ได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ของเว่ยจวินเจ๋อและภรรยาเอกไม่ดีนัก นี่คงเป็นหนึ่งในเหตุผล
“คารวะพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ” ทั้งสองก้าวเข้าไปคารวะหนานกงมั่ว
หนานกงมั่วยิ้มพร้อมลุกขึ้นต้อนรับ เอ่ยว่า “น้องสาวทั้งสองมาได้เช่นไร เข้ามานั่งก่อนเถิด” ทั้งสามคนย้ายออกจากห้องหนังสือมายังห้องโถงรับแขก ไม่นานสาวใช้ก็ยกน้ำชาชั้นดีเข้ามา เซวียซื่อมองสำรวจไปยังเครื่องเรือนหรูหราที่ถูกแกะสลักประณีตจากไม้จันทร์แดง จากนั้นหันมามองสาวใช้เคียงกายและสาวใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูของหนานกงมั่ว อดไม่ได้ถอนหายใจพลางเอ่ย “พี่สะใภ้ช่างโชคดี ดูเครื่องเรือนพวกนี้…อีกทั้งยังสาวใช้เหล่านี้อีก…”
เสิ่นซื่อปรายตามองเซวียซื่ออย่างไม่พอใจนัก เดิมทีบรรยากาศยังดีๆ อยู่ทว่ากลับถูกวาจาประหลาดของนางทำให้บรรยากาศแปลกไปหมด หากคนไม่รู้คงคิดว่าพวกนางกำลังริษยาความร่ำรวยของพระชายาซื่อจื่อ โดยไม่รู้ว่าความร่ำรวยนับเป็นเพียงด้านเดียว ที่สำคัญกว่านั้นคือเซวียซื่อนั้นมีวาสนาในการแต่งงานไม่สู้ดีนัก สาวใช้ในเรือนที่ดูดีบ้างล้วนแล้วแต่เคยมีความสัมพันธ์กับเว่ยจวินเจ๋อแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นสิ่งที่เซวียซื่อเบื่อหน่ายที่สุดคงเป็นสาวใช้ที่รูปร่างหน้าตางดงามพวกนั้น บรรดาสาวใช้ของหนานกงมั่วนั้นไม่มีคนใดเลยที่ไม่สวย อีกทั้งความคิดของหนานกงมั่วและองค์หญิงฉังผิงนั้นเข้ากันได้ค่อนข้างดี บุรุษหากจะเปลี่ยนใจ ต่อให้เจ้าเปลี่ยนบ่าวในเรือนให้มีหน้าตาอัปลักษณ์ เขาจะไปหากินเอาข้างนอกไม่ได้หรือ
“พี่สะใภ้ช่างเพียบพร้อม พี่ใหญ่โชคดียิ่งแล้ว” เซวียซื่อเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มหวาน
จือซู หมิงฉิน และสาวใช้อื่นๆ สีหน้าไม่น่ามองมากขึ้น แม้แต่ซวงเย่ว์และฉิงอวี่ยังมีใบหน้าซีดขาว
หนานกงมั่วหลุบตาลง ดื่มชาต่อไป เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “วาจาของน้องสาวนี่จริงๆ เลย มีสาวใช้งดงามอยู่ข้างๆ ก็ดูสวยงาม ซื่อจื่อก็จะสบายตาไปด้วยมิใช่หรือ”
มีผู้ใดในจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องไม่รู้บ้างว่าเซวียซื่อแต่งเข้าจวนได้เพียงหนึ่งเดือน สาวใช้ทั้งสี่ที่เป็นสินเจ้าสาวก็ถูกเว่ยจวินเจ๋อเสพสุขไปแล้วสามคน เซวียซื่อโกรธจนแทบบ้า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสาวใช้ในเรือนเว่ยจวินเจ๋อหากอายุไม่มากก็หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ แต่เช่นนี้แล้วอย่างไร เว่ยจวินเจ๋อก็ยังคงพาสตรีจากข้างนอกเข้ามาแทบไม่เว้นวัน หากลองนับขึ้นมา เกรงว่าเมื่อนับภรรยาของบุรุษในจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องรวมกันยังสู้เว่ยจวินเจ๋อเพียงคนเดียวไม่ได้ เมื่อได้ฟังที่หนานกงมั่วเอ่ย ใบหน้าของเซวียซื่อก็เผยความกระอักกระอ่วนและขุ่นเคืองขึ้นมา ทว่าทำได้เพียงยิ้มเจื่อน
หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้นไปมองเสิ่นซื่อที่พอจะคุยรู้เรื่อง “น้องสาวทั้งสองมาหาข้า มีเรื่องใดหรือ”
เสิ่นซื่อเอ่ย “ไม่มีเรื่องใหญ่อันใดหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่แม่เฒ่าและพระชายารองกำลังป่วย จึงส่งข้ากับน้องสามมาช่วยดูแลเรื่องในจวน พวกเราเลยคิดว่าต้องมาบอกกับพระชายาซื่อจื่อ ขอพระชายาซื่อจื่อชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วโบกมือพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นคงต้องลำบากทั้งสองคนแล้ว ข้าพึ่งเข้าจวนมา ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นในจวนบ้างคงไม่เข้าไปยุ่งด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เรือนซูอวิ๋นแห่งนี้หลายสิบปีไม่มีคนพักอาศัย ข้าเองก็มีเรื่องต้องทำไม่น้อย”
หนานกงมั่วพลันเข้าใจวัตถุประสงค์ของทั้งคู่ เพื่อมาตรวจสอบว่านางไม่คิดใส่ใจกับการจัดการในจวนจริงหรือไม่ อีกอย่างต้องการบอกกับนางว่าแม่เฒ่าและพระชายารองต้องป่วยเพราะนาง หนานกงมั่วมีตำแหน่งจวิ้นจู่ครอบอยู่บนหัว ฐานะไม่ได้ด้อยไปกว่าแม่เฒ่ามากนัก แม้จะเป็นหลานสะใภ้ ทว่าไม่จำเป็นต้องไปคารวะทุกวัน ดังนั้นหนานกงมั่วจึงไม่รู้จริงๆ ว่าแม่เฒ่าและพระชายารองนั้นป่วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าป่วยจริงหรือแกล้งป่วยกันแน่
เมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ เสิ่นซื่อและเซวียซื่อจึงลอบถอนหายใจอยู่ในใจ พระชายาซื่อจื่อผู้นี้ได้รับการแต่งตั้งมาอย่างถูกต้อง หากต้องการเข้ามาจัดการเรื่องในจวน พวกนางคงไม่อาจไปห้ามได้ ยิ่งไปกว่านั้น พอนึกถึงภาพเมื่อครั้งนางต่อกรกับท่านแม่เฒ่าแล้ว ทั้งสองจึงคิดว่าทางที่ดีอย่าคิดเป็นศัตรูกับพระชายาซื่อจื่อผู้นี้เสียจะดีกว่า ถึงแม้…พวกนางจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามมาตั้งแต่ต้นแล้วก็ตาม
เสิ่นซื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนี้พวกเราคงไม่รบกวนพี่สะใภ้แล้ว หากเรือนซูอวิ๋นขาดเหลือสิ่งใด พี่สะใภ้ให้คนมาบอกพวกเราได้ เดี๋ยวเราจะส่งมาให้เจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วพยักหน้ากล่าวขอบคุณ มองเสิ่นซื่อมากสักนิด แม้เว่ยจวินมั่วและเว่ยจวินปั๋วมิได้มีความขัดแย้งถึงขั้นฉีกหน้ากัน แต่สามารถมองออกถึงความสัมพันธ์ที่แข็งกระด้าง ฮูหยินน้อยรองผู้นี้กลับสามารถมาคารวะพูดคุยกับนางด้วยท่าทีสนิทชิดเชื้อได้ คิดว่าคงไม่ได้เป็นเพียงถุงฟางเสียแล้ว
พูดคุยกับเสิ่นซื่อไปชั่วครู่ ระหว่างนั้นยังมีประโยคริษยาจากเซวียซื่ออีกไม่กี่ประโยค ทว่าไม่มีใครคิดสนใจ ในขณะที่พวกเสิ่นซื่อทั้งสองกำลังจะกลับ พ่อบ้านหยางก็วิ่งเข้ามารายงานอย่างรีบร้อน “รายงานพระชายาซื่อจื่อ…” เหลือบมองเห็นเสิ่นซื่อและเซวียซื่อที่อยู่ด้านข้าง พ่อบ้านหยางจึงกลืนสิ่งที่จะเอ่ยกลับคืนไป
เสิ่นซื่อรีบลุกขึ้นอย่างรู้ความ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้มีธุระ พวกเราคงต้องขอตัวกลับแล้วเจ้าค่ะ”
ทว่าเซวียซื่อกลับไม่ใช่คนมีมารยาทถึงเพียงนั้น บิดมือออกจากมือเสิ่นซื่อที่คว้าเอาไว้ “พี่สะใภ้มีเรื่องอันใดพวกเรารู้ด้วยไม่ได้หรือ ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะช่วยเหลือได้”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “พ่อบ้านหยาง มีเรื่องอันใดก็เอ่ยมาเถิด”
หยางจงลังเลอยู่ชั่วครู่ คิดไล่เรียงคำพูดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “รายงานพระชายาซื่อจื่อ จวนฉู่กั๋วกงมาแจ้งว่าเจิ้งฮูหยินได้จากไปแล้ว เชิญพระชายากลับจวนขอรับ”
คิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้น ต่อให้เจิ้งซื่อเป็นฮูหยินจวนฉู่กั๋วกงมาหลายสิบปี แต่ในสายตาหนานกงมั่วอย่างไรก็เป็นเพียงอนุภรรยาเท่านั้น หนานกงไหวไม่มีทางไม่รู้จักนาง แม้เจิ้งซื่อตายก็ไม่มีทางส่งคนมาตามนางกลับจวน อย่างมากเพียงรายงานก็พอแล้ว แต่ตอนนี้…ความเป็นไปได้คือเจิ้งซื่อไม่ได้ตายธรรมดาแน่จึงต้องให้นางกลับไป
เมื่อได้ยินข่าวการสูญเสีย เสิ่นซื่อและเซวียซื่อจึงชะงักนิ่ง เซวียซื่อรู้สึกว่าโชคไม่ดี ยกมือขึ้นปิดปากยิ้ม “โอ้ ที่แท้เป็นเรื่องงานศพจวนฉู่กั๋วกง เช่นนั้นข้าคงไม่รบกวนท่านแล้ว”
เสิ่นซื่อลังเลอยู่ชั่วครู่ หันไปมองหนานกงมั่ว “พี่สะใภ้พึ่งออกเรือน ความจริงไม่กลับไปก็คงไม่เป็นไร” อย่างไรก็มิใช่มารดา กลับหรือไม่กลับก็ไม่มีใครกล้าว่าอย่างไรอยู่ดี
หนานกงมั่วพยักหน้า ยิ้มบาง “ขอบคุณน้องสาวที่เอ่ยเตือน”
เมื่อส่งทั้งสองกลับไป หนานกงมั่วเก็บรอยยิ้มแล้วหันไปมองหยางจง “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
พ่อบ้านหยางรีบเอ่ย “รายงานพระชายา เมื่อครู่คุณชายรองจวนฉู่กั๋วกงส่งคนมารายงาน บอกว่าวันนี้มีคนเห็นเจิ้งซื่อตายอยู่ในคุกจวนฉู่กั๋วกง ดูเหมือนจะถูกยาพิษ คุณชายใหญ่เป็นคนสุดท้ายที่เห็นเจิ้งซื่อ ดังนั้น…”
“ดังนั้น ท่านพ่อข้าจึงสงสัยว่าพี่ใหญ่เป็นคนวางยาเจิ้งซื่ออย่างนั้นหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
หยางซื่อเงียบไปไม่เอ่ยสิ่งใด ชี้ชัดว่าหมายความเช่นนั้น ลังเลอยู่ชั่วครู่ พ่อบ้านหยางจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “พระชายาซื่อจื่อ เรื่องนี้…ต้องรายงานองค์หญิงและซื่อจื่อหรือไม่ขอรับ” หนานกงมั่วลุกขึ้น “เจ้าไปรายงานเสด็จแม่ จากนั้นให้คนไปแจ้งแก่ซื่อจื่อ ข้าจะล่วงหน้ากลับจวนฉู่กั๋วกงไปดูก่อน” ก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่าหนานกงชวี่ไม่ปกติ แต่ไม่คิดว่าหนานกงชวี่จะวางยาเจิ้งซื่อ เพียงแต่…เป็นหนานกงชวี่ที่ลงมือหรือถูกให้ร้ายยังไม่อาจรู้ได้
“ขอรับ พระชายาซื่อจื่อ” ซื่อจื่อเคยสั่งเอาไว้ พระชายาซื่อจื่อจะไปที่ใดห้ามขัดขวาง ไม่ว่าพระชายาซื่อจื่อเอ่ยอย่างไรก็ถือว่าเป็นคำของซื่อจื่อ ดังนั้นพ่อบ้านหยางจึงไม่ซักถามหรือสงสัย ทำเพียงถอยออกไปอย่างนอบน้อม