หนานกงชวี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ท่านบอกว่า…เรื่องของมั่วเอ๋อร์ไม่เกี่ยวกับท่านมิใช่หรือ”
“เจ้าเชื่อข้าหรือ”
หนานกงชวี่เอ่ย “ข้าจะเชื่อหรือไม่นั่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ ฮูหยินมีสิ่งใดที่เพียงพอให้ข้าช่วยท่านออกมาได้”
เจิ้งซื่อมองบุรุษตรงหน้าด้วยแววตาสับสน เอ่ย “หลายปีมานี้ ที่แท้เจ้าก็แกล้งโง่สินะ” ความจริงไม่นับว่าแกล้งโง่ หนานกงชวี่ไม่เคยโง่ เพียงแต่เขาฉลาดมากกว่าที่แสดงออกมาก็เท่านั้น “เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่”
หนานกงชวี่เอ่ย “ตลอดหลายปีมานี้…ฮูหยินทำเยี่ยงไรจึงทำให้ท่านพ่อยอมอดทนอดกลั้นกับท่าน” เจิ้งซื่อเกิดมาต่ำต้อย นอกเสียจากใบหน้าที่ไม่นับว่าแย่และความเจ้าแผนการ นอกนั้นก็ไม่มีอันใดโดดเด่น ในจินหลิงมีทั้งสตรีที่งดงามมากกว่าเจิ้งซื่อ ทั้งเจ้าแผนการฉลาดล้ำกว่าเจิ้งซื่อตั้งมากมาย ไยจึงมีเพียงเจิ้งซื่อที่เป็นที่โปรดปรานของหนานกงไหวมาหลายสิบปี หลายปีมานี้หนานกงชวี่ดูออก ความโปรดปรานของหนานกงไหวที่มีต่อเจิ้งซื่อนั้นมันมีความอดทนอดกลั้นซ่อนอยู่ ยอมปล่อยให้เจิ้งซื่อทำทุกอย่างในจวน ทว่าอีกด้านกลับคอยระมัดระวังเจิ้งซื่อ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของหนานกงไหวหรือสินเจ้าสาวของเมิ่งซื่อ เจิ้งซื่อนั้นไม่มีสิทธิ์แตะต้องแม้แต่เพียงเล็กน้อย
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดสิ่งใด” สีหน้าเจิ้งซื่อพลันเปลี่ยน กัดฟันเอ่ย
หนานกงชวี่หลุบตาลง เอ่ยเสียงเรียบ “ฮูหยินคิดให้ดีก่อนจะเอ่ยออกมาเถิด ความจริง…คนที่ท่านพ่อชอบนั้นไม่ใช่ฮูหยินหรอกใช่หรือไม่”
เจิ้งซื่อหน้าซีด พิงกรงขังนิ่งไปไม่พูดไม่จา หนานกงชวี่เอ่ยต่ออีกว่า “ท่านพ่อไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้เรือนแห่งนี้ ดังนั้น…ข้าเกรงว่าคงไม่มีโอกาสหน้าเข้ามาอีกแล้ว หากฮูหยินยืนยันจะไม่เอ่ยสิ่งใด เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน คิดว่าต่อไปนี้นอกจากบ่าวใบ้ที่มาส่งข้าว ข้าคงเป็นคนสุดท้ายที่ฮูหยินจะได้เจอในชาตินี้แล้ว”
“เจ้ารู้อันใดมาแล้วกันแน่” เจิ้งซื่อเริ่มควบคุมตนเองไม่ได้ จับซี่กรงขังเอาไว้แน่นพร้อมกัดฟันเอ่ยถาม
หนานกงชวี่ยังคงเงียบ เนิ่นนานทีเดียวกว่าที่เขาจะได้ยินเสียงหัวเราะประหลาดของเจิ้งซื่อดังขึ้น “ไม่ผิด… คนที่นายท่านชอบไม่ใช่ข้า แต่ว่า…ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร ตั้งแต่กลับมากับนายท่าน หลายปีมานี้นอกจากไปตานหยางหนหนึ่งข้าก็ไม่ได้ออกจากจินหลิงเลย ดังนั้น หากเจ้าอยากถามว่าใครกันแน่ที่แย่งนายท่านจากฮูหยิน ข้าก็ไม่รู้ ฮ่าๆ… มารตาของเจ้านั้นเย่อหยิ่ง น่าเสียดายก่อนตายก็ยังไม่รู้ว่าสตรีที่แย่งสามีนางจริงๆ นั้นคือผู้ใด น่าเสียดาย…ข้าเองก็ไม่รู้…ไม่แน่ว่าสตรีผู้นั้นอาจจะตายไปนานแล้ว” เจิ้งซื่อรู้ว่าในใจของหนานกงไหวนั้นมีใครบางคน แต่ไม่เคยสืบพบร่องรอยใดๆ หากหนานกงไหวไปติดพันสตรีอื่นด้านนอก นางผู้ที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ ดังนั้นเจิ้งซื่อจึงได้แต่เพียงคาดเดาว่าสตรีผู้นั้นตายจากไปแล้ว
หนานกงชวี่เงยหน้าขึ้นมามองนางพร้อมเอ่ยขึ้น “ฮูหยินไม่เคยแปลกใจเลยหรือ ว่าใครกันแน่ที่คิดทำร้ายมั่วเอ๋อร์ อีกทั้งยังใส่ร้ายท่าน”
“เจ้าจะเอ่ยสิ่งใด”
หนานกงชวี่เอ่ยตอบ “ไม่มีอันใด หากฮูหยินคิดดีแล้ว เอาสิ่งที่อยู่ในมือท่านให้ข้าเถิด” เจิ้งซื่อลังเลอยู่ชั่วครู่ ส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังเอ่ยสิ่งใด” หนานกงชวี่กล่าวตอบ “ในเมื่อท่านพ่อไม่ชอบท่าน ตลอดหลายปีมานี้กลับอดทนอดกลั้นต่อท่าน แน่นอนว่าเพราะในมือท่านมีบางสิ่งที่คอยยึดเหนี่ยวเอาไว้ หรือว่าไม่ใช่”
“เจ้า…เจ้าคิดจะเอาสิ่งนี้ไปต่อรอง หรือว่า…เจ้าโกรธแค้นนายท่าน” เจิ้งซื่อตื่นตระหนก มองใบหน้าเย็นชาของหนานกงชวี่แล้ว นางคิดว่าคงเป็นอย่างหลัง
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฮูหยิน” หนานกงชวี่เอ่ยเสียงเรียบ “ฮูหยินเพียงบอกกับข้า ท่านจะให้หรือไม่ให้ก็พอ”
“เจ้าไม่กลัวข้าจะบอกหนานกงไหวหรือ”
“ท่านยังคิดว่าท่านพ่อจะมาดูท่านอีกหรือ หลายวันมานี้ท่านพ่อสืบรู้เรื่องราวมากมายที่ท่านทำมาตลอดหลายปี… คิดว่าต่อไปเขาคงไม่อยากเจอหน้าท่านอีกแล้ว”
เจิ้งซื่อเงียบ ตั้งแต่นางถูกขัง หนานกงไหวไม่เคยมาหานางจริงๆ หนานกงชวี่เอ่ยเสียงเรียบ “ต่อให้ฮูหยินไม่คิดถึงสิ่งใด ก็ควรนึกถึงซูเอ๋อร์บ้าง”
เอ่ยถึงหนานกงซู ดวงตาของเจิ้งซื่อจึงปรากฏแววกังวล บุตรีผู้นี้ไม่มีแผนการอันใดอต้องการเพียงเอาชนะเท่านั้น ยามนี้ยังตั้งครรภ์อีก จะไม่ให้นางเป็นกังวลได้เช่นไร เจิ้งซื่อลุกขึ้นกัดฟันเอ่ย “ปล่อยข้าออกไป ปล่อยข้าออกไปแล้วข้าจะให้เจ้า” แววตาหนานกงชวี่มีแววเสียดสี “หากข้าปล่อยท่านออกไปตอนนี้ รอท่านพ่อกลับมาแล้วคิดว่าจะดีหรือ”
“เช่นนั้นเจ้าจะเอาเช่นไร” เจิ้งซื่อเอ่ยถาม
หนานกงชวี่ตอบ “ท่านมอบของให้ข้าก่อน แน่นอนว่าต้องมีสักวันที่ท่านจะหนีออกไปได้”
“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร” เจิ้งซื่อเอ่ยถาม
หนานกงชวี่ยกมือไขว้หลัง เอ่ยเสียงเรียบ “เพราะท่านทำได้เพียงเชื่อข้า นี่เป็นสิ่งเดียวในมือท่านที่จะแลกเปลี่ยนได้ ไม่ใช่หรือ” ครั้งนี้เจิ้งซื่อเงียบไปนานกว่าทุกครั้ง สุดท้ายจึงเอ่ยชื่อสถานที่ออกมา มองไปยังหนานกงชวี่ “ในเมื่อเจ้ากล้ามาหาข้า คิดว่าคงไม่กลัวข้าจะบอกเรื่องนี้กับนายท่านแล้ว”
หนานกงชวี่เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านจะลองดูก็ได้ ต่อให้ข้าเป็นอะไรไป… ฮูหยิน อย่างไรมั่วเอ๋อร์ก็เป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกันกับข้า นางเป็นถึงพระชายาซื่อจื่อแห่งจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง แก้แค้นแทนพี่ชาย อย่างเช่น…ทำอะไรกับอนุจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องก็คงไม่เปลืองแรงนางเท่าใดนัก เผื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ ก่อนมั่วเอ๋อร์จะออกเรือนข้าได้ยกมรดกที่มารดาทิ้งเอาไว้ให้มอบแก่มั่วเอ๋อร์ไปหมดแล้ว”
เจิ้งซื่อตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้ รู้ว่าหนานกงชวี่พนันทุกวิถีทางของเขาแล้ว กัดฟันเอ่ย “เจ้าวางใจ ข้าไม่มีทางบอกนายท่าน ในเมื่อเขาไม่มีความเมตตาจะโทษข้าไม่มีคุณธรรมไม่ได้ ข้าเพียงไม่คิดว่า…ที่แท้ หึหึ คิดว่านายท่านเองก็คงไม่คาดคิด บุตรชายคนโตที่เชื่อฟังกลับมีความคิดเช่นนี้”
หนานกงชวี่ไม่สนใจว่านางจะเอ่ยสิ่งใด หันตัวเข้าหา “ข้าเอากับข้าวมาบ้าง หากฮูหยินหิวแล้วก็ทานสักหน่อยเถิด จริงสิ หากของมีปัญหา…ครั้งหน้าข้าอาจจะส่งก้อนเนื้อในท้องของซูเอ๋อร์นั่นมาให้ท่าน”
เจิ้งซื่อกัดฟัน เอ่ยเสียงเข้ม “เมิ่งซื่อช่างให้กำเนิดบุตรชายที่ดีเสียจริง”
หนานกงชวี่หันกลับมา จ้องมองนางอีกครั้ง “ฮูหยินรู้หรือไม่ว่าตลอดหลายปีมานี้ไยท่านจึงไม่มีการให้กำเนิดบุตรชายหรือบุตรสาว”
เจิ้งซื่อชะงัก เงยหน้าขึ้นมามองหนานกงชวี่อย่างรวดเร็ว หนานกงชวี่สีหน้าเรียบนิ่ง สายตาห่างเหิน น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องตกใจไปหรอก ไม่เพียงท่าน ชาตินี้ท่านพ่อคงไม่มีบุตรอีกแล้ว” เจิ้งซื่อกัดฟัน เอ่ยถาม “ฮูหยินหรือ”
นึกถึงสตรีงดงามสูงส่งผู้นั้นขึ้นมาทันใด เจิ้งซื่อยากที่จะยอมรับได้ นางเคยเจอเมิ่งซื่อเพียงไม่กี่ครั้ง แต่การพบกันแม้จะน้อยครั้งแต่ทุกครั้งนางกลับรับรู้ได้ถึงความกดดันที่หนักอึ้ง ทุกครั้งล้วนจดจำฝังใจ นางถึงกับเข้าใจว่าไยหนานกงไหวจึงไม่ชอบสตรีงดงามเช่นเมิ่งซื่อ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสตรีเช่นนั้นไม่ว่าชายหรือหญิงเกรงว่าล้วนแล้วแต่รู้สึกกดดันกันทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นหนานกงไหวเองก็มีชาติกำเนิดต่ำต้อยเช่นเดียวกับนาง
ภาพบางภาพในความทรงจำพลันชัดเจนขึ้น เป็นครั้งแรกที่นางเข้าจวนมา กลับมาจากสนามรบพร้อมกับหนานกงไหว ตั้งครรภ์ได้เพียงไม่กี่เดือน นางคุกเข่าอยู่บนพื้น เมิ่งซื่อแม้แต่มองยังไม่มองนางแม้เพียงนิด ทว่ารับถ้วยชาจากสาวใช้และยื่นใส่มือหนานกงไหวด้วยตนเอง มือเรียวสวยนั่นขาวนวลดั่งหยก งดงามราวกับเครื่องประดับล้ำค่าที่ถูกช่างแกะสลักหยกแกะออกมาอย่างประณีต นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ใบหน้าสวยของเมิ่งซื่อยิ้มแย้มให้กับหนานกงไหว จากนั้นก็กลายเป็นสามีภรรยาแปลกหน้า