หนานกงซูขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “พวกเจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องคุยกับพี่สาว”
หมิงฉินกะพริบตาปริบ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูรองเอ่ยได้น่าขันแล้วเจ้าค่ะ ข้างกายเจ้าสาวจะห่างคนเคียงข้างได้เช่นไรเจ้าคะ คิดเสียว่าพวกบ่าวเป็นตู้ก็ได้เจ้าค่ะ พวกบ่าว…จะปิดปากให้สนิทเลยเจ้าค่ะ”
“พวกเจ้า เหอะ” หนานกงซูไม่โต้เถียงกับหมิงฉินต่อ หันกลับมาที่หนานกงมั่ว เอ่ย “พี่สาว ไยจึงไม่เห็นมารดาเล่าเจ้าคะ” วันนี้เป็นวันสำคัญถึงเพียงนี้ ผู้ที่เป็นมารดาของบ้านกลับไม่ปรากฏตัว ทำให้หนานกงซูรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา ความจริงวันนี้หนานกงซูไม่ได้มาหาเรื่อง นางเป็นห่วงเจิ้งซื่อมากไหนเลยจะมีเวลามาคิดหาเรื่องวุ่นวายให้หนานกงมั่ว เพียงแต่หนานกงไหว หนานกงชวี่ และหนานกงฮุยต่างก็ยุ่งวุ่นวายอยู่ด้านหน้า ไม่มีเวลามาสนใจนาง นางจะไปถามใครสักคนยังไม่ได้เลย
หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้นมา “ข้าไม่รู้ ตั้งแต่กลับมาก็ยังไม่เจอหว่านฮูหยินเลย ตลอดสองวันมานี้มีเพียงอาสะใภ้ที่มาช่วยเตรียมงาน หากเจ้าอยากถามก็ไปถามท่านพ่อเถิด”
ในใจหนานกงซูหนักอึ้ง คิดว่าคงมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเป็นแน่ กวาดตามองสีแดงสะดุดตา เครื่องประดับล้ำค่ามากมายเต็มห้อง หนานกงมั่วที่อยู่ในอาภรณ์งดงามจนคนต้องหลงใหล หนานกงซูกัดริมฝีปากแน่นด้วยความอิจฉาที่พุ่งทะยานขึ้นมา เมื่อเห็นทีท่าไม่ดี หลินซื่อจึงรีบจับหนานกงซูเอาไว้ กล่าวขึ้น “น้องรอง น้องสาวคงจะยุ่งอยู่ พวกเรากลับกันก่อนดีหรือไม่” หนานกงชวี่เตือนนางเอาไว้แล้ว ให้นางจับตาดูหนานกงซูเอาไว้ หากหนานกงซูก่อเรื่องขึ้นมา หนานกงชวี่จะมาคิดบัญชีที่นาง เมื่อคิดถึงตรงนี้หลินซื่อจึงทั้งโกรธทั้งแค้นอยู่ในใจแต่ทำอะไรไม่ได้ อย่างไรนางยังต้องพึ่งพาหนานกงชวี่อยู่ หากหนานกงชวี่คิดจัดการกับนางจริงๆ…นึกถึงตระกูลของตนที่ต้องพังเพราะตนเอง หลินซื่อจึงไม่กล้าคิดแผนใดขึ้นมาอีก
หนานกงซูจ้องหนานกงมั่วด้วยสายตาโกรธแค้น กัดฟันพลางเอ่ย “อย่าคิดว่าจะทำร้ายมารดาของข้าได้ง่ายๆ เช่นนี้”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ข้าไม่เข้าใจว่าน้องสาวกำลังพูดอันใดอยู่ หากไม่มีธุระแล้ว เจ้าก็กลับไปเสียเถิด”
หนานกงซูได้แต่เป็นห่วงมารดาอยู่ในใจ ทำได้เพียงกัดฟันเดินออกไปอย่างโมโห
อีกด้านหนึ่ง จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องเองก็กำลังครึกครื้น แม้จะไม่ยอมรับเว่ยจวินมั่ว ทว่าอย่างไรเขาก็มีฐานะเป็นผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียง แน่นอนว่าไม่สามารถละเลยต่อพิธีแต่งงานครั้งนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนพบว่าคนที่ยืนต้อนรับแขกอยู่หน้าประตูจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องนั้นมิได้มีเพียงเว่ยหงเฟยและบุตรชาย ที่สำคัญไปกว่านั้นคือชายวัยกลางคนทั้งสองที่อยู่ในชุดชินอ๋อง…องค์ชายสามเยี่ยนอ๋องเซียวโยวและองค์ชายหกฉีอ๋องเซียวฟั่ง แม้แต่องค์รัชทายาทยังเดินทางมาแสดงความยินดีด้วยตนเอง ดังนั้นตระกูลผู้มีอำนาจในจินหลิงนอกจากตระกูลที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหนานกงต้องไปที่จวนตระกูลหนานกงก่อน ทั้งหมดล้วนมารวมตัวกันที่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง
และยังทำให้ผู้คนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋องให้ความสำคัญกับหลานชายผู้นี้มากเพียงใด ในสายตาของผู้ที่มีความคิดในใจนั้นมันเป็นดั่งสัญญาณและคำเตือน คิดจะยกตำแหน่งอ๋องให้เชื้อสายรองอย่างนั้นหรือ หึๆ ถามเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋องก่อนไหมว่ายอมหรือไม่
เรือนซูอวิ๋น มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยสีแดงละลานตา สาวใช้ยกของเข้าออกกันเป็นว่าเล่น ในห้องใหม่ที่มีพื้นที่กว้างขวาง เว่ยซื่อจื่ออยู่ในอาภรณ์สีแดงเข้ม แขนเสื้อปักลายมังกรสีเงิน ด้านนอกยังมีชุดผ้าบางสีแดงคล้ายกันคลุมทับอีกชั้น คาดเอวด้วยผ้าสีทอง ผมสีดำถูกมัดขึ้นด้วยผ้ากิเลนสีทอง ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนที่เย็นชา แม้แต่ใบหน้าเย็นชาที่เคยมีก็ไม่เหลือให้ได้เห็น ยามนี้มีเพียงความอบอุ่นและอ่อนโยนบนสีหน้าเท่านั้น
องค์หญิงฉังผิงอยู่ในอาภรณ์สีม่วง ชี้ไม้ชี้มือออกคำสั่งให้สาวใช้หยิบเครื่องประดับขึ้นมาให้บุตรชายของตน สักพักเกิดรู้สึกว่าหยกชิ้นนี้ไม่เข้ากับสีชุด สักพักเกิดรู้สึกว่าลายของถุงหอมนั้นยังมงคลไม่พอ ความจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกเลือกมาเป็นอย่างดีก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ว่าจะหยิบจับชิ้นไหนขึ้นมาตกแต่งล้วนเหมาะสม แต่ผู้เป็นมารดา เมื่อเป็นวันสำคัญของบุตรชายอย่างไรเสียก็ต้องการให้มันดีขึ้นไปอีก
ใบหน้าของเว่ยจวินมั่วนั้นไม่มีความหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย “เสด็จแม่…”
ในที่สุดองค์หญิงฉังผิงก็หยิบแผ่นหยกชิ้นหนึ่งขึ้นมาผูกเอาไว้ กวาดตามองอีกรอบ จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา “ลูกรัก แม่ให้กำเนิดเจ้ามางดงามถึงเพียงนี้ เจ้าจะยิ้มบ้างมิได้หรือ”
เว่ยซื่อจื่อกระตุกมุมปากขึ้น เรียกได้ว่ายิ้มแล้ว แม้พิธีแต่งงานจะทำให้เขารู้สึกยินดีมากเพียงใด ทว่าเขาเคยชินไปเสียแล้ว จะให้เขายิ้มราวกับคนบ้าตลอดเวลาคงทำไม่ได้
องค์หญิงฉังผิงยกมือขึ้นมาปิดบังใบหน้าเอาไว้ ทำได้เพียงถอนหายใจ “ช่างเถิด ต่อให้บุตรชายของข้าไม่ยิ้มอย่างไรก็ยังเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งในจินหลิง”
“องค์หญิง พิธีแต่งงานของซื่อจื่อ ถอนหายใจมิได้นะเจ้าคะ” แม่นมด้านข้างมองเห็นองค์หญิงดีใจ นางเองก็ยิ้มตามไปด้วย องค์หญิงฉังผิงพยักหน้ารัวเร็ว เอ่ย “พูดได้ดี เอาล่ะ จวินเอ๋อร์รีบไป รีบไปรับอู๋สยากลับมา เดี๋ยวที่บ้านแม่กับเสด็จลุงของเจ้าจะจัดการเอง”
“มารดา” เว่ยซื่อจื่อมองมารดาของตนที่ดูกระฉับกระเฉง เอ่ยต่อ “ยังไม่ถึงเวลาเลยขอรับ”
จวนฉู่กั๋วกงและจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องอยู่ห่างกันไม่มากใช้เวลาไม่นาน ให้ไปตอนนี้จะไม่ถูกไล่กลับมาเอาหรือ
องค์หญิงฉังผิงรู้ตัวว่าตนเองรีบร้อนเกินไป จึงหัวเราะออกมาด้วยท่าทีเขินอาย มองไปยังบุตรชาย เอ่ยเสียงเบา “เห็นเจ้าจะได้แต่งงานแล้ว แม่มีความสุขมากจริงๆ”
“ลูกรู้ขอรับ” เว่ยจวินมั่วพยักหน้า เอ่ยเสียงเบา
มุมหนึ่งของจวนจวิ้นอ๋องกลับไม่มีความยินดีเลยสักนิด เว่ยจวินเจ๋อเดินไปมาอยู่ในห้องหนังสืออย่างร้อนรน พัดในมือสะบัดไปมาด้วยความหงุดหงิด หันกลับไปมองเว่ยจวินปั๋วที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ เอ่ยอย่างโมโห “พี่รอง ท่านไม่โกรธสักนิดเลยหรือ” เว่ยจวินปั๋วเงยหน้าขึ้นมามองน้องชาย ใบหน้าไม่แสดงความโกรธออกมาทว่าก็ไม่ได้ดูมีความสุข เอ่ยตอบเสียงเรียบ “มีเรื่องใดที่ข้าต้องโกรธหรือ”
เว่ยจวินเจ๋อส่งเสียงหึเบาๆ อดไม่ได้ตะโกนด่าออกมา “เว่ยจวินมั่วมีอะไรดี แค่มีมารดาเป็นองค์หญิงมิใช่หรือ ท่านดูเยี่ยนอ๋องกับฉีอ๋องสิ ยังคิดว่าที่นี่เป็นจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องอยู่หรือไม่ คนอื่นไม่รู้คงคิดว่าที่นี่เป็นจวนองค์หญิงฉังผิง หากไม่ใช่เพราะผู้สืบทอดของเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋องต่างก็อยู่ที่เขตปกครองของตนเอง การต้อนรับแขกคงไม่ต้องอาศัยเราแล้วใช่หรือไม่”
พูดมามากมาย สุดท้ายก็เป็นเพียงความริษยา แม้เว่ยจวินปั๋วและเว่ยจวินเจ๋อจะอายุน้อยกว่าเว่ยจวินมั่ว แต่ทั้งสองกลับแต่งงานเร็วกว่าเว่ยจวินมั่ว เดิมยังไม่มีสิ่งใดให้เปรียบเทียบจึงยังไม่รู้สึก ทว่างานมงคลของเว่ยจวินมั่ววันนี้กลับทำให้รู้สึกถึงความแตกต่างของเชื้อสายหลักและเชื้อสายรอง ความจริงแล้วการแต่งงานของทั้งสองก็นับว่าดีกว่าพิธีแต่งงานของเชื้อสายรองจวนจวิ้นอ๋องทั่วไปมากแล้ว องค์หญิงฉังผิงเองก็หลับตาข้างหนึ่งไม่ไปสนใจ ยามนี้พวกเขาจึงเข้าใจ องค์หญิงฉังผิงไม่ใช่ว่าหลีกทางให้ แต่เป็นเพราะว่า…ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามเพียงใดอย่างไรก็ได้ไม่ถึงครึ่งของบุตรชายของนางด้วยซ้ำ
ไม่ต้องเอ่ยถึงของกำนัลนับไม่ถ้วนนั่น เพียงแขกที่มาแสดงความยินดีในวันนี้ก็มิใช่สิ่งที่พิธีแต่งงานของพวกเขาเองจะเทียบเคียงได้ แม้จะเข้าใจดีว่าแขกเหล่านี้ส่วนใหญ่มาเพราะเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋อง และบางส่วนมาเพราะเว่ยจวินมั่วพึ่งได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารไป แต่ก็ยังรู้สึกไม่ถูกใจ
ก็ไม่ใช่เพราะมีมารดาเป็นองค์หญิงหรือ น่าเสียดาย…สิ่งที่พวกเขาไม่มีก็คือมารดาที่เป็นองค์หญิงอย่างไรเล่า