เจิ้งซื่อเป็นใบ้พูดไม่ออกทันใด ใคร…ใครกันที่ใส่ความนาง หนานกงฮุยหรือ ไม่ เขาไม่มีสมองถึงเพียงนั้น หนานกงชวี่…หนานกงชวี่ไม่มีทางเอาชีวิตของน้องสาวตนเองมาเสี่ยงแน่ ใครกัน… ใบหน้าเจิ้งซื่อซีดเซียว เหงื่อเม็ดเล็กปรากฏบนหน้าผาก
หนานกงไหวเอ่ยเสียงเข้ม “เรื่องนี้สั่นสะเทือนไปถึงฝ่าบาท ข้าจำเป็นต้องมีคำตอบให้ฝ่าบาทและผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียง”
เจิ้งซื่อมองหนานกงไหวท่าทางตกตะลึง สายตาไม่อยากจะเชื่อ เนิ่นนานจึ้งเอ่ยขึ้น “ท่าน…ท่านคิดจะทำอันใด”
หนานกงไหวหรี่ตามองนาง “เจ้าวางใจ ข้าไม่เอาชีวิตเจ้าหรอก นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าก็อยู่ในคุกใต้ดินไปเสียเถิด”
“หนานกงไหว ท่านกล้าหรือ” เจิ้งซื่ออดไม่ได้ตะโกนร้องเสียงดัง จวนหนานกงมีคุกใต้ดิน เรื่องนี้มีคนรู้ไม่มาก แต่เจิ้งซื่อกลับรู้ ไม่เพียงรู้นางยังเคยเข้าไปอยู่ด้วย แต่เมื่อเข้าไปแล้วเจิ้งซื่อเคยให้คำสาบานว่าชีวิตนี้นางจะไม่มีวันเข้าไปอีกเป็นครั้งที่สองเป็นแน่ ไม่ต้องเอ่ยถึงด้านในที่มืดสนิทไร้แสงส่องถึง กลิ่นคาวเลือดและความเหน็บหนาวเกินที่คนธรรมดาทั่วไปจะรับได้ เมื่อครั้งราชวงศ์เซี่ยเริ่มก่อตั้งประเทศ การลอบสังหารหนานกงไหววีรบุรุษผู้ร่วมก่อตั้งประเทศนับว่าเป็นเรื่องปกติ บางครั้งก็ส่งตัวให้ราชสำนักจัดการ และมีบางคนที่ไม่สะดวกส่งให้ราชสำนัก คุกใต้ดินจึงได้นำมาใช้ในยามนี้ หลายปีมานี้ไม่ได้ใช้บ่อยนัก แต่ว่า…
สายตาเย็นเยียบของหนานกงไหวมองไปยังนาง เอ่ยขึ้น “เอ่ยเช่นนี้…เจ้าอยากไปอยู่ในคุกสวรรค์หรือ”
แน่นอนว่าเจิ้งซื่อไม่อยากอยู่ในคุกสวรรค์ นักโทษในคุกสวรรค์นั้นล้วนเหี้ยมโหด หากนางเข้าไปแล้วคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้ออกมา เจิ้งซื่อไม่คิดว่าหนานกงไหวจะมีความคิดอยากช่วยนางออกมาอีกครั้ง นึกถึงสถานการณ์ของตนในยามนี้ เจิ้งซื่อกระสับกระส่ายและผิดหวังอยู่ในใจ รีบรุดเข้าไปคว้าดึงชายเสื้อของหนานกงไหวเอาไว้ “นายท่าน ข้าสำนึกผิดแล้ว ได้โปรด ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด ข้าจะไปสำนึกผิดกับคุณหนูใหญ่ อ้อนวอนให้คุณหนูใหญ่เมตตาข้า นายท่าน…พวกเรา พวกเรายังมีซูเอ๋อร์อยู่นะเจ้าคะ หากข้าไม่อยู่แล้ว ซูเอ๋อร์จะทำเช่นไร”
หนานกงไหวกระชากเสื้อของตนกลับอย่างหงุดหงิด ยิ้มเย็น “เจ้ายังกล้าพูดเช่นนี้อีกหรือ เพราะมีภรรยาโง่เช่นเจ้า ทำให้จวนฉู่กั๋วกงของข้าต้องเสียหน้าไปด้วย องค์หญิงฉังผิงและเยี่ยนอ๋องเป็นบุคคลที่ควรล่วงเกินหรือ ยามนี้เยี่ยนอ๋องและฉีอ๋องยื่นฎีกาต้องการให้ข้ามีคำตอบให้พวกเขา เจ้าว่า ต้องทำเช่นไร”
“ข้า…” เจิ้งซื่อเบิกตากว้างมองไปยังหนานกงไหวอย่างไม่คาดคิด หลายปีมานี้ เจิ้งซื่อมีชีวิตราบรื่นราวกับน้ำมาโดยตลอด แม้สถานะจะมีข้อจำกัดบ้าง แต่อย่างอื่นนั้นยังไม่เคยผิดพลาดมาก่อน แม้เจิ้งซื่อจะมีแผนการในใจ แต่ความจริงแล้วมันช่างตื้นเขินเสียจริง แผนการนี้หากเป็นการต่อสู้กันในเรือนหลังยังพอใช้ได้ แต่เมื่อเจอเรื่องใหญ่ก็จนปัญญาเช่นกัน
“คุณ คุณหนูใหญ่…”
หนานกงไหวปรายตามองนาง “เจ้าคิดว่ามั่วเอ๋อร์ดูเป็นคนมีเมตตาชดใช้คืนด้วยคุณธรรมได้อย่างนั้นหรือ”
“แต่ว่า…ข้าไม่ได้…”
“พอแล้ว ยังไม่สำนึกผิดอีก” หนานกงไหวไม่มีอารมณ์มาฟังคำแก้ตัวของนาง เอ่ยเสียงเข้ม “เรื่องมาถึงตรงนี้แล้ว เจ้าเป็นคนหาเรื่องใส่ตัวเอง เจ้าสงบจิตสงบใจอยู่ในคุกไปเสียเถิด รอพิธีแต่งงานของมั่วเอ๋อร์ผ่านพ้นไป ข้าจะประกาศออกไปว่าเจ้าป่วยตาย หลังจากนั้น…ค่อยว่ากันอีกที”
“ไม่ได้นะเจ้าคะ” เจิ้งซื่อเสียงดังขึ้น นางยังอยากเห็นซูเอ๋อร์ขึ้นเป็นพระชายารัชทายาทของเย่ว์จวิ้นอ๋อง นางยังต้องการขึ้นเป็นฮูหยินที่ถูกต้อง นางยัง…นางยังทำอะไรไม่สำเร็จเลย จะจบลงเช่นนี้ได้เยี่ยงไร “หนานกงไหว ท่านอย่าบีบบังคับข้า ลืมแล้วหรือ…ในมือของข้า…”
ใบหน้าหนานกงไหวทะมึนขึ้น เอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าอย่าลืมสิ ยามนี้หนานกงซูเป็นเพียงอนุภรรยาของเย่ว์จวิ้นอ๋อง หากไม่มีข้าผู้เป็นฉู่กั๋วกงคอยสนับสนุน เจ้าคิดว่านางจะเป็นเช่นไร”
เจิ้งซื่อใบหน้าซีดขาว กัดฟันเอ่ย “ซูเอ๋อร์เองก็เป็นบุตรีของท่านนะ”
“บุตรีของข้ามิได้มีนางเพียงผู้เดียว เจ้าผู้เป็นมารดาเองยังไม่สนใจ แล้วข้าต้องสนใจอันใด” หนานกงไหวยิ้มเย็น
เจิ้งซื่อล้มลงกับพื้นด้วยความอ่อนแรง ดวงตาโกรธแค้นจับจ้องไปที่หนานกงไหว “หนานกงไหว หลายปีมานี้ข้าคอยดูแลเรือนฉู่กั๋วกงเพื่อท่าน ท่าน…ท่านกลับ ท่านช่างโหดร้ายเสียจริง” หนานกงไหวก้มหน้า ดวงตามองต่ำไปยังสตรีบนพื้น เอ่ย “หลายปีมานี้ เจ้าเสพสุขไปกับหัวโขนฮูหยินจวนฉู่กั๋วกง ยังมีอันใดที่เจ้าไม่พอใจอีกหรือ เจิ้งหว่าน ตั้งแต่มั่วเอ๋อร์กลับมาเจ้าก็เอาแต่อิจฉานาง เจ้ามีสิทธิ์อันใดหรือ อย่าลืมฐานะของตนเองเล่า”
ดวงตาของเจิ้งซื่อหรี่ลง แววตาดุร้ายมองไปยังหนานกงไหว เอ่ยเสียงเย็น “ฐานะของท่านสูงส่งกว่าข้าอย่างไรหรือ เวลานั้นตระกูลหนานกงของท่านก็เป็นเพียงครอบครัวชาวบ้านธรรมดาที่แม้แต่ข้าวจะกินยังไม่มี หากมิได้ถูกแต่งตั้ง ท่านคิดว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเมิ่งจะชายตาแลท่านหรือ ฮ่าๆ…หนานกงไหว ไยท่านจึงไม่ชอบเมิ่งซื่อ ไม่ใช่ท่านไม่ชอบนาง แต่ท่านรู้ว่าตนเองไม่เหมาะสมกับนางใช่หรือไม่ ทุกครั้งที่มองเห็นนางท่านมักรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยราวกับดินโคลน ท่านรู้สึกว่าทุกครั้งที่เมิ่งซื่อมองมาที่ท่าน สายตาของนางนั้นรังเกียจท่านราวกับสิ่งสกปรกน่าขยะแขยง ท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ เป็นแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงจากการก่อตั้งประเทศ จะยอมให้ภรรยามาดูถูกท่านได้เยี่ยงไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…ท่านที่พึ่งพาข้ากลับมา เมิ่งซื่อก็ไม่เคยให้ท่านเข้าใกล้อีกเลย ดังนั้นท่านจึงเกลียดนางใช่หรือไม่ ท่านมิได้รักข้า ท่านเพียงตั้งใจโปรดปรานสตรีต้อยต่ำ เพื่อทำให้เมิ่งซื่อโกรธใช่หรือไม่”
“หุบปาก” หนานกงไหวตวัดมือตบลงไปบนใบหน้าของเจิ้งซื่อ สายตาเย็นยะเยือกจ้องนางเขม็ง เอ่ย “ข้าเคยบอกว่ารักเจ้าหรือ คิดว่าตัวเองดีงามมากอย่างนั้นหรือ”
เจิ้งซื่อมองใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกของหนานกงไหวอย่างเหม่อลอย พลันร้องไห้เสียงดังขึ้นมา นางรู้ดีว่าหนานกงไหวไม่เคยรักนาง รู้มาตั้งแต่แรก ดังนั้นนางจึงไม่อาจอยู่นิ่งได้ คิดเกาะเกี่ยวบุตรชายเชื้อสายหลักทั้งสองของตระกูลหนานกงเอาไว้ ดังนั้นเมื่อยังเด็กหนานกงชิงนั้นเป็นปรปักษ์กับนางไปเสียทุกอย่าง นางจึงคิดส่งหนานกงชิงออกไปไกลถึงตานหยาง นางเกิดมาฐานะต่ำต้อย ไม่มีครอบครัวคอยหนุนหลัง แม้แต่ความรักของสามียังเป็นความรักจอมปลอม หากต้องการชีวิตมั่งคั่งร่ำรวยไปตลอดชีวิต นางจึงจำเป็นต้องกอดอำนาจเอาไว้แน่น แต่หลายปีมานี้ หนานกงไหวไม่เคยมีความโปรดปรานต่อสตรีเรือนหลัง ทำให้นางเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา คิดว่าหนานกงไหวรักนางจริงๆ แต่การตอบกลับของหนานกงไหวกลับทำให้ทุกอย่างต้องแตกสลาย
หนานกงไหวมองสตรีตรงหน้าอย่างรังเกียจ ส่งเสียงหยัน “หากเจ้ายังรู้จักเอาตัวรอดก็อยู่เฉยเอาไว้ เห็นแก่ความสัมพันธ์ของเราตลอดหลายปีมานี้ข้าจะไว้ชีวิตของเจ้า เพราะฉะนั้น…อย่าคิดมาข่มขู่ข้า ข้ารับรองได้เลยว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับข้า ลูกสาวสุดที่รักของเจ้า…จะน่าสมเพชยิ่งกว่า” เจิ้งซื่อตัวสั่นเทา พูดอะไรไม่ออก ฝีมือของหนานกงไหวหลายปีมานี้นางเห็นมาไม่น้อย แน่นอนว่าย่อมไม่อยากเผชิญกับมันด้วยตัวเอง หรือว่า…จะจบลงเช่นนี้หรือ…สิ่งที่นางทำมาตลอดหลายปีมานี้ จะมีประโยชน์อันใดเล่า
“นายท่าน คุณหนูใหญ่กลับมาแล้วขอรับ” เสียงขององครักษ์รายงานมาจากด้านนอก
หนานกงไหวมองเจิ้งซื่อด้วยสายตาตักเตือน โบกสะบัดมือ เอ่ยสั่ง “เอาตัวนางไปยังคุกใต้ดิน”