียนเกอ เป็นอย่างไรบ้าง”
เสียนเกอส่งเสียงหยัน เอ่ยเสียงเรียบ “ตัวข้านั้นไม่เป็นไร แต่ว่า…ศิษย์น้องที่รักของข้าดูเหมือนจะมีอะไร”
หนานกงฮุยหน้าขึ้นสีแดง กล่าวตอบ “คุณชายเสียนเกอ เราเองก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ท่านพ่อเข้าวังไปรายงานต่อฝ่าบาทเพื่อจัดการเรื่องนี้แล้ว” เสียนเกอเสียงเย็น “ไม่ว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีการใด ต้องทำให้คนพวกนั้นหุบปากเสีย มิเช่นนั้น…ข้าจะทำให้พวกมันอ้าปากไม่ได้อีก”
คิ้วคมของหนานกงชวี่ขมวดมุ่น เอ่ยเสียงเข้ม “คุณชายเสียนเกอ อย่าพึ่งทำสิ่งใดบุ่มบ่าม” หนานกงชวี่ไม่เข้าใจจอมยุทธ์ในยุทธภพเท่าใดนัก ในความคิดของเขาจอมยุทธ์ที่เคยได้ยินมาจากโรงน้ำชานั้นเมื่อเจอหน้าใครก็เอาแต่ท้าทายต่อสู้
เสียนเกอคล้ายจะยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองไปยังหนานกงชวี่ เนิ่นนานจึงเอ่ย “อู๋สยามีพี่เช่นพวกเจ้าไม่มีเสียจะดีกว่า มิน่าตลอดหลายปีมานี้อู๋สยาไม่เคยเอ่ยถึงพวกเจ้าเลย”
ได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของสองพี่น้องก็เจื่อนขึ้นมา เสียนเกอไม่สนใจ ทำเพียงเอ่ย “ส่งน้องสาวที่อายุพึ่งจะสิบเอ็ดขวบไปอยู่ในที่ที่ห่างไกลอีกทั้งยังไม่เคยถามไถ่ พวกเจ้าเป็นพี่น้องกันจริงๆ หรือ รู้หรือไม่…ครั้งนั้นหากไม่ใช่เพราะอาจารย์และอาจารย์อาบังเอิญเดินทางผ่าน เกรงว่าอู๋สยาคงไม่ได้มานั่งเรียกพวกเจ้าว่าพี่ใหญ่พี่รองในวันนี้หรอก” ความจริงคำพูดนั้นกล่าวเกินจริงไปมาก ครั้งนั้นต่อให้ไม่ได้เจอกับอาจารย์และอาจารย์อา หนานกงมั่วก็สามารถจัดการเหล่าโจรพวกนั้นได้ อาจมีบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ที่เลี่ยงไม่ได้บ้าง เพียงเสียนเกอรู้สึกไม่ชอบใจกับชายหนุ่มสองคนตรงหน้า บนโลกใบนี้พี่ชายไหนเลยจะเป็นได้ง่ายๆ ไม่สนใจไยดีน้องสาวหลายปี อู๋สยากลับมาเมืองหลวงก็ไม่เห็นว่าพี่ชายทั้งสองจะช่วยอะไรนางมากนัก หากไม่ต้องการน้องสาว อู๋สยาก็คงไม่ต้องการพี่ชายทั้งสองด้วยเช่นกัน ครั้งนั้นหากไม่ใช่อู๋สยาเก่งกาจอยู่แล้ว เกรงว่าคงรออาจารย์และอาจารย์อาไปถึงไม่ได้เป็นแน่
ข้าดูแลศิษย์น้องมาตลอดหลายปี พวกเจ้าคิดอยากละเลยก็จะละเลยได้หรือ
“คุณชายหมายความเช่นไรหรือ” หนานกงฮุยเอ่ยถามอย่างร้อนรน
คุณชายเสียนเกอเลิกคิ้ว “พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือ คนที่ส่งอู๋สยาไปยังตานหยางในครั้งนั้นส่งนางไปยังหมู่บ้านโจร ได้ยินว่า…ถูกขายในราคาสองร้อยตำลึงด้วย”
“ว่าอย่างไรนะ” หนานกงฮุยตื่นตระหนก “น่ารังเกียจที่สุด” พวกเขาไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย…คิดมาตลอดว่ามั่วเอ๋อร์อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านซีเฟิง แม้ชีวิตจะเลี่ยงความเรียบง่ายไม่ได้ แต่คิดว่าคงไม่มีอันตราย แต่ไม่เคยคิดมาก่อน… “พี่ใหญ่ ข้าจะฆ่าเจิ้งซื่อหญิงสารเลวผู้นั้น” หนานกงฮุยดวงตาแดงก่ำหมุนตัวออกไป ทว่าถูกขลุ่ยหยกขวางเอาไว้ คุณชายเสียนเกออดที่จะเงยหน้ามองบนไม่ได้ เอ่ยเสียงเรียบ “ทั้งสองท่าน รู้หรือไม่ว่าสิ่งสำคัญที่ต้องทำในเวลานี้คือเรื่องใด”
หนานกงชวี่ยกมือขึ้นมาตบไหล่หนานกงฮุยให้เขาใจเย็นลง จากนั้นหันกลับไปหาคุณชายเสียนเกอ เอ่ยถาม “คุณชายเสียนเกอมีข่าวคราวของมั่วเอ๋อร์หรือไม่ ที่วัดต้ากวงหมิง…”