“พวกเจ้าทำเช่นนี้หมายความเช่นไร” หนานกงซูเลิกคิ้วเอ่ยเสียงดังออกมา ดึงสายตาทุกคนให้มองมา เจิ้งซื่อรีบเข้าไปจับบุตรีเอาไว้ เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ซูเอ๋อร์เป็นห่วงความปลอดภัยของคุณหนูใหญ่ ขอซื่อจื่อโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”
เว่ยจวินมั่วเมินนางราวกับนางเป็นเพียงธาตุอากาศ เอ่ยเสียงเรียบ “ฉู่กั๋วกง นั่งลงคุยกันก่อน”
มองเห็นสถานการณ์เช่นนี้ มีเรื่องใดที่หนานกงไหวจะไม่เข้าใจ ลูกไม่รักดีคนนั้นของเขาไม่อยู่จริงๆ
พูดไปแล้วเรื่องนี้อย่างไรก็เป็นความผิดของบ้านตน หนานกงไหวอดทนเอาไว้ไม่ระเบิดอารมณ์ในยามนี้ เดินไปนั่งลง เว่ยจวินมั่วตามมานั่งลงด้านขวามือของหนานกงไหว หลุบตาลงไม่เอ่ยสิ่งใด
คนอื่นๆ เห็นท่าทีของทั้งคู่พลันไม่กล้าเอ่ยออกมาเช่นกัน เนิ่นนานหนานกงไหวจึงกระแอมไอด้วยความกระอักกระอ่วน เอ่ยถาม “ซื่อจื่อ เรื่องนี้…ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ซื่อจื่อมีแผนจะทำเช่นไร เรื่องนี้เป็นลูกไม่รักดีของข้าที่ทำไม่ถูก ซื่อจื่อคิดจะทำเช่นไรรีบบอกข้ามาเถิด” เว่ยจวินมั่วเงยหน้าขึ้น มองหนานกงไหวนิ่ง เอ่ยถาม “ฉู่กั๋วกงไม่คิดจะถามหน่อยหรือ ไยอู๋สยาจึงไม่อยู่ที่นี่”
ยังต้องถามอีกหรือ หนานกงไหวก่นด่าอยู่ในใจ ความจริงเรื่องที่บุตรีไม่ยอมแต่งงานกับเว่ยจวินมั่วนั้นใช่ว่าจะไม่เข้าใจ อย่างไรเสียตอนแรกก็เป็นพวกเขาเองที่ยืนกรานจะให้นางแต่ง ชาติกำเนิดของเว่ยจวินมั่วหากหาชายาได้คงไม่ต้องรอมาจนอายุยี่สิบแล้วยังไม่ได้แต่งงานเช่นนี้ แต่กลับมาก่อเรื่องก่อนจะถึงวันพิธีแต่งงานเพียงไม่กี่วันนั่นเป็นสิ่งที่หนานกงไหวยากที่จะรับได้ นี่เป็นความตั้งใจทำให้เขาต้องขายหน้าชัดๆ เพียงคิดมาถึงตรงนี้ ความอดทนที่มีต่อหนานกงมั่วพลันมลายหายไป เพียงรู้สึกว่าบุตรีผู้นี้ช่างเลวทรามเสียจริง หากเจอตัวสิ่งแรกที่จะทำคือการโบยนางหนักๆ
“ซื่อจื่อมีเบาะแสอะไรหรือไม่” หนานกงไหวไม่ถามไม่ได้หมายความว่าหนานกงชวี่และหนานกงฮุยจะไม่ถาม
เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “เมื่อคืนมีคนลอบเข้ามาในเรือนรับรองเพื่อสังหารอู๋สยา อู๋สยาตามไปถึงภูเขาด้านหลัง ระหว่างการต่อสู้อู๋สยาพลัดตกหน้าผาไป กำลังส่งคนออกตามหา เพียงแต่…ภูเขาแห่งนี้มีค่ายกลทางธรรมชาติ ไม่สามารถตามหาได้ในระเวลาสั้นๆ เพียงเท่านั้น”
“ซื่อจื่อ ข้าได้ยินมาว่า…คนที่อยู่กับพี่สาวก็คือพระภิกษุเนี่ยนหย่วนแห่งวัดต้ากวงหมิงนะเจ้าคะ” หนานกงซูปิดปากหัวเราะ นางอยู่ที่วัดต้ากวงหมิงมาหนึ่งวันกว่า แน่นอนใช่ว่าจะไม่ทำอันใดเลย พระผู้ใหญ่ผู้มีความสามารถที่อายุน้อยที่สุดหายไป เรื่องใหญ่เช่นนี้ต่อให้ปกปิดเอาไว้เพียงใดอย่างไรก็ยังสืบได้
“คุณหนูใหญ่ไยจึงเหลวไหลเพียงนี้ เนี่ยนหย่วนผู้นั้นแม้จะรูปงามทว่าอย่างไรก็…” เจิ้งซื่อเอ่ยด้วยท่าทางปวดใจ ความหมายแฝงในประโยคนั้นก็คือหนานกงมั่วหนีตามเนี่ยนหย่วนไป
ฉับ คมดาบวาดผ่านลำคอเจิ้งซื่อ เจิ้งซื่อรู้สึกเจ็บบริเวณลำคอจึงยกมือขึ้นไปสัมผัส พลันเห็นเลือดที่ติดมากับมือ กรีดร้องออกมาเสียงดัง
“หุบปาก” ดวงตาของเว่ยจวินมั่วเย็นยะเยือก ดวงตาสีม่วงจ้องเจิ้งซื่อเขม็ง “พูดไม่เป็นก็อย่าได้อ้าปาก”
ถูกดวงตาเย็นยะเยือกของเขาจ้องมองมา เจิ้งซื่อพลันร้องไม่ออก ทำได้เพียงส่งสายตาน่าสงสารให้หนานกงไหว สายตานั้นบ่งบอกความน้อยใจ หนานกงไหวขมวดคิ้ว “พอแล้ว เรื่องยังไม่ชัดเจนอย่าได้พูดจาเหลวใหล” หนานกงซูเบ้ปาก “ท่านพ่อลำเอียง พี่สาวกับเนี่ยนหย่วนหายตัวไปพร้อมกันอย่างไรก็เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
หนานกงไหวถอนหายใจ เอ่ยถาม “เช่นนั้น…ตอนนี้ซื่อจื่อมีแผนเยี่ยงไร”
“รอ” เว่ยจวินมั่วเอ่ย
หนานกงไหวมองชายตรงหน้าอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าเขาจะเชื่อใจหนานกงมั่วหรือให้ความสำคัญกับหนานกงมั่วถึงเพียงนี้ หนานกงไหวนวดหัวคิ้วเบาๆ เอ่ยถาม “หากวันแต่งงานแล้วมั่วเอ๋อร์ยังไม่กลับมาจะทำเช่นไร จวนฉู่กั๋วกงและจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องเราคงเสียหน้าไม่ได้” เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ไม่หรอก ตอนนี้ฉู่กั๋วกงมิสู้จัดการเรื่องอื่นให้เรียบร้อยก่อนจะกังวลว่าอู๋สยาจะกลับมาหรือไม่ ไม่เป็นการดีกว่าหรือ”
หนานกงไหวไม่เข้าใจ ยามนี้มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าการพาตัวมั่วเอ๋อร์กลับมาอีกหรือ
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “อย่างเช่นผู้ที่ลอบสังหารอู๋สยา และอย่างเช่น…ผู้ที่อยู่เบื้องหลังข่าวลือทั้งหมด”
“โอ้” หนานกงไหวเอ่ย “ซื่อจื่อมีเบาะแสใดหรือ” เรื่องนี้แน่นอนว่าเขาเองก็ส่งคนออกไปสืบแล้ว ทว่าไม่มีเบาะแสใดๆ เว่ยจวินมั่วมีราชองครักษ์อยู่ในมือคงจะมีเบาะแสบ้างใช่หรือไม่
สายตาเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งของเว่ยจวินมั่วค่อยๆ วาดผ่านทุกคนไป เอ่ยเสียงเรียบ “มีเบาะแสจริง หว่านฮูหยิน ท่านมีสิ่งใดอยากพูดหรือไม่”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเจิ้งซื่อพลันชะงัก เอ่ยอึกอัก “ซื่อจื่อ…หมายความเช่นไรกัน ข้า ไม่รู้ ข้าต้องพูดอะไรหรือ”
เว่ยจวินมั่วมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้าง ชายหนุ่มพยักหน้าหมุนตัวเดินออกไป ไม่นานจึงลากคนคนหนึ่งเข้ามา ก่อนจะถูกโยนลงไปบนพื้น ล้มลงไปอยู่ตรงเท้าของเจิ้งซื่อพอดี
“กรี๊ดดด” มองเห็นเพียงร่างที่เต็มไปด้วยเลือด นิ้วมือทั้งสิบบิดไปอย่างแปลกประหลาด มือและเท้าอ่อนร่วงลงกับพื้น เจิ้งซื่อตกใจกรีดร้องขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ แทบจะล้มทั้งยืน เว่ยจวินมั่วยกถ้วยชาในมือขึ้นมา ทว่ากลับไม่ได้ดื่มเข้าไป สายตาจับจ้องอยู่ที่เจิ้งซื่อ เอ่ยถาม “หว่านฮูหยิน คนผู้นี้ท่านรู้จักหรือไม่”
“ไม่ ข้าไม่รู้จัก” เจิ้งซื่อกรีดร้องตอบเสียงดัง
เว่ยจวินมั่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “เกรงว่าฮูหยินคงไม่ได้ดูให้ดี ไป ช่วยให้หว่านฮูหยินได้เห็นชัดๆ สักหน่อย” หญิงสาวที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังเว่ยจวินมั่วอยู่นานส่งเสียงตอบรับ เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจิ้งซื่อ จับท้ายทอยของเจิ้งซื่อแน่นจากนั้นกดใบหน้าของนางลงไปมองคนที่นอนอยู่บนพื้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หว่านฮูหยิน เชิญท่านดูให้ละเอียด” หนานกงไหวกำลังจะโกรธ หนานกงฮุยที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงเอ่ยปาก “นี่ไม่ใช่ผู้ดูแลจวนของเราหรอกหรือ”
สายตาของทุกคนมองไปยังหนานกงฮุย หนานกงฮุยรู้สึกละอายอยู่ชั่วครู่ “ท่านพ่อท่านลืมแล้วหรือ ผู้ดูแลที่ท่านไล่ออกตอนอยู่ที่ตานหยาง เพียงแต่…ไม่รู้ว่าเขามาอยู่จินหลิงได้เช่นไร” โดยทั่วไปแล้วผู้ดูแลที่ถูกไล่ออกนอกเสียจากจะมีเงินเก็บของตน มิเช่นนั้นก็คงย่ำแย่ เพราะไม่มีใครยอมจ้างพวกเขาอีก
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “คนผู้นี้…ถูกจับได้ที่ร้านกิจการภายใต้ชื่อของจวนฉู่กั๋วกง”
ร้านกิจการต่างๆ ของฉู่กั๋วกงถูกจัดการโดยเจิ้งซื่อ คนผู้นี้เป็นคนของใครไม่ต้องเดาก็คงรู้
หนานกงไหวใบหน้าทะมึนขึ้น ตบโต๊ะเสียงดัง “นี่มันเรื่องอันใดกันแน่”
เจิ้งซื่อตัวสั่นเทา รีบเอ่ย “ท่านพี่ ข้าถูกใส่ร้าย ข้า…ข้าเพียงเห็นว่าครอบครัวของเขาน่าสงสาร จึงได้จัดหางานให้ ใครจะรู้…ใครจะรู้ว่าบ่าวผู้นี้จะมีความแค้นต่อคุณหนูใหญ่ คิดทำลายชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่”
“น่าสงสารหรือ” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว เจิ้งซื่อมองชายหนุ่มในอาภรณ์สีฟ้าครามด้วยความหวาดกลัว เริ่มรู้เสียใจที่วันนี้นางวิ่งแจ้นมาที่นี่ด้วย ไม่รู้ทำไมแต่นางรู้สึกว่าสิ่งที่เว่ยจวินมั่วกำลังจะเอ่ยออกมานั้นมันไม่เป็นผลดีกับนาง
เห็นเพียงเว่ยจวินมั่วหยิบกระดาษหนึ่งแผ่นจากหญิงชุดดำด้านหลัง เลิกคิ้วพลางเอ่ย “ในครั้งนั้นหว่านฮูหยินให้คนส่งอู๋สยาไปขายที่หมู่บ้านโจร หลายปีมานี้…ในช่วงเวลาที่เมิ่งฮูหยินยังมีชีวิตอยู่ผู้ดูแลที่ถูกหว่านฮูหยินส่งไปตายด้วยเหตุผลต่างๆ นานา เป็นจำนวนทั้งหมดสิบเอ็ดคน อีกทั้ง…ฮูหยินยังใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงจวนฉู่กั๋วกงปล่อยเงินกู้ในต่างเมือง ในช่วงระยะเวลาสิบปีมีครอบครัวที่ถูกทำลายเพราะเรื่องนี้สี่ครัวเรือน สามปีที่แล้ว เพราะฮูหยินแย่งปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งกับภรรยาพ่อค้าแซ่หลี่แต่ไม่สำเร็จ จากนั้นจึงให้คนไปใส่ร้ายตระกูลหลี่ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อการค้าของตระกูลหลี่ กระทั่งถูกฟ้องร้อง หลี่ซื่อแขวนคอตายเพราะละอายที่ทำให้สามีต้องเดือดร้อนไปด้วย ยังมีอีก…ด้านหลังนั้นคงไม่ต้องเอ่ยถึง หว่านฮูหยินผู้นี้ยังสงสารผู้ดูแลที่อยู่ไกลถึงตานหยางไม่ได้กลับจินหลิงนานหลายปีได้อีกหรือ คนผู้นี้มีความสัมพันธ์เช่นใดกับฮูหยินหรือ”