ดังนั้น…อาจารย์อา ท่านจึงตั้งใจจะตีพวกเราก่อนที่เราจะเข้าพิธีแต่งงานอย่างนั้นหรือ มองกระบี่ในมือแล้วหนานกงมั่วก็อยากชื่นชมในความหลักแหลมของตนเองเหลือเกิน
ครู่ต่อมา บนหลังคาที่หยุดชะงักไปชั่วครู่ยามนี้กลับมาต่อสู้กันอีกครั้งแล้ว ครั้งนี้มีสามคน เห็นชายหญิงในอาภรณ์สีแดงเคียงคู่กันต่อสู้กับชายอาภรณ์สีฟ้าที่โผล่มากะทันหัน ภายใต้แสงแดดอ่อนๆ เจ้าของอาภรณ์สีฟ้านั้นเคลื่อนไหวมองเห็นได้ยาก ขณะที่ชายหนุ่มหญิงสาวอาภรณ์แดงทั้งสองคนกลับดูเด่นชัด เคลื่อนไหวสอดประสานราวกับกำลังเต้นรำงดงามเหนือธรรมดา หากจำไม่ได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นเช่นไร ทุกคนคงอยากจะยกมือขึ้นมาปรบมือให้ด้วยความชื่นชม ผู้คนในเมืองจินหลิงพึ่งรู้ว่า ที่แท้คุณหนูใหญ่ตระกูลหนานกงมิได้มีเพียงใบหน้าสะสวย ฐานะไม่ธรรมดาเท่านั้น อีกทั้งยังมีวรยุทธ์เป็นเลิศอีกด้วย ดูเพลงกระบี่ที่เฉียบคมนั่น ท่าทางแต่ละกระบวนท่า เกรงว่าแม้แต่บุรุษส่วนใหญ่ที่ร่ำเรียนวรยุทธ์ก็คงเทียบไม่ได้
หนานกงไหวยังคงยืนอยู่หน้าบันไดทางเข้าจวนขณะมองภาพนั้น สีหน้ายากจะคาดเดา เดิมทีครั้งแรกที่คนผู้นี้ปรากฏตัวหนานกงไหวนั้นไม่พอใจอย่างยิ่ง ตั้งใจจะส่งองครักษ์ออกไปขับไล่ ทว่าไม่คิดว่าว่าเว่ยจวินมั่วจะชิงลงมือเสียก่อน อีกทั้งยังเห็นหนานกงมั่วเข้าไปร่วมด้วย เขาพอคาดเดาได้ว่าหนานกงมั่วเองก็คงพอมีวรยุทธ์อยู่บ้าง อย่างไรเสียนางก็เป็นศิษย์น้องของคุณชายเสียนเกอ แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าวรยุทธ์ของนางจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ที่ผ่านมา…หนานกงมั่วปิดบังต่อหน้าเขามากเพียงใดกันนะ
“ร้ายกาจมาก” สำหรับน้องสาว หนานกงฮุยชื่นชมจากใจจริงอีกทั้งยังอิจฉา เขานั้นแสนธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือวรยุทธ์ก็ล้วนธรรมดา รู้สึกชื่นชมเว่ยจวินมั่วที่มีวรยุทธ์สูงส่ง ยามนี้เห็นว่าน้องสาวของตนเองก็เป็นยอดฝีมือ ยิ่งทำให้รู้สึกอิจฉาและชื่นชมขึ้นไปอีก เพียงแต่… “คนผู้นั้น…ดูเหมือนจะเก่งกาจมากเลยนะ พวกมั่วเอ๋อร์จะสู้ไหวหรือ ต้อง…เรียกพลยิงธนูหรือไม่”
คุณชายเสียนเกอหันกลับมากวาดตามองเขา เอ่ยเสียงเรียบ “อ้อ ต้องเรียกมามากสักหน่อย ดีที่สุดต้องเอาแบบยิงพร้อมกันเป็นหมื่นแบบนั้น” ไม่เช่นนั้นหากยิงไม่ตาย คนที่ตายจะเป็นพวกเจ้าแทน
หนานกงชวี่มองคุณชายเสียนเกอราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “คุณชายเสียนเกอรู้จักคนผู้นั้นหรือ”
“อืม อาจารย์ข้าเอง”
“…” ศิษย์ไม่รักดี
หนานกงฮุยรีบคว้าเสียนเกอเอาไว้พลางเอ่ย “ในเมื่อเป็นคนกันเอง ก็รีบบอกอาจารย์หยุดเถิด เกิดมั่วเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บจะทำเช่นไร”
คุณชายเสียนเกอดึงแขนเสื้อของตนเองกลับมาอย่างรังเกียจ เอ่ย “อย่าโง่เลย ยามนี้หากใครเข้าไปยุ่งเขาก็จะจัดการคนนั้น วางใจเถิด อาจารย์ไม่มีทางทำร้ายมั่วเอ๋อร์หรอก”
“เรื่องนี้…ทำร้ายเว่ยซื่อจื่อก็ไม่ได้นะ” หนานกงฮุยเอ่ยเสียงเบา เปลี่ยนไปสู้กันวันอื่นไม่ได้หรือ วันนี้วันแต่งงานนะ
แม้จะมีหนานกงมั่วคอยช่วย แต่ทั้งสองกลับค่อยๆ เสียท่าให้อีกฝ่าย แต่โชคดีที่เว่ยจวินมั่วนั้นรับกระบวนท่าไปด้วยตัวคนเดียวถึงกว่าเจ็ดร้อยกระบวนท่าแล้ว สองร้อยกว่าที่เหลือย่อมมิใช่เรื่องยากเกินไปที่ทั้งคู่จะรับมือได้ นี่เป็นเหตุผลที่หนานกงมั่วยอมให้อาจารย์อาลงมือ ไม่เช่นนั้นต่อให้ทำตัวน่ารักก็สู้ไม่ได้ แม้นางกับเว่ยจวินมั่วจะยังเรียกไม่ได้ว่าไม่มีวันแยกจาก แต่ก็ไม่ต้องการให้เจ้าบ่าวต้องมาเลือดท่วมอยู่หน้าจวนฉู่กั๋วกง
ตวัดดาบสุดท้าย อาจารย์อาจึงก้าวถอยหลังไปเจ็ดแปดก้าว มองทั้งสองที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ เว่ยจวินมั่วยังคงมีสีหน้าเย็นชาเรียบนิ่ง เพียงแต่ใบหน้านั้นขาวซีด มือที่ถือกระบี่อยู่นั้นสั่นระริก แต่มีข้อดีอย่างเห็นได้ชัด เมื่อผ่านพ้นการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว เว่ยจวินมั่วมีความเข้าใจต่อการต่อสู้ลึกไปอีกขั้น วรยุทธ์ในขั้นของเว่ยจวินมั่วนั้นยากยิ่งที่จะหาคนที่สามารถทำให้เขาพัฒนาขึ้นไปอีก ความจริงแล้วหากไม่ใช่ว่าผิดวันเช่นนี้ เว่ยจวินมั่วคงต่อสู้เต็มกำลังเพราะอยากรู้ขีดจำกัดของตนเองว่าอยู่ในจุดใด
“เจ้าเด็กนี่ไม่เลว เป็นอย่างไร กราบข้าเป็นอาจารย์ดีหรือไม่” อาจารย์อายิ้มจนตาหยี จะว่าไป เขาเป็นอิสระมาตลอด แต่กลับล้มเหลวเรื่องการรับลูกศิษย์ เดิมทีเสียนเกอนั้นมีคุณสมบัติเพียบพร้อม ทว่าใครจะรู้ว่าเขามิได้มีจิตใจมุ่งมั่นในเรื่องวรยุทธ์ พร่ำสอนมาหลายปีทว่ายังคงไม่ถึงขั้นสูง กลับไปร่ำเรียนวิชาการแพทย์ของอาจารย์จนแตกฉาน ต่อมาแม้จะมีหนานกงมั่วคอยเติมเต็มส่วนที่เขาทำได้ไม่ดี แต่หนานกงมั่วนั้นเป็นผู้หญิง ต่อให้วรยุทธ์นางเก่งกาจเพียงใดก็ยังไม่ถึงที่สุด ยามนี้เห็นคนที่เยี่ยมยอดทั้งร่างกายและคุณสมบัติ ไม่แปลกใจที่จะนึกชื่นชอบขึ้นมา
“อาจารย์อา” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ น้ำเสียงแสดงออกชัดเจนว่าปฏิเสธความตั้งใจของเขา
สำนักนี้นอกจากอู๋สยาแล้วดูเหมือนจะไม่มีใครปกติ เว่ยซื่อจื่อแสดงออกชัดเจนว่าต่อให้วรยุทธ์เก่งกาจเพียงใดก็ไม่มีทางกราบเป็นอาจารย์ได้
เมื่อเห็นเช่นนั้น อาจารย์อาจึงยู่ปากอย่างผิดหวัง โยนของสองสิ่งออกไป เอ่ยกับหนานกงมั่ว “สินเจ้าสาวของเจ้า อาจารย์กับศิษย์พี่มอบให้เจ้าแล้ว สองชิ้นนี้ก็มอบให้เจ้าเด็กนี่ก็แล้วกัน เด็กน้อย เจ้าจำเอาไว้ กล้ารังแกมั่วเอ๋อร์…ระวังศีรษะของเจ้าเอาไว้ให้ดี” เว่ยจวินมั่วยกมือไปรับสิ่งของนั้นเอาไว้ เอ่ยเสียงเรียบ “ผู้อาวุโสกังวลเกินไปแล้วขอรับ”
อาจารย์อาส่งเสียงหยัน หมุนตัวลอยออกไป หายไปจากสายตาของผู้คน
“อาจารย์อา…” หนานกงมั่วถอนหายใจออกมา อาจารย์อาไปมาราวกับสายลม
ทั้งสองลงจากหลังคามาพร้อมกัน ผู้คนล้อมเข้ามาถามไถ่ว่าได้รับบาดเจ็บกันหรือไม่ องครักษ์เข้ามาไต่ถามด้วยท่าทางนอบน้อม “ซื่อจื่อ คนผู้นั้น…”
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ไม่ต้องสนใจ ไปกันเถิด” เสียเวลาไปมากแล้ว หากยังไม่ไปคงไม่ทันเวลา ขบวนมารับตัวเจ้าสาวมิได้พุ่งตรงกลับจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องในทันที ยังต้องเดินขบวนไปรอบเมืองจินหลงเพื่อป่าวประกาศว่าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องและจวนฉู่กั๋วกงได้ผูกสัมพันธ์กันแล้ว
ยามนี้ผู้คนได้เห็นใบหน้าของหนานกงมั่วอย่างชัดเจน แม้ผ่านการต่อสู้มาทว่ากลับไม่เลอะเทอะใดๆ ชุดแต่งงานที่ถูกปักอย่างวิจิตรสวยงามยิ่งทำให้ผู้คนตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าเกี้ยวเจ้าสาวไปอีก ใบหน้าสวยลงแป้งบางๆ เปล่งประกายสะดุดตา ใบหน้าของทุกคนประดับไปด้วยรอยยิ้ม หลายคนนึกชื่นชมอยู่ในใจ สมแล้วที่เป็นบุตรีของแม่ทัพอันดับหนึ่งและเมิ่งซื่อผู้มีชื่อเสียง เมื่อเทียบกับบุตรีของแม่ทัพอื่นนางดูอ่อนโยนกว่ามาก เมื่อเทียบกับคุณหนูผู้อ่อนหวานคนอื่นๆ นางดูสง่างามกว่ามาก ที่สำคัญยังสามารถต่อสู้เคียงคู่กับซื่อจื่อได้อีกด้วย สตรีเช่นนี้หาได้ยากยิ่งกว่าสตรีที่ชอบหลบอยู่หลังสามีเสียอีก
หมิงฉินถือผ้าสีแดงเดินเข้ามา ปิดคลุมใบหน้างดงามนั้นอีกครั้ง ผู้คนต่างพากันเสียดาย มองหนานกงมั่วที่ถูกพาตัวขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวไป ตามมาด้วยเสียงของผู้ดูแลออกคำสั่งให้ยกเกี้ยว เสียงประทัดและกลองดังขึ้น เว่ยจวินมั่วกระโดดขึ้นเดินนำไป ในที่สุดขบวนรับเจ้าสาวก็เคลื่อนตัว ผู้คนโห่ร้องแสดงความยินดีกับการแต่งงานของซื่อจื่อและจวิ้นจู่ สาวใช้ยี่สิบสี่คนหาบตะกร้าดอกไม้เดินเคียงข้างเกี้ยวเจ้าสาว คอยโปรยเงิน ลูกอม เหล่านี้เป็นต้น ผู้คนยิ่งโห่ร้องดังขึ้น ตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยความครึกครื้น
พิธีแต่งงานครั้งนี้คงเป็นการแต่งงานที่ประชาชนชาวจินหลิงไม่มีวันลืม ไม่เพียงเจ้าบ่าวเจ้าสาวต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ยังมีสินเจ้าสาวที่ยาวกว่าสิบลี้ ขบวนรับเจ้าสาวเดินวนรอบจินหลิงไปหนึ่งรอบก่อนจะตรงไปยังจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง สินเจ้าสาวนั้นด้านหน้าเดินนำไปไกลกว่าสองช่วงถนนแล้วทว่าปลายหางยังคงอยู่ที่จวนฉู่กั๋วกงไม่ขยับ หากไม่วนก่อนหนึ่งรอบ เกรงว่าเจ้าสาวเข้าไปถึงจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องแล้วปลายหางของสินเจ้าสาวก็ยังคงไม่ออกจากจวนฉู่กั๋วกง เมื่อใกล้ถึงเวลา ขบวนรับเจ้าสาวก็มาถึงจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องที่ซึ่งที่นั่งได้เต็มหมดแล้ว