“ท่านพ่อ ท่านทำเช่นนี้ได้เยี่ยงไร…”
“ข้าไม่ได้ถามเจ้า” หนานกงไหวเอ่ยตอบเสียงเย็น
หนานกงมั่วยิ้มเยาะอยู่ในใจ หากนางต่อต้านเกรงว่าหนานกงไหวก็คงจะตอบกลับมาอย่างเย็นชาเช่นนี้เหมือนกันสินะ สามพี่น้องไม่เหมือนหนานกงซู เมิ่งซื่อจากไปหลายปีแล้ว ต่อให้เมิ่งซื่อยังอยู่นางก็คงไม่เสียดายหนานกงไหวแล้ว ในเมื่อมารดาเองยังไม่เสียดาย นางผู้เป็นบุตรีจะเก็บเอาไว้ทำไมกัน
ยกยิ้มพลางเอ่ย “เป็นเรื่องน่ายินดีเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าท่านพ่อชมชอบคุณหนูตระกูลใดกัน”
หนานกงไหวกระอักกระอ่วน เอ่ยตอบ “เอ่อ…คือแม่ม่ายของหวาหนิงจวิ้นอ๋อง”
“…” หนานกงมั่วใบหน้างุนงง แม้ว่านางจะพอจำชนชั้นสูงได้บ้างแล้ว แต่ว่า…ย่อมยกเว้นองค์ชายที่ถูกแต่งตั้งไปปกครองหัวเมืองต่างๆ แน่นอนว่านางไม่รู้จัก หวาหนิงจวิ้นอ๋องผู้นี้เป็นใครอีกเล่า ไม่เคยได้ยินมาก่อน
หนานกงชวี่เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่โทษมั่วเอ๋อร์ที่ไม่เคยได้ยิน เกรงว่าฮุยเอ๋อร์เองก็คงจำไม่ได้ หวาหนิงจวิ้นอ๋องนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ถูกแต่งตั้งให้ไปปกครองที่เหลียงโจวหวาหนิง แต่ว่า…หวาหนิงอ๋องคิดหลบหนีเมื่อครั้งสู้รบกับชาวไป่เย่ว์ ฝ่าบาทจึงปลดตำแหน่งจวิ้นอ๋องของเขา และเมื่อต้นปี…เขาก็ได้จากโลกใบนี้ไปแล้ว”
หนานกงมั่วและหนานกงฮุยมองไปยังหนานกงไหวอย่างพร้อมเพรียง สีหน้าแปลกประหลาด พึ่งเสียสามีไปเมื่อต้นปี นี่พึ่งจะเก้าเดือนก็รีบออกเรือนอีกครั้งแล้วหรือ ไม่ใช่แม่ม่ายชาวบ้านทั่วไปที่เลี้ยงลูกไม่ไหวเสียหน่อย จะรีบแต่งไปไหนกัน แม้แต่จะไว้ทุกข์ให้สามีก็ไม่ทำเลยหรือ
หนานกงชวี่เงียบไปชั่วครู่ เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “พระชายาหวาหนิงจวิ้นอ๋องผู้นี้…เป็นญาติผู้น้องของมารดา”
ดวงตาของหนานกงมั่วจมลึก ไม่ต้องให้ใครบอกในหัวของนางก็ปรากฏละครน้ำเน่าหลายเรื่องเข้ามาในหัว เนิ่นนานจากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ ฉู่กั๋วกงฮูหยินตำแหน่งนี้ไม่ธรรมดา แต่งสตรีที่สามีพึ่งจากไปคงจะไม่เหมาะนะเจ้าคะ” ความจริงนั้นเหมาะสมมาก เหมาะสมกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ดีกว่าให้หนานกงไหวไปเป็นกรรมของหญิงสาวคนอื่นเป็นไฉน เพียงแต่หนานกงมั่วนั้นอยากเพิ่มอุปสรรคให้กับหนานกงไหว ถ้าบอกว่าหนานกงไหวไม่ได้มีความสัมพันธ์กับหญิงม่ายของหวาหนิงจวิ้นอ๋องผู้นั้นใครจะเชื่อ อยากแต่งภรรยาเอก ต้องเก่งขนาดไหนจึงจะหาได้จากเหลียงโจวที่อยู่ไกลจากจินหลิงถึงเพียงนั้น ในหัวของหนานกงมั่วได้จัดสองคนนี้ไปอยู่ในกลุ่มชายโฉดหญิงชั่วที่นอกใจคู่แต่งงานของตนเป็นที่เรียบร้อย
หนานกงไหวเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “พ่อเองก็อายุไม่น้อยแล้ว อีกทั้งยังมีชวี่เอ๋อร์และฮุยเอ๋อร์อยู่ ไยต้องไปทำให้สตรีอื่นลำบากด้วย”
สถานการณ์ก่อนหน้านี้ ที่ทำราวกับจะบีบให้หนานกงชวี่ต้องตาย เมื่อบีบบังคับหนานกงชวี่ให้ตายแบบนั้นแล้วท่านจะมอบตำแหน่งให้หนานกงฮุยอย่างนั้นหรือ
หนานกงมั่วมองไปยังหนานกงชวี่ เห็นเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ จึงโบกมือแล้วกล่าวว่า “ช่างเถิด บุตรีที่ออกเรือนไปแล้วคงยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของท่านพ่อไม่ได้ วันแต่งงานของท่านพ่อให้คนไปแจ้งข้า เดี๋ยวข้าจะให้คนส่งของขวัญมาให้ก็พอแล้ว” หมายความว่านางไม่คิดจะมาร่วมงานเลี้ยงด้วย
หนานกงไหวมองมายังนาง “นางไม่ได้อยู่จินหลิงหลายปี รู้จักคนไม่มาก ต่อไปมาอยู่จินหลิงคงต้องให้เจ้าคอยแนะนำ”
หนานกงมั่วอยากกลอกตาใส่เขาเสียตรงนี้ นางไม่เข้าไปกระทืบสตรีที่แย่งตำแหน่งมารดาของนาง ซ้ำยังสวมเขาให้มารดาของนางขณะที่ยังมีชีวิตอยู่คนนั้นก็นับว่าไม่เลวแล้ว ยังคิดให้นางช่วยพาสตรีผู้นั้นเข้าสังคมอีกหรือ นางดูเป็นคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยหรืออย่างไร
“ท่านพ่อกล่าวได้น่าขันแล้ว หากท่านพ่อไม่อยากให้นางลำบาก มิสู้ฝึกฝนพี่สะใภ้ไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ อย่างไรเสีย อนาคตก็ต้องยกอำนาจการปกครองให้แก่ฮูหยินน้อยคอยจัดการเรื่องในเรือน ฮูหยิน…ผู้นั้น ดีแค่ไหนที่เข้ามาเดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นแม่เฒ่าที่คอยเสพสุข ท่านพ่อ ท่านว่าใช่หรือไม่”
หนานกงไหวถูกนางตอบกลับเช่นนี้ใบหน้าก็ไม่น่ามองขึ้นมา ไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดอยู่นาน สุดท้ายจึงถอนหายใจ เอ่ย “ช่างเถิด เรื่องนี้ค่อยว่ากัน”
เมื่อบอกลาหนานกงไหว หนานกงมั่วเดินออกมาจากจวนฉู่กั๋วกงด้วยใบหน้าถมึงทึง ออกคำสั่งกับจือซูที่อยู่ข้างกายเสียงเบา “ให้คนไปสืบเรื่องแม่ม่ายหวาหนิงจวิ้นอ๋องนั่นให้ละเอียด”
จือซูพยักหน้าตอบรับ
ได้ยินเสียงรถม้าอยู่หน้าจวนฉู่กั๋วกง เว่ยจวินมั่วอยู่ในชุดสีครามแถบเงิน แขนเสื้อใหญ่ที่เคยมียามนี้ถูกพับขึ้น ยิ่งส่งให้เขาดูดุดันและกล้าหาญมากยิ่งขึ้น ที่แขนมีผ้าคลุมสีขาว กำลังยืนพิงรถม้ามองมาที่นาง หนานกงมั่วแปลกใจเล็กน้อย เดินเข้าไปหาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านมาได้อย่างไร”
“พึ่งกลับมาจากค่ายนอกเมือง ได้ยินว่าเจ้ากลับจวนฉู่กั๋วกงเลยแวะมารับ”
“เช่นนั้นทำไมไม่เข้าไปเล่า” หนานกงมั่วถามด้วยรอยยิ้ม
เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว “ข้าพึ่งมาถึงเจ้าก็ออกมาแล้ว ตอนบ่ายข้าไม่มีธุระ จะไปเดินเล่นสักหน่อยหรือไม่” หนานกงมั่วเองก็มิได้มีธุระจึงเอ่ยตอบว่า “เอาสิ”
ดังนั้น ทั้งสองจึงไม่นั่งรถม้าแล้ว สั่งให้บ่าวนำรถม้ากลับไปก่อน เว่ยซื่อจื่อกุมมือเล็กของภรรยาก้าวเดินเชื่องช้ามุ่งหน้าตรงไปยังถนนที่ครึกครื้นที่สุดในจินหลิง
“คุณชายใหญ่หนานกงเป็นเช่นไรหรือ” ทั้งสองเดินเคียงคู่กันไป เว่ยจวินมั่วเอ่ยถามขึ้น
เมื่อเว่ยจวินมั่วรู้เรื่องที่หนานกงมั่วกลับจวนฉู่กั๋วกง แน่นอนต้องรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นในจวนฉู่กั๋วกง หนานกงมั่วเองก็ไม่คิดปิดบัง ถอนหายใจแล้วเล่าให้ฟังคร่าวๆ เว่ยจวินมั่วพยักหน้า “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ฉู่กั๋วกงยังเอ่ยเรื่องใดอีกหรือไม่”
หนานกงมั่วเงยหน้าด้วยความตกใจ เลิกคิ้วพลางเอ่ย “ท่านรู้ได้เยี่ยงไร”
เว่ยจวินมั่วจ้องมองนางเงียบๆ หนานกงมั่วไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด หนานกงไหวคิดจะแต่งภรรยาแน่นอนว่าไม่มีทางไม่ทำอันใด เพียงแต่ช่วงนี้นางค่อนข้างยุ่ง ไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกจึงไม่รู้เรื่องเลยเท่านั้น เมื่อเห็นเว่ยจวินมั่วถามเช่นนี้ หนานกงมั่วจึงรู้ว่าเขาต้องรู้บางอย่างแน่นอน รีบเอ่ยถาม “ท่านรู้อันใดมาบ้าง” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว มองไปยังหนานกงมั่วไม่เอ่ยวาจา
“ท่านซื่อจื่อ”
“ชิงสิง”
“ท่านพี่”
“ที่รัก”
มองแววตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ของหญิงสาว ดวงตาของเว่ยซื่อจื่อจึงมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น หนานกงมั่วมองเห็นช่องทางจึงรีบเอ่ย “รีบบอกมาสิ”
คุณชายเว่ยเลิกคิ้ว เอ่ย “อู๋สยาจะตอบแทนข้าเช่นไร”
หนานกงมั่วขมวดคิ้ว มองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ ไหนบอกว่าจะดีกับนาง แค่ฟังเรื่องซุบซิบนินทายังจะต้องตอบแทนเช่นนั้นหรือ กลอกตาอย่างไม่พอใจ หนานกงมั่วเอ่ย “ข้าจะไปสืบเอง” เอ่ยจบก็หมุนตัวเตรียมจะเดินหนีไป ทว่ากลับถูกใครบางคนดึงเอาไว้ ก้มลงมองหญิงสาวในอ้อมแขน เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “ขี้งอนเพียงนี้เลยหรือ จะบอกเจ้าใช่ว่าจะทำไม่ได้ คนของเจ้าไม่มีทางสืบถึงสิ่งเหล่านี้ได้เป็นแน่ ขอเพียง…” กระซิบเบาๆ ไม่กี่ประโยคข้างหูนาง ใบหน้าสวยของหนานกงมั่วกระตุก กัดฟันถลึงตามองใบหน้าเย็นชาของชายตรงหน้า ไตร่ตรองถึงกำลังของตนเอง หดหู่ลงทันใด ช่วงนี้ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีกำลังคนในมือให้ใช้การ
“ตก-ลง” หนานกงมั่วกัดฟันเอ่ยตอบ
คุณชายเว่ยพึงพอใจเป็นที่สุด ยกมือลูบศีรษะภรรยาตัวน้อยที่กำลังพองขน ชี้ไปยังร้านเครื่องประดับใกล้ๆ “เข้าไปดูหรือไม่”