“บ่าวสาวมาถึงแล้ว” เสียงดังขึ้น เจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินเคียงคู่กันเข้ามาด้านใน เจ้าสาวถูกประคองโดยผู้ดูแลและสาวใช้ แม้มองไม่เห็นใบหน้าทว่ารูปร่างเพรียวสวยภายใต้ชุดเจ้าสาวนั้นมิอาจปิดบังได้จนผู้คนต้องพยักหน้าให้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ส่วนใหญ่ต่างเคยเจอซิงเฉิงจวิ้นจู่มาแล้วอย่างน้อยสักครั้งกันทั้งนั้น นึกถึงรูปลักษณ์ที่งดงามดุจภาพวาดของคุณหนูใหญ่หนานกงเมื่อครั้งอยู่ในงานเลี้ยงในพระราชวัง ความสุขุมและสวยสง่านั่น ยามนี้กลายเป็นเจ้าสาวแล้ว ไม่รู้ว่าจะงดงามล่มเมืองเพียงใด
เจ้าบ่าวที่ยืนอยู่ด้านข้างเองก็ดูดีไม่แพ้กัน ชุดแต่งงานสีแดงปักลายมังกร ใบหน้าหล่อเหลา ดูกล้าหาญ หากไม่มีดวงตาแปลกประหลาดคู่นั้น คุณชายผู้นี้ต่อให้เย็นชาเกรงว่าก็คงทำให้สตรีในห้องหอทั่วทั้งจินหลิงพากันพุ่งตัวเข้าหาเขาเป็นแน่ น่าเสียดายแล้ว…
เว่ยจวินมั่วชะงักไปชั่วครู่เมื่อมองเห็นผู้คนที่อยู่ในห้องโถงพิธีการ เพียงแต่ใบหน้าของเขาไม่เคยแสดงสีหน้าใดๆ ออกมา ต่อให้ตกใจก็ยากที่จะมีคนดูออก
“หนึ่ง คำนับฟ้าดิน” รอทั้งสองมาถึงตำแหน่ง ผู้ดำเนินพิธีเอ่ยขึ้นเสียงดัง
“สอง คำนับพ่อแม่”
“สามีภรรยาคำนับซึ่งกันและกัน”
หนานกงมั่วที่มีผ้าสีแดงคลุมหน้าเอาไว้พ่นลมหายใจออกมา มีสาวใช้ช่วยประคองคุกเข่าแล้วลุกขึ้น คุกเข่าแล้วลุกขึ้นอีกครั้ง มองไม่เห็นอะไรก็ไม่ต้องตื่นเต้นและไม่ต้องกลัวว่าจะทำสิ่งใดพลาดไป แต่มันไม่สนุกเพราะต้องเป็นเหมือนหุ่นกระบอกที่มองไม่เห็นอันใดเลย เมื่อสักครู่ลงจากเกี้ยวเจ้าสาวมายังคงรู้สึกเวียนศีรษะอยู่เล็กน้อยก็ต้องเข้าพิธีในทันที ในที่สุดก็เสร็จสิ้นแล้ว
เป็นดังนั้น ต่อมาได้ยินผู้ดำเนินพิธีเอ่ยขึ้นว่า “ส่งตัวเข้าหอ”
ยู่ปากด้วยความเบื่อหน่าย ไม่มีเรื่องใดน่าสนใจเลยจริงๆ
มือเย็นข้างหนึ่งยื่นมากุมมือนางเอาไว้ หนานกงมั่วชะงัก ยอมปล่อยให้เขาจูงตนเองเดินไปยังห้องใหม่ ผู้คนพากันลอบยิ้ม ดูเหมือนซื่อจื่อจะชอบซิงเฉิงจวิ้นจู่มากจริงๆ ไม่ถือดอกไม้แดงทว่ากลับไปจูงมือซิงเฉิงจวิ้นจู่แทน
เมื่อเข้ามาในห้องหอ รอจนกระทั่งทุกคนออกไปแล้ว หนานกงมั่วจึงยกมือขึ้นเปิดผ้าแดงที่คลุมหน้าของตนเองออก ห้องสีแดงสะดุดตาปรากฏสู่สายตา เตียงสีแดงหลังใหญ่ ผ้าปูเตียงสีแดงผืนใหญ่ เชิงเทียนมังกรและหงส์สีแดงตัวใหญ่ เครื่องประดับตกแต่งที่เต็มไปด้วยสีแดงจนห้องทั้งห้องกลายเป็นทะเลสีแดงไปแล้ว แน่นอน ยังมีคนสีแดงอยู่อีกด้วย
หนานกงมั่วมองไปยังเว่ยจวินมั่วที่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง เมื่อเทียบกับความแดงในห้องแล้ว ยังดีที่เว่ยจวินมั่วไม่ได้เป็นสีแดงมากถึงเพียงนั้น องค์หญิงฉังผิงเลือกชุดได้ไม่เลวเลย มิฉะนั้นคงมีแต่สีแดงสดเสียดตา ด้วยลายปักมังกรยิ่งทำให้เว่ยจวินมั่วดูหล่อเหลาและสูงส่งขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า เว่ยจวินมั่วเองก็กำลังมองหญิงสาวด้านข้าง วันนี้ย่อมมิใช่ครั้งแรกที่เขาเจอหนานกงมั่ว แต่ยามนี้ที่นั่งอยู่ในห้องหอกับยามที่ได้เจออยู่ข้างนอกนั้นกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ความดุดันน้อยกว่า ทว่ากลับมีความอ่อนหวานเพิ่มมากขึ้น แสงเทียนสว่างไสวส่องสะท้อนให้ใบหน้างดงามขึ้นอย่างยากจะพรรณนาได้
หนานกงมั่วกะพริบตาปริบมองผ้าคลุมหน้าสีแดงที่อยู่ในมือ ของเล่นชิ้นนี้เหมือนเขาต้องเป็นคนเปิดออก คงไม่เป็นไรใช่ไหมนะ
“เอ่อ เราต้องทำอีกรอบหรือไม่”
เว่ยจวินมั่วส่ายหน้า เดินเข้าไปหยิบผ้าคลุมหน้าสีแดงออกจากมือของนาง เอ่ยว่า “เจ้าพักผ่อนสักนิดเถิด เดี๋ยวจะมี…เอ่อ…”
หนานกงมั่วครุ่นคิด ไม่เข้าใจเท่าใดนัก
ยังต้องเข้าหอหรือ
…เข้าหอบ้าอะไรกัน…นึกถึงภาพที่ใครบางคนเขินอายทว่าแสร้งตีหน้านิ่ง พลันขบขันขึ้นมา มัวแต่ก้มหน้ากลั้นขำ ไม่ทันได้เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของใครบางคน คุณหนูใหญ่หนานกงคงลืมไปแล้วว่าถึงแม้บางครั้งคนบางคนนั้นจะดูขี้อาย ทว่าในเรื่องหาเศษหาเลยกับนางเขาไม่เคยเกรงใจเลยสักครั้ง
ไม่นานเว่ยจวินมั่วก็ถูกคนตามออกไปดื่ม ก่อนออกไปยังสั่งสาวใช้ให้มากินของว่างเป็นเพื่อนนางด้วย
ในห้องเงียบลง ไม่นานสาวใช้ก็ผลักประตูเปิดเข้ามา ในมือมีของกินกำลังร้อนๆ เห็นได้ชัดว่าพึ่งจัดเตรียมไม่นาน หนานกงมั่วถอดผ้าคลุมหน้าวางไว้ด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ ทำราวกับซื่อจื่อเป็นคนเอามันออกก่อนที่จะเดินออกไป ผู้ที่เดินตามจือซูและหมิงฉินเข้ามาคือมามาวัยกลางคนทั้งสอง เมื่อมองเห็นหนานกงมั่วจึงย่อตัวเคารพด้วยท่าทางนอบน้อม กล่าว “บ่าวคือจ้าวซื่อ หยางซื่อ คารวะพระชายาซื่อจื่อเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยตอบ “ทั้งสองท่านเชิญลุกขึ้นเถิด ทั้งสองท่านคือ…” ความจริงนางจำได้ สองคนนี้คล้ายว่าจะเป็นผู้ที่คอยอยู่รับใช้องค์หญิงฉังผิง
หนึ่งในมามาคนหนึ่งก้าวขึ้นมาด้านหน้าหนึ่งก้าว “รายงานพระชายาซื่อจื่อ องค์หญิงเกรงว่าสาวใช้ที่มากับพระชายาซื่อจื่อจะยังคงไม่คุ้นเคยกับจวนที่นี่ จึงมีรับสั่งให้พวกบ่าวมาคอยรับใช้พระชายาก่อนสักสองวันเจ้าค่ะ” ขณะที่เอ่ยก็แสดงให้เห็นว่าองค์หญิงมิได้มีความตั้งใจคิดเข้ามาแทรกแซงแต่อย่างใด สองคนนี้เพียงมาช่วยให้คนของนางคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแล้วอีกไม่กี่วันก็จะกลับไป หนานกงมั่วพยักหน้าพลางเอ่ย “เช่นนี้ คงต้องลำบากมามาทั้งสองแล้ว ฝากขอบพระทัยองค์หญิงแทนข้าด้วย จือซู หากพวกเจ้ามีอันใดไม่เข้าใจก็ถามกับมามาทั้งสองเถิด”
“บ่าวน้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ”
“เป็นเรื่องสมควรของบ่าวทั้งสองเจ้าค่ะ”
จือซูส่งห่อผ้าให้มามาทั้งสองอย่างรู้งาน มามาทั้งสองรับเอาไว้ก่อนจะรีบกล่าวขอบคุณ พระชายาซื่อจื่อที่เข้ามาใหม่ให้รางวัล ไม่ใช่เพียงเรื่องเงิน แต่เป็นการให้เกียรติพวกนางด้วย
“คุณหนู ทานอะไรสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ มามาทั้งสองเตรียมให้ท่านด้วยตัวเองเลยนะเจ้าคะ” หุยเสวี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ยกขนมและโจ๊กเข้ามาวางไว้บนโต๊ะ เดิมทีบนโต๊ะก็มีของว่างวางอยู่ ทว่าของพวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นของเล็กๆ น้อย ไม่เหมาะจะกินให้อิ่ม หนานกงมั่วเองก็ไม่ปฏิเสธ นางเองก็หิวแล้ว ทานของว่างตั้งแต่เช้าหลังจากนั้นก็ไม่มีแม้เพียงน้ำสักหยดได้ตกถึงท้อง ก่อนหน้านี้ต้องไปต่อสู้กับอาจารย์อาอีก รู้สึกหิวจนไม่ไหวแล้วเช่นกัน
“ลำบากมามาทั้งสองแล้ว”
ตกเย็น ทั่วทั้งจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องนั้นอบอวลไปด้วยความครื้นเครง แขกเหรื่อต่างแลกกันชนแก้วร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน
ในศาลาเล็กที่แยกออกมา ลิ่นฉังเฟิงกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่ริมหน้าต่างที่ถูกเปิดออกเพียงครึ่งเดียว มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นลานด้านหน้าที่กำลังสว่างไสวกำลังมีการร้องรำทำเพลง เสียงดังครึกครื้นไปหมด กลิ่นเหล้าเข้มลอยมาจากลานด้านหน้ามาจนถึงศาลาหลังเล็กแห่งนี้ ทำให้ลิ่นฉังเฟิงอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก ยกเหยือกเหล้าในมือขึ้นดื่มไปหนึ่งอึกใหญ่ๆ เหลือบไปมองใครบางคนที่นั่งห่างออกไปไม่ไกลด้านหลัง ลิ่นฉังเฟิงก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าว่านะ บนโลกนี้ยังมีเจ้าบ่าวที่ว่างเช่นเจ้าอยู่อีกหรือ คนอื่นแต่งงานหากไม่ล้มคงไม่ได้หยุดพัก แต่เจ้ากลับวิ่งแจ้นมาทำตัวว่างอยู่ที่นี่คนเดียว ต้องลำบากฉีอ๋องเยี่ยนอ๋องมาดื่มแทนเจ้า”
เว่ยจวินมั่วปรายตามองเขาเล็กน้อย เอ่ยตอบโต้ “นี่กำลังโทษข้าหรือ”
ลิ่นฉังเฟิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายจึงยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “ก็ได้ ไม่โทษเจ้า ใครใช้ให้พวกเขาขี้ขลาดกันเล่า” ผู้ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเว่ยจวินมั่วในจินหลิงนี้คล้ายจะมีเพียงไม่กี่คน คนที่กล้ามอมเหล้าเว่ยจวินมั่วก็มีเพียงไม่กี่คน คนที่จะก่อเรื่องวุ่นวายได้จริงๆ นอกจากคุณชายเจ้าสำราญทั้งหลายก็คงมีเพียงญาติสนิทเท่านั้นแล้ว ดังนั้น คุณชายเว่ยจึงชนแก้วได้อย่างราบรื่น ไม่มีใครกล้าลากเขาไปดื่มแก้วที่สองแก้วที่สามต่ออีก