“เจ้า…เจ้าใส่ร้ายข้า” เจิ้งซื่อหน้ามืดเกือบล้มลงไปบนพื้น “ท่านพี่ ข้าถูกใส่ความนะเจ้าคะ…”
หนานกงซูเองก็ตื่นตระหนก รีบลุกขึ้นเอ่ย “ท่านพ่อ เขาเหลวใหล ท่านแม่จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร เขาใส่ความท่านแม่เพราะหนานกงมั่ว ท่านพ่อได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับท่านแม่ด้วยนะเจ้าคะ” ต่อให้หนานกงซูโง่เพียงใดก็รู้ดีว่าในตระกูลหนานกงคนที่รักนางที่สุดก็คงเป็นมารดา หากเกิดเรื่องขึ้นกับเจิ้งซื่อ ต่อไปนางคงยิ่งไม่มีที่ยืนในตระกูลหนานกงอีกแล้ว
หนานกงไหวกำมือแน่นจ้องเขม็งไปยังเจิ้งซื่อ เนิ่นนานจึงสูดหายใจเข้าลึกมองไปยังเว่ยจวินมั่ว “ซื่อจื่อ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ขอท่านอย่าได้พูดจาส่งเดช”
“ฉู่กั๋วกง คุณชายของเราไม่เคยพูดจาส่งเดช หากไม่มีหลักฐานจะกล้าเอ่ยต่อหน้าฉู่กั๋วกงหรือ” หญิงสาวชุดดำเอ่ยเสียงหวาน “ความจริงมิได้มีเพียงเท่านี้หรอกเจ้าค่ะ ที่เหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกเรายังหาหลักฐานได้ไม่เพียงพอ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงก็ได้ เพียงแต่…ยังนึกว่าบรรดาสตรีสูงศักดิ์นั้นล้วนแล้วแต่สง่างามสุภาพเยือกเย็น ไม่คิดว่า…จะมีคนแบบเจิ้งฮูหยิน ที่แท้…ก็เป็นสตรีที่มีจิตใจโหดเหี้ยม”
“เจ้าพูดจาเหลวใหล ข้าไม่ได้ทำ…” เจิ้งซื่อรีบเอ่ยด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน ตัวสั่นระริก
หญิงสาวชุดดำเองก็ไม่ใส่ใจ เดินย่างกรายมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายวัยกลางคนที่นอนอยู่บนพื้น ดึงเขาขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาเดียวกัน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มาสิ บอกฉู่กั๋วกงไปสิว่าหว่านฮูหยินผู้นี้นางสั่งเจ้าว่าอย่างไร”
“…” มองสบตากับหญิงชุดดำ ชายผู้นั้นร่างกายสั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้ อ้าปากน้ำเสียงแหบพร่า “นายท่านโปรดไว้ชีวิต…ข้าน้อย ข้าน้อยรับคำสั่งจากฮูหยินจึงได้ จึงได้ถูกครอบงำจนมืดบอด…เป็นเจิ้งฮูหยินสั่งให้ข้าน้อยนำคุณหนูไปขายให้กับหมู่บ้านโจร ไม่คิดว่า…ไม่คิดว่าคุณหนูจะถูกคนช่วยเอาไว้ หลังจากนั้น ฮูหยินก็คอยสั่งให้ลอบทำร้ายคุณหนูอยู่เรื่อยๆ รอบตัวคุณหนูใหญ่มีผู้มีวรยุทธ์สูงส่งคอยปกป้อง ข้าน้อยหาโอกาสลงมือไม่ได้ ครั้งนี้…ครั้งนี้ก็เป็นฮูหยิน ฮูหยินบอกว่าอยากสั่งสอนคุณหนูใหญ่ จึง จึงให้ข้าน้อย…”
“เหลวไหล” เจิ้งซื่อตะโกนเสียงดัง “เจ้าพูดจาเหลวไหล บอกมา ใคร ใครให้เจ้าใส่ความข้า”
“ไม่…ข้าน้อยพูดความจริง…” ชายวัยกลางคนเอ่ย “ข้าน้อยเอ่ยความจริงทุกประโยค นายท่าน ซื่อจื่อได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยขอรับ”
“ส่งมั่วเอ๋อร์ไปขายในหมู่บ้านโจร…” ความเงียบเข้าปกคลุมห้องโถงอยู่ชั่วครู่ เสียงเย็นยะเยือกของหนานกงชวี่ดังขึ้น “เป็นฝีมือของฮูหยินหรือ”
เจิ้งซื่อส่ายหัวด้วยความหวาดกลัว เอ่ยเสียงดัง “ไม่ใช่ ข้าไม่เคยออกคำสั่งเช่นนั้น เขาใส่ความข้า” มองความเย็นชาของหนานกงชวี่ สายตาโกรธแค้นของหนานกงฮุย เจิ้งซื่อรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา นางรู้…พวกเขาไม่เชื่อนาง “ท่านพี่…ขอท่านพี่ตรวจสอบให้ชัดเจน ข้าถูกใส่ความนะเจ้าคะ” เจิ้งซื่อร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล ไม่เหลือภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนอีกต่อไป นางรู้ดีว่าหากคืนนี้เรื่องราวไม่ถูกจัดการให้ชัดเจน นางเองคงจะโชคร้ายเป็นแน่ หนานกงซูที่อยู่ด้านข้างนั้นตกใจนิ่งค้าง ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ เรื่องราวจึงพลิกผันเช่นนี้
หนานกงไหวรับกระดาษที่เว่ยจวินมั่วยื่นให้แล้วรีบพลิกดู ยิ่งอ่านใบหน้าก็ยิ่งไม่น่ามอง สายตาที่มองไปยังเจิ้งซื่อยิ่งเยือกเย็นขึ้น “หญิงชั่ว ข้าจะฆ่าเจ้า” หนานกงฮุยกัดฟันตะโกนเสียงดัง ลุกขึ้นตั้งใจกระโจนใส่เจิ้งซื่อ “เวลานั้นมั่วเอ๋อร์พึ่งอายุสิบเอ็ด สิบเอ็ดปี เจ้ายังกล้าแสร้งทำเป็นมารดาจิตใจดีมีเมตตา น่ารังเกียจยิ่งนัก” คนที่อยู่ด้านข้างรีบเข้ามาห้ามหนานกงฮุยเอาไว้ กลัวว่าเขาจะพุ่งเข้าไปฆ่าเจิ้งซื่อให้ตายจริงๆ หนานกงซูยืนขวางอยู่ตรงหน้าเจิ้งซื่อ ตะโกนเสียงดัง “พี่รอง ท่านแม่ถูกใส่ความ เรื่องพวกนี้โกหกทั้งนั้น”
“หลบไป” ดวงตาร้ายกาจของหนานกงฮุยตวัดมองหนานกงซู “ข้าไม่ใช่พี่รองของเจ้า ข้ามีมั่วเอ๋อร์เป็นน้องสาวเพียงคนเดียว เจ้าเป็นบุตรีของหญิงสารเลวเจิ้งซื่อ เป็นศัตรูของพวกเรา”
หนานกงซูนิ่งอึ้ง แม้ในใจของนางจะดูถูกพี่รองผู้กล้าบ้าบิ่นคนนี้ แต่ตลอดหลายปีมานี้นางเติบโตมากับความรักของพี่ชายทั้งสอง แม้ว่าตั้งแต่หนานกงมั่วกลับมาหนานกงชวี่และหนานกงฮุยจะให้ความสำคัญกับนางน้อยลงไปมาก แต่กลับไม่เคยมองนางราวกับสิ่งสกปรกเช่นนี้มาก่อน
“หยุด” หนานกงไหวเอ่ยเสียงเข้ม “ซูเอ๋อร์เป็นน้องสาวของเจ้า” ปัญหาครอบครัวไม่ควรให้ผู้อื่นได้รับรู้ ถูกเว่ยจวินมั่วเอ่ยเรื่องพวกนี้ต่อหน้าก็นับว่าแย่พอแล้ว เห็นบุตรชายด่าทอบุตรีเช่นนี้ หนานกงไหวจึงจ้องหนานกงซูด้วยจิตใจที่สับสนวุ่นวาย หนานกงฮุยราวกับลืมความหวาดกลัวที่มีต่อบิดามาช้านาน กัดฟันโต้ตอบกลับไป “อย่างไรเสีย ข้าไม่มีทางยอมรับว่าสตรีสองคนนี้เป็นคนตระกูลหนานกง ถ้าหาก…ถ้าหากตอนนั้นไม่มีใครบังเอิญไปช่วยมั่วเอ๋อร์ มั่วเอ๋อร์คง…” เด็กหญิงอายุสิบเอ็ดปี ถูกขายไปในรังโจรตัวคนเดียว ผลที่ตามมา…เพียงแค่คิดก็ทำให้ตัวชาไปทั่วทั้งร่าง มิน่ามั่วเอ๋อร์ถึงได้เย็นชากับพวกเขา หากเป็นเขาที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าไม่ตัดคอพวกเขาทั้งครอบครัวก็นับว่าดีมากแล้ว
ใบหน้าหนานกงไหวนิ่งอึ้ง ดวงตาที่มองไปยังเจิ้งซื่อนั้นไม่มีความเมตตา ต่อให้หนานกงมั่วไม่ได้รับความโปรดปรานอย่างไรก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูใหญ่ตระกูลหนานกงตกไปอยู่ในรังโจร เขาหนานกงไหวจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
เจิ้งซื่อหดคอลงอย่างอดไม่ได้ แต่ไม่นานก็ยืดอกขึ้นเช่นเดิม กัดฟันเอ่ย “ข้าบอกไปแล้ว เรื่องพวกนี้ข้าไม่ได้ทำ ขอท่านพี่ได้โปรดสืบให้ชัดเจน”
มองความวุ่นวายของตระกูลหนานกง เว่ยจวินมั่วกลับนั่งดื่มชาอย่างสบายใจ จนกระทั่งตอนนี้เขาจึงเอ่ยปาก “หว่านฮูหยินบอกว่าท่านไม่ได้ทำ เช่นนั้น…เงินสามหมื่นตำลึงเงินที่ออกมาจากจวนฉู่กั๋วกงคืออันใดหรือ ท่านรู้หรือไม่ว่าเงินไปที่ใด หอธารา…เคยเป็นผู้นำกองกำลังบนภูเขาในยุทธภพ แต่ไม่รู้ว่าหว่านฮูหยินเกี่ยวข้องกับคนในยุทธภพด้วย”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน” เจิ้งซื่อหวาดผวา จ้องชายวัยกลางคนบนพื้นด้วยสายตาโหดเหี้ยม “ก็ข้า…”
“ก็อันใด” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว เจิ้งซื่อได้สติรีบกัดริมฝีปากแน่นไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
“พอแล้ว” เห็นว่ามารดาถูกกดดันจนพูดไม่ออก หนานกงซูจึงเอ่ยเสียงดัง “ท่านพ่อ พวกเรามาที่นี่เพราะพี่สาว ไม่ใช่มาไต่สวนท่านแม่ของข้า เว่ยซื่อจื่อกำลังเบี่ยงประเด็นอยู่หรืออย่างไร พี่สาวหนีตามคนอื่นไปแล้ว ท่านยังมีใจปกปิด ช่างรักกันเสียจริง”
ผัวะ เว่ยจวินมั่วใจดีรอหนานกงซูเอ่ยให้จบก่อนจึงลงมือ หนานกงซูรู้สึกราวกับมีหมัดที่มองไม่เห็นโจมตีเข้ามาอย่างแรง ร่างทั้งร่างล้มหงายหลังชนเข้ากับเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลังเกิดเสียงครางด้วยความเจ็บปวด
“ซูเอ๋อร์” เจิ้งซื่อวิ่งเข้าไปหาบุตรีด้วยความห่วงใย ประคองหนานกงซูที่พูดไม่ออกเพราะความเจ็บปวด จ้องมองเว่ยจวินมั่วที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาโกรธแค้น พูดอะไรไม่ออก
เว่ยจวินมั่วตวัดดวงตาขึ้นมอง ดวงตาสีม่วงเย็นยะเยือกแหลมคมราวกับใบมีดกรีดที่ร่างจนทำให้รู้สึกถึงความเจ็บปวด “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน กล้าเอ่ยเช่นนี้ต่อหน้าข้า”
ด้านหลัง ชายหญิงชุดดำก้าวถอยหลังไปสองก้าวทันใด
เว่ยจวินมั่วลุกขึ้น ก้าวเท้าเชื่องช้าเข้าไปย่อตัวลงตรงหน้าหนานกงซู สบตากับหนานกงซูที่นั่งคร่อมอยู่บนเก้าอี้ หนานกงซูไม่เคยมองสบตาเว่ยจวินมั่วใกล้ถึงเพียงนี้มาก่อน ดวงตาดุจอัญมณีสีม่วงคู่นั้น เดิมควรทำให้คนหลงใหลในความงดงามนั้นแต่ในสายตาของหนานกงซูกลับเป็นราวปีศาจร้ายที่น่ากลัวที่สุด นางสัมผัสได้ถึงไอสังหาร กระทั่งนางสัมผัสได้ว่าสายตาที่เว่ยจวินมั่วมองนางนั้นไม่เหมือนกำลังมองสิ่งมีชีวิต เมื่อรวมกับดวงตาสีม่วงคู่ประหลาดนั้นแล้ว ความหวาดกลัวในใจยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเป็นเท่าตัว