เมื่อคิดถึงตรงนี้ หนานกงไหวจึงโบกมือ เอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคงไม่รั้งพวกเจ้าไว้หรอก”
เซียวเชียนเยี่ยเองไม่สนใจอะไรมาก ทำเพียงพยักหน้าให้ทุกคนและอุ้มหนานกงซูออกไป
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องโถงใหญ่อยู่ชั่วครู่ หนานกงไหวนั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งหลักใบหน้าถมึงทึงไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่ หนานกงชวี่เองก็หลุบตาลงไม่เอ่ยว่าจา เหลือเพียงหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วที่จับมือกัน ขณะมองสบตาอีกฝ่ายนัยน์ตาก็มีรอยยิ้มปรากฏ
เพราะหนานกงซู การกลับบ้านของหนานกงมั่วจึงดูเงียบสงัดพิกล แต่หนานกงมั่วนั้นมิได้ใส่ใจ พูดคุยกับหนานกงไหวเล็กน้อยจากนั้นก็พาเว่ยจวินมั่วไปยังเรือนจี้ชั่ง ยามนี้แม้เรือนจี้ชั่งจะไม่มีเจ้านายแล้ว แต่ยังมีคนคอยดูแลทำความสะอาดอยู่ทุกวัน เมื่อเดินเข้าไปนอกจากความเงียบแล้วก็ไม่ได้ต่างจากเดิมไปมากนัก
แม้เว่ยจวินมั่วจะไม่ได้มาเรือนจี้ชั่งเป็นครั้งแรก แต่การได้สำรวจเรือนหลังนี้นั้นนับว่าเป็นครั้งแรก เขาเองปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องนั้นสู้เรือนหลังนี้ไม่ได้เลยแม้เพียงนิด เรือนซูอวิ๋นเล็กๆ ยิ่งเทียบไม่ได้เลย เขาโอบหนานกงมั่วเอาไว้ เอ่ยเสียงเบา “เจ้าต้องลำบากแล้ว”
หนานกงมั่วชะงัก เอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “เอ่ยสิ่งใดแปลกประหลาดอีกแล้ว”
“ต่อไป ข้าจะสร้างเรือนที่ดีกว่าเรือนจี้ชั่งให้เจ้า”
หนานกงมั่วเข้าใจขึ้นมาในทันใด เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรือนหลังนี้แม้จะดี แต่ว่า…ไม่ได้มีสิ่งใดพิเศษกับข้า ก็เพียง…ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตลอดเมื่อครั้งมารดายังมีชีวิตอยู่” สถานที่ที่ดีแน่นอนว่าใครๆ ก็ชอบ แต่หนานกงมั่วกลับไม่ได้ชื่นชอบเรือนจี้ชั่งถึงขั้นที่จะต้องอยู่ให้ได้ ประโยคที่ว่าถ้าได้อยู่แน่นอนว่าดีที่สุด แต่หากไม่มีทุนทรัพย์ คุณหนูใหญ่หนานกงก็จะไม่เลือกที่นี่
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “เช่นนั้น…อู๋สยาชอบเรือนเช่นไร”
หนานกงมั่วครุ่นคิดจริงจัง เอ่ย “ข้าไม่ชอบเรือน ต่อให้สวยมากเพียงใดก็ยังต้องล้อมรอบไปด้วยรั้ว ข้าชอบ…อืม ข้าชอบดอกท้อ ป่าท้อสิบลี้ สร้างเรือนหลังเล็กๆ อยู่ลึกในป่าท้อ รอถึงฤดูที่ดอกท้อเบ่งบาน…คล้ายธารดอกท้อ[1]เลยใช่หรือไม่ ฮื่อ ถ้าดอกท้อบานได้สี่ฤดูเลยก็คงดี” บางทีคุณหนูใหญ่หนานกงก็มีความฝันที่เกินจริงอยู่บ้าง อย่างเช่นเกาะดอกท้อ อย่างเช่นเอ่อ…หึหึ…
“อู๋สยาชอบก็ดี ข้าจำเอาไว้แล้ว”
หนานกงมั่วยิ้มบาง นางเพียงเอ่ยไปเรื่อยเพียงเท่านั้น ไม่ได้คิดเอามาใส่ใจจริงจัง
หนานกงชวี่เดินเข้ามาก็มองเห็นคู่แต่งงานใหม่เดินจับมือเคียงคู่อยู่ภายใต้แสงแดดอ่อนๆ สตรีงดงามเงยหน้าหันไปพูดคุยกับชายหนุ่มปนเปไปด้วยเสียงหัวเราะอยู่เรื่อยๆ แม้ใบหน้าของชายผู้นั้นจะดูเย็นชา แต่ดวงตาคู่นั้นเมื่อจับจ้องไปยังหญิงสาวกลับเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนและใส่ใจอย่างที่ไม่เคยมี
“พี่ใหญ่” รับรู้ได้ว่ามีใครยืนอยู่ที่หน้าประตู ทั้งสองจึงหยุดเท้าลง หนานกงมั่วเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น
หนานกงชวี่เดินเข้ามา หันไปมองยังหนานกงมั่ว เอ่ย “ดูเจ้ามีความสุขดี”
หนานกงมั่วเม้มริมฝีปากยิ้มออกมาบางๆ “ขอบคุณพี่ใหญ่ที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าสบายดี”
หนานกงชวี่หันไปทางเว่ยจวินมั่ว เอ่ย “ข้ามีเรื่องอยากคุยกับมั่วเอ๋อร์ ซื่อจื่อกลับไปก่อนได้หรือไม่” เว่ยจวินมั่วมองไปยังหนานกงมั่ว หนานกงมั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เว่ยจวินมั่วยกมือขึ้นลูบศีรษะของนางแผ่วเบา เอ่ยว่า “ข้าจะไปคุยกับฉู่กั๋วกงรอ”
หนานกงมั่วมองตามหลังเขาไปจากนั้นจึงหันกลับมาหาหนานกงชวี่ “พี่ใหญ่มีเรื่องอันใดเอ่ยมาตามตรงเถิดเจ้าค่ะ”
หนานกงชวี่จ้องนางนิ่ง เนิ่นนานจึงถอนหายใจออกมา “มั่วเอ๋อร์ เจ้าเกลียดพี่ใหญ่หรือ”
หนานกงมั่วชะงัก ไม่เอ่ยคำใดออกมา หนานกงชวี่ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ช่างเถิด ไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไรกับพี่ใหญ่ พี่ใหญ่มีเรื่องต้องขอร้องเจ้า” หนานกงมั่วยังคงนิ่งมองเขาอยู่เช่นนั้น หนานกงชวี่เอ่ย “หลายปีมานี้ ข้าไม่เคยเข้าใจเจ้า แต่ว่าหลายวันมานี้สิ่งที่ข้าได้รับรู้มันทำให้ข้ารู้ว่าต่อไปข้าไม่มีอันใดต้องห่วงเจ้าแล้ว เพียงแต่ต่อไปหากฮุยเอ๋อร์มีเรื่องอันใด ต้องขอให้เจ้าเห็นแก่ความเป็นพี่น้องช่วยเหลือเขาด้วย” เมื่อเทียบกับหนานกงไหวและหนานกงฮุย หนานกงชวี่ดูเหมือนจะเข้าใจชัดเจนเสียยิ่งกว่าทั้งสองคนแรก เขาดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่าในดวงตาของหนานกงมั่วเวลามองตระกูลหนานกงนั้นไร้ซึ่งความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเลยสักนิด
หนานกงมั่วขมวดคิ้ว มองหนานกงชวี่ เอ่ยตอบ “พี่ใหญ่ ท่านจะทำอันใดกันแน่” หนานกงชวี่ยังคงยิ้ม โบกมือแสดงออกว่าไม่มีอันใด เขาเองไม่ได้คาดหวังให้น้องสาวผู้นี้รับปากในทันที อนาคตหากเกิดเรื่องขึ้นกับฮุยเอ๋อร์และไม่เป็นอันตรายต่อนาง เพียงหวังว่านางจะยื่นมือเข้ามาช่วย ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่แน่ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น
“มั่วเอ๋อร์รู้แผนการของท่านพ่อหรือไม่” หนานกงมั่วส่ายหน้า นางไม่รู้จริงๆ ว่าหนานกงไหวมีแผนเช่นไร เพียงแต่จวนยิ่งใหญ่เช่นจวนฉู่กั๋วกงไม่อาจไร้นายหญิงได้ ในเมื่อหนานกงไหวคิดจะตัดเจิ้งซื่อทิ้ง คิดว่าไม่นานจวนฉู่กั๋วกงคงต้องเตรียมงานต้องรับนายหญิงคนใหม่แล้ว หากเป็นเช่นนี้…ฮูหยินในอนาคตหากมีบุตรอีกก็คงวุ่นวายแล้ว อย่างไรเสียอายุของหนานกงไหวในยามนี้ก็ไม่นับว่ามากเท่าใดนัก
เห็นได้ชัดว่าหนานกงชวี่มิได้มีเพียงปัญหานี้เท่านั้น ทำได้เพียงยิ้ม เอ่ยต่อว่า “ข้าแปลกใจอยู่บ้าง ฮูหยินคนใหม่ของท่านพ่อเป็นใครกันแน่”
หนานกงมั่วส่ายหน้า นางไม่สนใจเรื่องนี้ หนานกงชวี่กล่าวขึ้นอีก “มั่วเอ๋อร์ต้องจำเอาไว้ ไม่ว่าท่านพ่อจะแต่งกับใคร… ต่อไปต้องอยู่ให้ห่างจวนฉู่กั๋วกงและคนผู้นั้นไกลๆ”
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยท่าทางสงบนิ่ง “ไม่ว่าท่านพ่อจะแต่งกับผู้ใด ล้วนเป็นแม่เลี้ยงของพวกเรา” ไม่ว่าหนานกงไหวจะแต่งกับใครก็ไม่เกี่ยวกับบุตรีที่ออกเรือนแล้วเช่นนาง อีกทั้งอย่างน้อยอีกฝ่ายก็เป็นชายาที่ทำพิธีตบแต่งเข้ามา มารดาก็จากไปหลายปีแล้ว คงจะดีกว่าเจิ้งซื่อ เพียงแต่ท่าทางของหนานกงชวี่กลับดูต่อต้านฮูหยินคนใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าเป็นใครยิ่งกว่าเจิ้งซื่อเสียอีก หรือว่ากังวลต่อตำแหน่งของเขาในจวนฉู่กั๋วกงอย่างนั้นหรือ
“ไม่ว่าอย่างไร พี่ใหญ่ก็ยังคงเป็นบุตรชายคนโตของจวนฉู่กั๋วกง” หนานกงมั่วเอ่ยปลอบโยน
หนานกงชวี่เลิกคิ้ว “มั่วเอ๋อร์คิดว่าข้ากำลังกังวลกับสิ่งนี้หรือ วางใจเถิด…หลายปีมานี้เรือนหลังของท่านพ่อไม่มีบุตรธิดากำเนิดใหม่เลยสักคน หากแต่งเข้าจวนใหม่เพียงคนเดียวแล้วจะมีกำเนิดใหม่เลยหรือ”
ประโยคนี้…มีความเป็นไปได้ แต่ว่าหนานกงชวี่กล่าวถูกต้องแล้ว ทั้งจวนฉู่กั๋วกงหลังจากหนานกงซูกำเนิดขึ้นแล้วก็ไม่มีบุตรอีกเลย เมิ่งซื่อป่วยนอนเตียงตลอดไม่ต้องเอ่ยถึง เจิ้งซื่อที่เป็นที่โปรดปรานมานานหลายปีก็ไม่มีความเคลื่อนไหว ดังนั้นอนุเรือนหลังทั้งหลายยิ่งไม่เคยมีข่าวมาก่อน
หนานกงชวี่ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ครานั้น…ส่งเจ้าไปตานหยาง พี่ใหญ่เองก็ต้องขอโทษเจ้าด้วย หากไม่ใช่… มั่วเอ๋อร์ เจ้าเชื่อว่าคนที่ทำเรื่องร้ายกับเจ้าที่ตานหยางเป็นฝีมือของเจิ้งซื่อหรือไม่”
ใบหน้าของหนานกงมั่วทะมึนลง เอ่ยเสียงเรียบ “พี่ใหญ่มีเบาะแสอันใดหรือไม่”
หนานกงชวี่ส่ายหน้า “เบาะแส…ตอนนี้ยังไม่มี แต่อีกไม่นานก็จะมีแล้ว เพียงแต่มั่วเอ๋อร์เจ้าจำเอาไว้ให้ดี เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าแล้ว เรื่องที่ตานหยาง พี่ใหญ่จะจัดการให้เจ้าเอง” หนานกงมั่วขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยเสียงเข้ม “พี่ใหญ่ เรื่องใดก็เก็บไว้คนเดียวนั่นไม่ใช่สิ่งที่ดี พี่รองก็โตแล้ว ท่านจะปกป้องเขาไปตลอดชีวิตได้หรือ” หลายเดือนมานี้แน่นอนว่าหนานกงมั่วย่อมดูออก หนานกงชวี่เป็นผู้มีความคิดลึงซึ้ง แม้แต่นางเองก็เดาไม่ได้ว่าเขามีแผนเช่นไร แต่หนานกงฮุยที่เติบโตมากับหนานกงชวี่นั้นกลับเป็นคนเปิดเผย นี่เป็นเพราะความไร้เดียงสาของหนานกงฮุยเอง และยังเป็นเพราะหนานกงชวี่ที่คอยกีดกันสิ่งไม่ดีทั้งหลายออกไปจากเขาด้วย
—————————-
[1] ธารดอกท้อ (桃花源) เป็นบทกวีของเถาหยวนหมิง กล่าวถึงเมืองในอุดมคติหรือยูโทเปีย เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความสวยงามและความสุข