ตอนที่ 268 แม่ม่ายผู้รีบแต่งงาน (1)
หนานกงไหวจึงเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนี้…นางตายเพราะกินเยอะเกินไปอย่างนั้นหรือ” หนานกงไหวไม่ค่อยเชื่อผลพิสูจน์นี้ หมอทั้งสองต่างพยักหน้า เอ่ยตอบ “ว่าเช่นนั้นก็ได้ขอรับ” อย่างน้อยจากที่พวกเขาสังเกตเห็นก็เป็นเช่นนี้ คนไม่ได้ถูกพิษและไร้ซึ่งบาดแผลภายนอก แต่กลับท้องที่ป่องนั่น…ไม่รู้ว่ากินเข้าไปมากเพียงใด
“เป็นไปไม่ได้” หนานกงซูตะโกนเสียงดังขึ้นมา “ต้องเป็นเจ้าที่ฆ่าท่านแม่ข้า ท่านพ่อ ท่านต้องแก้แค้นแทนท่านแม่ของข้านะเจ้าคะ ต้องเป็นพวกเขาแน่ๆ เป็นพวกเขาที่ฆ่าท่านแม่” หมอทั้งสองรีบก้มหน้า เดิมทียังไม่รู้ว่าสตรีผู้นั้นเป็นใคร ยามนี้รู้แล้วว่านางเป็นฮูหยินจวนฉู่กั๋วกง เป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว ยามนี้หมอชราจึงกลืนข้อสันนิษฐานของตนคืนกลับไป
“หุบปาก” หนานกงไหวเอ่ยเสียงดังอย่างอารมณ์ไม่ดี “ลำบากท่านหมอทั้งสองแล้ว เชิญท่านหมอทั้งสองไปรับรางวัลได้”
“ขอบคุณนายท่าน” หมอทั้งสองรีบเอ่ยขอบคุณและเดินออกไป หากอยู่ต่อไปใครจะรู้ว่าอาจได้ยินความลับที่น่าตกใจอันใดอีก
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อชัดเจนแล้วว่าไม่เกี่ยวกับพี่ใหญ่ ท่านพ่อจะปล่อยพี่ใหญ่ได้หรือยังเจ้าคะ”
“ไม่ได้” หนานกงซูกัดฟันเอ่ย “ใครจะบอกได้เล่าว่าไม่เกี่ยวกับเขา ต่อให้ไม่ได้วางยา ก็ไม่ได้แสดงว่าเขาไม่ได้ใช้วิธีอื่นฆ่าท่านแม่” หนานกงมั่วเลิกคิ้วมองนาง “โอ้ วิธีอันใด น้องรองลองบอกมาสิ ได้ยินว่าหว่านฮูหยินนอนตายอยู่บนกองฟางหญ้าในคุก ในคุกคงจะมีกรงขังหรือไม่ ขอถามหน่อยว่าพี่ใหญ่จะลอดเข้าไปสังหารนางได้เช่นไร”
เดิมหนานกงซูก็มิใช่คนฉลาด ไหนเลยจะตอบได้ เพียงแต่กัดฟันยืนกรานว่าหนานกงชวี่ฆ่าเจิ้งซื่อ
หนานกงไหวจ้องมองหนานกงชวี่ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เอ่ยถาม “การตายของเจิ้งซื่อ ไม่เกี่ยวกับเจ้าจริงหรือ”
หนานกงไหวคือแม่ทัพใหญ่ที่สู้รบร่วมก่อตั้งประเทศ เมื่อเขาจับจ้องใครอย่างจริงจัง เลือดลมในกายที่ฝึกฝนมาก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ หนานกงมั่วเองก็สัมผัสได้ถึงความกดดันนั้น แต่หนานกงมั่วนั้นมีที่มาที่พิเศษ ความกดดันเช่นนี้ส่งผลต่อนางเพียงเล็กน้อยเท่านั้นไม่นับประสาอะไร อย่างน้อยก็เทียบกับคนในวังท่านนั้นไม่ได้ ทว่าหนานกงชวี่นั้นแตกต่าง หนานกงชวี่เป็นชายหนุ่มที่ไม่เคยผ่านสนามรบหรือการต่อสู้แย่งชิงในราชสำนัก ความกดดันนี้ไม่ต้องบอกก็รู้
ภายใต้ความกดดันของหนานกงไหว หนานกงชวี่ยังคงนิ่ง ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย กัดฟันแน่น น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมา “ตอบท่านพ่อ ไม่เกี่ยวขอรับ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าเอ่ยสิ่งใดกับเจิ้งซื่อบ้าง”
หนานกงชวี่หลุบตาลง เอ่ยเชื่องช้า “ลูกเพียงถามเรื่องเมื่อครานั้น…และเรื่องที่มั่วเอ๋อร์ถูกทำร้าย เจิ้งซื่อ เจิ้งซื่อไม่ยอมรับ บอกเพียงว่าถูกให้ร้าย แต่เพราะหลักฐานที่แน่ชัด ลูกจึงโมโห ต่อว่านางไปหลายประโยค…จากนั้นได้โยนถาดอาหารทิ้งไว้ในคุกแล้วออกมา…”
“นางไม่ได้พูดอย่างอื่นหรือ” หนานกงไหวเอ่ยถาม
แผ่นหลังของหนานกงชวี่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เพียงแต่ชุดที่สวมเป็นสีเข้มจึงมองไม่ค่อยออก หนานกงมั่วนั่งอยู่ใกล้ มองเห็นเหงื่อที่ซึมออกมาตามลำคอไหลเข้าไปในเสื้อได้ชัดเจน หนานกงชวี่กัดฟันเอ่ย “นางบอกว่า…ท่านพ่อจะปล่อยนางออกไปแน่นอน…”
ห้องทั้งห้องเงียบลง ในที่สุดหนานกงไหวก็เคลื่อนสายตาออกไป กล่าว “เจ้าลุกขึ้นมาเถิด”
หนานกงชวี่ถอนหายใจอยู่ในใจ เกือบล้มหัวคะมำไปกับพื้น ทว่ายังฝืนลุกขึ้นมาได้ “ขอบคุณท่านพ่อ”
“ขอบคุณท่านพ่อ” หนานกงชวี่ลุกขึ้น บรรยากาศในห้องขมุกขมัว หนานกงไหวนิ่งเงียบมองสังเกตหนานกงชวี่เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ย “นั่งลงคุยกัน” ความจริงหนานกงไหวก็รู้ดี ถึงในนามนั้นจะเรียกว่าเป็นฮูหยินจวนฉู่กั๋วกง ความจริงจะแสดงความโกรธกับบุตรชายคนโตเพียงเพราะกระทำเช่นนี้กับเชื้อสายรองก็คงไม่ได้ แต่เจิ้งซื่อนั้นแตกต่างจากอนุทั่วไป หนานกงไหวจึงต้องระมัดระวังเอาไว้บ้าง แม้แต่ตอนนี้ ที่เขาให้หนานกงชวี่ลุกขึ้นมาก็ใช่ว่าเขาจะเชื่อคำพูดของหนานกงชวี่ทั้งหมด
“ขอรับ” หนานกงชวี่เดินไปนั่งข้างหนานกงมั่ว หนานกงมั่วยื่นมือไปประคองเขา เอ่ยเสียงเบา “พี่ใหญ่ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
ดวงตาหนานกงชวี่ฉายแววแปลกใจ พยักหน้าตอบ “ทำให้มั่วเอ๋อร์กังวลแล้ว ข้าไม่เป็นไร”
หนานกงมั่วเก็บมือกลับมาทำตัวปกติ เอ่ยตอบ “เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ”
มองพวกเขาสองพี่น้อง หนานกงไหวจึงส่งเสียงหยัน “ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าช่างดีเสียจริง”
หนานกงมั่วยังคงยิ้มหวาน “พี่น้องไยต้องมีความโกรธแค้นเล่าเจ้าคะ หรือท่านพ่อไม่อยากให้พวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันหรือ” หนานกงไหวกวาดตามองนาง “ในบรรดาพี่น้องก็คงเป็นเจ้าที่คารมคมคาย” หนานกงมั่วยิ้มบางไม่ตอบโต้ นางสัมผัสได้ว่าวันนี้หนานกงไหวอารมณ์ไม่ดี แน่นอน อนุภรรยาที่รักจากไปกะทันหัน อารมณ์ไม่ดีก็พอเข้าใจได้
หนานกงซูดวงตาแดงก่ำ กัดฟันเอ่ย “ท่านพ่อ จะปล่อยให้ท่านแม่ตายเช่นนี้หรือเจ้าคะ” ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นมองไปยังหนานกงชวี่ ท่านแม่ดูแลเขามาตั้งหลายปี เขากลับฆ่าท่านแม่ ช่างเลี้ยงไม่เชื่องเสียจริง ใบหน้าหนานกงไหวมีสีหน้าถมึงทึง มองไปยังหนานกงซู “เมื่อครู่ท่านหมอบอก เจ้าก็ได้ยินแล้ว”
“ต่อให้ท่านแม่ไม่ได้ตายเพราะยาพิษ แต่นั่นก็เป็นความผิดของเขา หากเขาไม่เอาอาหารพวกนั้นไปให้ ท่านแม่จะตายได้เยี่ยงไร”
หนานกงชวี่เงยหน้าขึ้นไปมองหนานกงซู เอ่ยเสียงเข้ม “น้องสาว หลายปีมานี้ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจหรือไม่ เจ้าถึงได้ปักใจว่าข้าเป็นคนฆ่าเช่นนี้ เจิ้งฮูหยินถูกท่านพ่อขังเอาไว้เป็นเพราะนางมีความผิด ข้าเพียงอยากรู้ความจริง และอยากตอบแทนที่นางคอยดูแลข้ามาตลอดหลายปีจึงได้นำอาหารที่นางชอบเข้าไปให้ไม่ได้หรือ หรือว่าข้าจะเดาได้ว่านางจะหิวมากแล้วจะกินจนตัวเองต้องตาย น่าตลกสิ้นดี ในจินหลิงข้ายังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีคนใช้วิธีสังหารที่โง่เง่าถึงเพียงนี้ หากคนกินไม่อยากกินเอง เป็นไปได้ว่าจะมีคนอื่นบังคับให้นางกินจนตายเลยหรือ”
“เจ้า…” หนานกงซูไม่อาจโต้แย้งได้ ทำได้เพียงจ้องหนานกงชวี่เขม็ง
“เอาล่ะ พอแค่นี้ก่อน อย่าได้เอ่ยถึงอีก” หนานกงไหวเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด มองหนานกงมั่วที่ไม่เกี่ยวข้องอันใด “ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว เช่นนั้นก็แจ้งเจ้าเลยก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องส่งคนไปแจ้งอีกครั้ง” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “โอ้ ยังมีเรื่องใดอีกหรือเจ้าคะ”
หนานกงไหวกระแอมไอทำตัวไม่ถูก เอ่ย “เจิ้งซื่อทำความผิด ข้าเลยขังนางเอาไว้ แต่จวนฉู่กั๋วกงไม่อาจขาดคนปกครอง…” หนานกงไหวพึ่งเอ่ยได้เพียงสองประโยค หนานกงมั่วพลันเข้าใจว่าเขาต้องการจะเอ่ยสิ่งใด นางไม่รีบร้อน ทำเพียงรอให้เขาเอ่ยจบ
“ดังนั้น…ข้าตัดสินใจแต่งภรรยาเอก จะได้ปกครองเรือนได้ง่ายๆ พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร”
ความจริงไหนเลยจะมีพื้นที่เหลือให้ความคิดเห็นของพวกเขา หนานกงไหวเอ่ยเช่นนี้เป็นเพียงการป่าวประกาศเพียงเท่านั้น บุตรคนใดจะมีสิทธิ์ไปยุ่งเรื่องบิดาจะแต่งภรรยากัน หนานกงชวี่และหนานกงฮุยต่างมีสีหน้าเรียบนิ่ง เอ่ยตอบ “ลูกไม่มีข้อขัดแย้งขอรับ” ทว่าหนานกงซูดูเหมือนจะยอมรับไม่ได้ มารดาของนางพึ่งจากไปยังไม่ทันฝังศพ บิดาก็รีบจะแต่งเมียแล้วหรือ